xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) จบเริ่ด! กองฯ MUT ประกาศคืนมงกุฎให้ “ฟ้าใส” ไม่สนคนมองเป็นสัญญาทาส งัดหลักฐานตอกกลับฟ้าใสเรียกร้องมากไป

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“TPN” ยกมงกุฎให้ “ฟ้าใส” หากคิดว่าตัวเองเหมาะสมและชอบธรรมก็มารับไป ลั่นสำหรับตนยังไงอีกฝ่ายก็คือมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2019 แม้จะไม่เซ็นสัญญากับกองประกวดก็ตาม ยกพระแก้วมรกตมาจากบ้านให้เป็นพยาน ตนพูดความจริงเพราะสิ่งที่แถลงวันนี้อาจจะไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร วอนแฟนคลับอย่าดรามาไม่ปกป้องอีกฝ่ายเรื่องตื่นสาย เพราะที่เงียบคือปกป้องแล้ว วันนี้ขอจบทุกเรื่องเหลือไว้แต่ความดีงามที่มีต่อกัน

ไม่จบง่ายๆ สำหรับดรามา “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 ถูกกองประกวดฯ ยึดมงกุฎและเงินรางวัลคืน เหตุไม่ยอมเซ็นสัญญา จนทั้งสองฝ่ายเปิดศึกฟาดกันไปมา เป็นเหตุให้ทางกองประกวดฯ ถึงกับต้องออกมากางไทม์ไลน์แจกแจงละเอียดยิบ ยืนยันว่าฟ้าใสเป็นฝ่ายขอเปลี่ยนเนื้อหาสัญญาเอง จนกองประกวดฯ ต้องยอมแก้ไขให้ตามความต้องการของฟ้าใส เพราะต้องส่งสัญญาฉบับดังกล่าวให้กับกองฯ “มิสยูนิเวิร์ส” ในวันที่เดินทางไปประกวดที่แอตแลนตา สหรัฐอเมริกา เพื่อยืนยันตัวตนว่าฟ้าใสเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ก่อนเข้ากองประกวด ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบของกองแม่ที่ทุกประเทศต้องปฏิบัติตาม แต่สุดท้ายฟ้าใสก็ไม่ยอมเซ็น จนปัญหาบานปลาย ซึ่งประเด็นดังกล่าวทางฝั่งของฟ้าใสได้ควง “เอส อนุสิทธิ์” ผู้จัดการส่วนตัว และทนายความ ออกมาตั้งโต๊ะแถลงโต้กลับชนิดหนังคนละม้วน ยันสัญญาฉบับใหม่ที่กองประกวดฯ ส่งมาให้เซ็นมีการเปลี่ยนเนื้อหาและสาระสำคัญทำให้ตนไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขนั้นได้ พร้อมท้าให้กองประกวดฯ หอบสัญญามาแถลงข่าวร่วมกัน ให้รู้กันไปเลยว่าใครโกหก

ล่าสุด วันนี้ (18 พ.ย.63) “ปุ้ย ปิยาภรณ์ แสนโกศิก” ได้ควง “ณะ ณรงค์ เลิศกิตศิริ” ในฐานะผู้อำนวยการกองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ รับคำท้า งัดสัญญาออกมาแถลงต่อหน้าสื่อมวลชน ที่สตูดิโอ 2 สถานีโทรทัศน์ช่อง PPTVHD 36 โดยมี “นก ชวาลา ป้องขันธ์​” ไดเร็กเตอร์กองประกวดฯ พร้อมด้วยทนายความ นายวิชิต แก้วธนะสิน ​และ นายบัณฑิต เทพอยู่​ ร่วมชี้แจง พร้อมเผยเหตุผลที่ทำไมไม่เชิญฟ้าใสมาแถลงด้วย งานนี้พีกสุด เมื่อ ปุ้ย ปิยาภรณ์ อัญเชิญพระแก้วมรกต มาจากห้องพระที่บ้าน เพื่อแถลงต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นความจริง

