xs
xsm
sm
md
lg

“เกริก” เสียใจ! โควิดคร่าชีวิตพ่อบุญธรรม ไม่มีโอกาสเจอหน้ากันครั้งสุดท้าย รับตกตะกอนทางความคิด ชีวิตเปลี่ยน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เกริก ชิลเลอร์” เสียใจ สูญเสียพ่อบุญธรรมจากโควิด-19 ไม่มีโอกาสเจอหน้าครั้งสุดท้าย เบรกส่งลูกเรียนนอก ไทยดีที่สุด บอกโดดเข้าวงการเซียนพระ มีสารพัดหมวก เป้าหมายในชีวิตเปลี่ยน เลิกคิดใช้เงินอนาคต

หลังเกิดการสูญเสียในชีวิต คุณพ่อบุญธรรมติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และเสียชีวิตที่อเมริกา แต่ไม่มีโอกาสแม้ได้ไปร่วมงาน ล่าสุดได้เจอตัว “เกริก ชิลเลอร์” ในงานบวงสรวงละคร “มักกะลีที่รัก” เจ้าตัวก็เผยว่าสูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เสียใจ ไม่มีโอกาสไปเจอหน้าครั้งสุดท้าย

“คุณพ่อผมอยู่ที่อเมริกาเสียชีวิตด้วยโควิด ตอนนี้ก็ทำการฝังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำพิธีไปเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อติดโควิดเพราะว่าช่วงหลังๆ มานี้เขาไม่ค่อยสบายอยู่แล้ว และเขาก็ไปโรงพยาบาลบ่อย น่าจะติดจากโรงพยาบาลครับ

เราก็ไปร่วมงานไม่ได้เลยครับ เพราะว่าถ้าบินไปก็น่าจะยาวเลย กักตัวอยู่ที่โน่น กลับมาก็ต้องกักตัวอีก และช่วงนี้ก็ไม่ค่อยอนุญาตให้เดินทางเข้าออกประเทศได้อย่างง่ายๆ ด้วยที่อเมริกา

เสียใจ ไม่มีโอกาสเจอหน้าครั้งสุดท้าย
ก็เสียดายและเสียใจแน่ๆ อยู่แล้วครับ เพราะท่านเป็นคนที่มีพระคุณต่อเรามากที่สุด ก็ได้จากไปและเราไม่ได้มีโอกาสได้เจอเขาครั้งสุดท้าย

ก่อนหน้านี้ ผมมีการโทร.คุยกันเรื่อยๆ และก่อนที่เขาจะเสียชีวิตสักประมาณหนึ่งอาทิตย์ ผมก็โทร.หาเขา เขาก็บอกว่าเขาอยู่โรงพยาบาล ผลตรวจเลือดเขาเป็นบวก ผมก็ตกใจเพราะว่าบ้านนั้นมีคนแก่อยู่สามคน สรุปว่ามีเขาเป็นคนเดียวส่วนแม่เขาก็มีผลเป็นบวกด้วย แต่ว่าไม่ได้รุนแรงและยังแข็งแรงกว่าลูกเขา

ถามว่าเขามีโรคประจำตัวไหม ช่วงนั้นเขาจะต้องไปโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ เพราะว่าเขาจะต้องไปฟอกเลือดทุกสองสามวัน ก็น่าจะมาจากโรงพยาบาลมั้ง เพราะว่าเขาใช้ชีวิตอยู่สองที่ คือที่โรงพยาบาลและซูเปอร์มาร์เก็ตแค่นั้นเอง แล้วก็กลับบ้าน”

สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจหายไป เป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัว
“ผมโอเคครับ ผมเข้มแข็งขึ้นเยอะเลย เพียงแต่ว่าสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจผมมันหายไป ผมก็กังวลว่ามันจะทำให้เรารู้สึกอ่อนแอหรือเปล่า แต่โดยจริงๆ แล้วไม่ สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเราหายไปแต่มันกลับทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เพราะว่ามันกลายเป็นว่าเรานี่แหละ ที่เป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัวอย่างแท้จริงแล้ว อาการคุณแม่ก็ไม่มีปัญหาแล้วครับ ก็กลับมาอยู่บ้านได้แล้ว”

ทำใจและยอมรับมา 2-3 ปีแล้ว
“ผมทำใจยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้กับโลกใบนี้ได้สองสามปีแล้ว ว่ามันเกิดเหตุการณ์นี้และมันไม่ได้มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นประเทศเราก็ไม่ได้เป็นประเทศเดียว มันเป็นทั้งโลกและมันติดกันทั้งโลก และมันติดกันเร็วมากมันเป็นโรคติดต่อที่มันเกิดขึ้นมาใหม่ มันเป็นของใหม่ มันเป็น New Normal อย่างแท้จริง

เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิต การระมัดระวังตัว เราก็ต้องปรับด้วย บางสิ่งบางอย่างมันคงจะไม่ได้ดั่งใจเราเหมือนเมื่อสมัยก่อน ที่เราคิดอยากจะทำอะไรเราก็ทำ คิดอยากจะไปไหนเราก็ไป ตอนนี้อย่าทำอย่างนั้นเลย มันเป็นช่วงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย ดังนั้นเราก็มีความหวัง รอวัคซีน แต่เมื่อมันมีวัคซีนมาแล้ว เราก็ต้องระวังตัวด้วย ไม่ใช่ว่ามีข่าวว่ามีวัคซีนมาแล้วมันทำให้เราใช้ชีวิตได้สบายขึ้น เพราะว่ามันยังไม่หายไป”

เบรกแพลนส่งลูกเรียนนอก ไทยดีที่สุดแล้ว
“เรื่องไปต่างประเทศอย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลย เราไม่รู้ว่าปีนี้หรือปีหน้าหรืออีกสองสามปีเราจะสะดวกไปกันได้ไหมในสถานการณ์โลกแบบนี้ ตอนนี้คนโตก็สอบติดอยู่ที่ไทย ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่ที่ไทย ณ ช่วงเวลานี้ประเทศไทยดีที่สุด และผมเป็นคนที่ติดตามข่าวต่างประเทศและเรียนการเมืองการปกครองของต่างประเทศด้วย ไทยดีที่สุดแล้วครับ อยู่ประเทศนี้เถอะประเทศนี้ปลอดภัยและดีที่สุด สาธารณสุขดีมาก

ถ้าเกิดเขาโตกว่านี้และถ้าเขาอยากไปไหนผมไม่เคยห้ามลูกอยู่แล้วครับ จะตัดสินใจทำอะไรจะไปไหนเคารพในการตัดสินใจซึ่งกันและกัน และผมก็เห็นแล้วว่าลูกของผมก็มีแพลนในการเดินชีวิตของเขา”

เผยสถานะมีหมวกหลายใบ เล่นละครเยอะ ตัดผม เป็นเซียนพระ เป็นหัวหน้าครอบครัว
ผมอยู่ในสถานะที่มีหมวกอยู่หลายใบมาก เล่นละครเยอะมากช่วงนี้ ผมตัดผมด้วยเมื่อมีเวลาว่าง ผมเป็นเซียนพระด้วยเมื่อมีความสุขกับมันและผมก็เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นผู้ชายที่ดูดฝุ่นอยู่บ้านด้วย

รับละครเยอะขึ้นเพราะโควิด
“มันอาจจะเป็นไปได้ด้วยครับ เพราะมันมีสถานการณ์โควิดมายอดขายมันก็ลดลง มันก็ทำให้เรามีเวลามากขึ้น ประกอบกับลูกคนเล็กของผมไม่เคยเห็นผมเล่นละคร ไม่เคยเห็นผมมีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างที่ได้เล่นละครกลับมาบ้านหิ้วขนมมาฝาก แต่งหน้ากลับมาบ้าน พอเขาพูดขึ้นมา เราก็รู้สึกว่าเดี๋ยวเล่นละครให้ลูกดูหน่อยดีกว่า ก็มาถ่ายได้สักประมาณสองปีแล้ว รอบนี้ก็คงจะยาวครับ”

โดดเข้าวงการเซียนพระเพราะชอบมาตั้งแต่ 9 ขวบ
“เรื่องพระผมเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วผมชอบมาตั้งแต่ 9 ขวบ 10 ขวบแล้ว”

เป้าหมายชีวิตเปลี่ยน เลิกคิดใช้เงินในอนาคต
“เป้าหมายในชีวิตของผมมันก็เปลี่ยนไปจากที่เคยทำอะไรสุดโต่งก็กลับกลายมาอยู่ตรงกลางมากขึ้น เงินไม่ต้องได้มาเยอะมากก็ได้แต่ขอทำให้ครอบครัวมีความสุขและส่งรูปไปให้มีความสุข เอาแค่นั้น ผ่านในช่วงของวิกฤตของโควิดนี้ที่จะเกิดขึ้นในปีสองปีนี้ไปให้ได้

ผมเริ่มมีการปรับตัวเองมาก่อนเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว ผมเริ่มจัดชีวิตตัวเอง จากการที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายไม่คิด เมื่อเริ่มมาทำธุรกิจเอง เราก็เริ่มปรับแผนของตัวเองว่าเราควรจะต้องใช้จ่ายเท่านี้ พอทำไปเรื่อยๆ มันก็เลยเกิดความเคยชิน มันก็เลยทำให้เกิดความไม่มีคำว่าดาราอยู่ในตัว การจับจ่ายใช้สอยอะไรมันไม่ใช่เหมือนเมื่อก่อนแล้วว่าอยากได้ก็ซื้อเลย เงินไม่มีไม่เป็นไร เพราะว่ายังถ่ายละครอยู่อีกสองเรื่องเงินมีอยู่ในบัญชีรอ เงินในอนาคตรออยู่แล้ววิธีคิดตรงนั้นไม่มีแล้ว”





กำลังโหลดความคิดเห็น