ปุ้ย : “หลายคนบอกว่าเราออกมาช้า เราไม่ได้ช้า เราติดภารกิจอยู่ เราไม่ได้มีความสุขเลยที่มีเรื่องแบบนี้ แต่ในเมื่อมันมีกระแสอยากให้ทางเราออกมาชี้แจง เราก็มา และจะเป็นการชี้แจงในเรื่องนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อให้มันจะมีเรื่องอะไรอีกต่อจากนี้ก็ตาม จะมีอีก 100 แถลงก็ตามแต่ทาง TPN ขอหยุด เพราะเรามีสิ่งอื่นที่จะต้องทำอีกมายมากเลย วันนี้ขออัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ ณ ตอนนี้ด้วย เพราะพระแก้วมรกตเป็นสิ่งสูงสุดที่พวกเราเคารพนับถือกัน องค์นี้มาจากที่ห้องพระบ้านปุ้ย ซึ่งตกทอดมาหลายรุ่นแล้ว”

ณะ : “ที่เราต้องนำมาเพราะวันนี้เราอาจจะต้องพูดในสิ่งที่มันเป็นหลักฐานที่ไม่มีลายลักษณ์อักษร แต่สิ่งที่เราพูดทั้งหมดต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพรักในวันนี้ ก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น เลยขอเรียนอัญเชิญพระแก้วมรกตที่บ้านพี่ปุ้ยมาเป็นประธานในการแถลงข่าวของเราในวันนี้”

ปุ้ย : “ที่เราเลือกเงียบบอกเลยว่ามันรู้สึกมานานแล้ว เงียบซะดีกว่าเพื่อให้สิ่งดีๆ มันเกิดต่อไป”

แจงไม่เชิญ “ฟ้าใส” มาแถลงร่วมเพราะก่อนหน้านี้พูดกันอีกประเด็นนึง แต่ครั้งนี้อีกประเด็นนึงไม่อยากให้ดีเบตกันไปมา ใครพูดจริง ใครพูดไม่จริง
ปุ้ย: “หลายคนบอกว่าทำไมไม่เชิญฟ้าใสมาเผชิญหน้ากันตามที่เขาบอก ในความคิดของเราอย่าเอาประเด็นก่อนหน้ามาพูดมันคนละเรื่องกัน ประเด็นก่อนหน้าที่เราต้องการให้มาอยู่ต่อหน้าเพราะว่าเราพร้อมที่จะเปิดคลิป ซึ่งมันต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าตัวเปิดได้หรือไม่ แต่ครั้งนี้มันคนละเรื่องกัน การจะมานั่งดีเบตใครผิดใครถูก ใครพูด ใครไม่ได้พูด คิดว่ามันไม่ใช่ เราจะไม่ทำอย่างนั้น จะไม่สร้างกระแสแบบนี้ แล้วเราจะไม่เชิญใครเลยที่ไม่ได้อยู่ในห้วงเวลานั้นมาเพราะเขาไม่รู้ ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาจะพูดยังไงก็ได้ ส่วนใครจะแถลง จะพูดยังไงก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของเขา

“นก” ไดเร็กเตอร์กองประกวดเล่าว่าในวันที่ 6 มิ.ย. 2019 ทางกองประกวดได้เชิญผู้เข้าประกวด 60 คนและผู้ปกครอง และได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันและผู้ที่ได้ตำแหน่งต้องมีการเซ็นสัญญาอีกครั้ง
นก : “ในวันที่ 6 มิ.ย. 2019 เราได้นัดผู้ปกครองเขามาอ่านข้อตกลงร่วมกัน มีเพียง 1 คนเท่านั้น จะเป็นพี่เลี้ยงหรือผู้ปกครองก็ได้ คนที่เซ็นบันทึกข้อตกลงก็คือคนที่จะอยู่ทำงานกับเราต่อ และมีการคุยเรื่องการทำงานต่างๆ และช่วงบ่ายเป็นการถ่าย VTR ชุดว่ายน้ำ เรามีการบอกไว้ก่อนแล้วว่าในฉบับที่พี่เลี้ยงหรือผู้ปกครองอ่านบันทึกข้อตกลงการเข้าร่วมการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 ซึ่งหลังจากนั้นคนใดคนหนึ่งของเราได้ตำแหน่งเราจะต้องเข้ามาเซ็นสัญญากันอีกครั้งหนึ่ง ใครไม่เข้าใจให้ยกมือถาม ก็มีการย้ำแล้วว่าลำดับที่ 12345 จะต้องเข้ามาเซ็นสัญญาอีกครั้ง แล้วยังบอกอีกด้วยว่าปีนี้เราจะทำวงการนางงามให้พัฒนาขึ้นต่อไป ดังนั้นน้องที่อยู่ในท็อป 10 ทาง TPN จะเรียกเข้ามาเซ็นสัญญาด้วยเป็นศิลปินในสังกัด เราก็มีคลิปมาให้ดูว่ามีการเซ็นสัญญากันเกิดขึ้นโดยที่ทุกคนเข้าใจในข้อตกลง ไม่มีการทักท้วงอะไร ยกเว้นน้อง 3 คนที่ถูกตัดสิทธิ์ไป ในวันที่เราให้เซ็นก็เขียนไว้ชัดเจนว่าเป็นข้อตกลง”

ทนาย “นายวิชิต แก้วธนะสิน” พูดในแง่ของกฎหมาย ทำไมข้อตกลงดังกล่าวถึงไม่ใช่สัญญา
ทนายวิชิต : “ขอชี้แจงในส่วนของข้อตกลงในการเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงบันทึกที่เป็นนิติกรรมที่มีเงื่อนไข โดยจะต้องมีการทำสัญญาขึ้นใหม่อีกครั้งนึงในอนาคต ขอบเขตของสัญญา คือผูกพันตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 รองอันดับ 1 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 อันดับ 2 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 ในข้อตกลงดังกล่าวขณะที่ทำบันทึกฉบับนี้ในวันที่ 6 มิ.ย. ทางบริษัทและผู้ให้สัญญายังไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าผู้ให้สัญญาทั้ง 60 คน ใครจะได้รับตำแหน่งนั้น ดังนั้นจึงมีเงื่อนไขในการที่จะเข้าถึงสัญญากับบริษัทอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ผู้ให้สัญญาได้รับตำแหน่งการประกวดนั้นแล้ว โดยสัญญาที่จะทำขึ้นดังกล่าวจะระบุตำแหน่งของผู้ให้สัญญา เพื่อให้ผู้รับสัญญาได้รับเงินรางวัล ของรางวัลตามที่บริษัทได้ทำบันทึกฉบับวันที่ 6 มิ.ย. ไว้

ซึ่งทางบริษัทได้ตกลงจะให้เงินรางวัลแก่ผู้ให้สัญญาในระยะเวลา 30 วัน นับจากลงนามในสัญญา ซึ่งมันมีเงื่อนไขตรงนี้อยู่ในข้อตกลงตัวนั้นแล้ว ของฟ้าใสก็จะมีระบุไว้ด้วยในการรับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 จะมีการแสดงข้อตกลงดังกล่าวว่าคู่สัญญาต้องสัญญาอีกฉบับนึงกับบริษัท บันทึกดังกล่าวจึงยังถือเป็นสัญญาไม่ได้ หรือถ้าจะถือเป็นสัญญา สัญญาตัวนั้นก็ยังไม่เกิดขึ้นเพราะยังไม่ได้มีการทำตามกำหนดในบันทึกข้อตกลง ทางฝ่ายกฎหมายก็ได้มีการคุยกับน้องฟ้าใสแล้วก็ได้คุยกับทนายและญาติของน้อง โดยน้องประสงค์ว่าไม่มีความต้องการที่จะเข้ามาทำสัญญากับทางบริษัท และมีข้อตกลงกันว่าจะไม่เปิดเผยในรายละเอียดต่างๆ”

บอกการเซ็นบันทึกข้อตกลงเป็นการรับทราบข้อกำหนดในการประกวดจากนั้น ผู้ที่ได้รับตำแหน่งถึงค่อยเซ็นสัญญาเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของการประกวดนางงามทุกเวที
ปุ้ย : “สำหรับเราบันทึกฉบับนี้เป็นธรรมเนียมที่ทำกันมาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว ทุกเวทีปฎิบัติเป็นประเพณีปฎิบัติ ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราทำขึ้นมา ซึ่งทุกคนก็รับรู้และเข้าใจดีว่ามันคือข้อตกลง เราได้ถามนางงามของเราทุกซีซั่นว่าสิ่งเหล่านี้พวกหนูเรียกมันว่าอะไร น้องทุกคนบอกว่าข้อตกลงค่ะ แล้วใครที่เดินไปคว้ามงกุฎ ไปคว้าดวงดาวได้จะต้องกลับมาทำสัญญาตามระบบ น้องบางคนบอกว่าพอได้มงกุฎ สายสะพายเขาก็เซ็นเลยวันนั้น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิด มันเป็นเรื่องที่ควรจะต้องทำ เราลองไปถามเวทีอื่นเขาก็บอกว่ามันเป็นธรรมเนียมปฎิบัติจริงๆ ก็ไม่มีใครมีปัญหาอะไรเลย”

ประเด็นแก้ไขสัญญาไปมานั้น ทางTPN แจงว่าที่สัญญาถูกเปลี่ยนเพราะจะมีโปรเจกต์ทำอะคาเดมี่ร่วมกับ “ฟ้าใส” ส่วนเรื่องแบ่งผลประโยชน์ 50 : 50 เพื่อรับผิดชอบดูแลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ค่าเดินทาง ค่าติดต่อเอเจนซี่
ปุ้ย : “ข้อเคลียร์เรื่อง 3 ปี กับ 50 เปอร์เซ็นต์ ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ บูชา และสวดมนต์ในทุกๆ โอกาส ในทุกๆ วันพระ ขอบอกตรงนี้ว่าเราไม่เคยคิดจะเปลี่ยนตรงนี้เลย เพราะไม่ได้คิดว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลง”

ณะ : “เรานั่งคุยกัน เราเห็นพ้องต้องกันถึงอนาคตของฟ้าใสว่าเราควรจะทำอะไรต่อไหม ณ เวลานั้นเราเห็นว่าฟ้าใสเป็นคนที่มีศักยภาพหนึ่งคน เราจึงพูดถึงเรื่องการตั้งอะคาเดมี่นางงามขึ้น”

ปุ้ย : “เราไม่ได้พูดถึงว่าถ้าเขาได้ตำแหน่งแล้วจะทำ ได้ไม่ได้เราไม่พูดถึง เอาไว้ก่อน เราพูดว่าเสร็จสิ้นการประกวดแล้ว พอเรากลับมาจากแอตแลนต้า เราจะทำอะไรด้วยกัน”

ณะ : “เขาก็บอกว่าเขาอยากจะทำอะคาเดมี่ สอนทุกอย่างเพื่อจะปั้นนางงามที่มีคุณภาพของประเทศไทย เพื่อที่เราจะไปคว้ามงกุฎในเวทีต่างๆ นั้นคือสิ่งที่น้องอยากทำแล้วเราเห็นด้วย นั่นจึงเป็นที่มาของการทำสัญญา ก็คุยกันว่าเราตั้งให้น้องเป็นผู้บริหารนะ เราก็มาคุยกันว่าทำสัญญายังไง น้องเขาก็บอกว่าเป็นสัญญาตลอดชีวิตไหม”

ปุ้ย : “ เราก็บอกไปว่าฉันให้เธอทำไปตลอดชีวิตนั่นแหละ เพราะเดี๋ยวมันก็จะมีรุ่นอื่นๆ มาต่อด้วย ทำเพื่อสร้างอาณาจักร MUT ของเราให้ยิ่งใหญ่ นี่คือสิ่งที่พูดในห้องประชุมด้วยกัน น้องเขาก็กังวลว่าจะจ้างเขาแค่ปีเดียว เราก็บอกว่างั้นเอาต่อทีละ 3 ปีแล้วกัน อย่านานกว่านี้เลย ปวดหัว แล้ว 3 ปีมันไม่ใช่เวลาที่โหดร้าย เพราะทุกเวทีก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

ซึ่งสัญญาตัวนี้ไม่ได้แยกมาจากสัญญามิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 มันอยู่ในสัญญารวมของการทำงานทั้งหมด แต่สัญญาที่จะเป็นนางงามนี่ 1 ปี ที่เหลือปฎิบัติงาน 2 ปี มาถึงเรื่อง 50 : 50 ก่อนที่จะไปประกวดเป็นเดือนเลยเรามีการคุยกันว่าถ้ามีงานที่ต่างประเทศจะอะไรก็ตามเราขอไว้สัก 50 : 50 เพื่อเราจะรับผิดชอบดูแลทั้งหมด ค่าอะไรต่อมิอะไร รวมถึงค่าเดินทาง ค่าติดต่อเอเจนซี่ จึงเป็นที่มาของ 50 : 50”

ในประเด็นที่รองทั้ง 4 เข้าไปเซ็นสัญญา แต่ “ฟ้าใส” กลับไม่รู้เรื่อง ทางTPN แย้งว่าไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องงุบงิบ ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ควรถามเพราะเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งทาง TPN ไม่ได้เป็นฝ่ายที่เพิกเฉย
นก : “ ในวันนั้นไทม์ไลน์มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราประกวดเสร็จวันที่ 29 แต่ระหว่างทางมันมีการแยกสัญญาแต่ละฉบับของผู้ชนะเลิศต่างๆ 12345 มันต้องมีการทำแยกฉบับกันจากก่อนหน้านี้ที่เราเขียนรวมไว้ ระหว่างที่ผู้ได้รับตำแหน่งไปปฎิบัติหน้าที่ เรารู้แล้วว่าวันที่ 17 ทีมจะได้กลับมาเจอกันครั้งแรก เราก็บอกว่างั้นพี่ปุ้ยก็ให้ทุกคนเซ็นสัญญาวันนี้ให้เสร็จไปเลยเพราะจะได้เจอกันครบทุกคนครั้งแรก ซึ่งในวันที่ 17 ก.ค. ทุกคนรู้กันหมดว่าเราจะมาทำงานด้วยกัน เจอกันครบและเซ็นสัญญา แต่ปรากฏว่า 4 สาวมาเจอเราเลย นัมเบอร์วันของเราไปฟิตติ้งอีกชุดนึงกับสปอนเซอร์อีกท่าน มาเจอกันตอนเย็น”

ปุ้ย : “ที่น้องบอกว่าน้องไม่รู้ว่าจะต้องเซ็นสัญญาในวันที่ 17 ก.ค. อย่าไปโทษว่าทำไมเพื่อนๆ ไม่บอก คือ 4 คนเขารู้กันหมด ของอย่างนี้มันมีเหตุจำเป็นไหมที่จะต้องงุบงิบพูด สมมติถ้าน้องไม่รู้เลยจริงๆ แล้วตลอดระเวลา 3-4 เดือนก่อนจะไปประกวด น้องได้ตำแหน่ง และเป็นผลประโยชน์ของน้อง น้องจะไม่ถามสักคำเลยเหรอว่าทำไมหนูยังไม่ได้เซ็น ไม่ใช่ว่า TPN เพิกเฉยหรือไม่ได้ทวงถามเชิญเข้ามาเซ็นสัญญา”

นก : “ดูจากไทม์ไลน์กรุ๊ปแชต จะเห็นว่าเรานัดเข้ามาเซ็น มีการบอกกันว่าจะมาเซ็นวันที่ 11”

บอกไม่มีการเซ็นสัญญาที่ 2 ที่ 3 ทั้งหมดมันคือการพูดถึงการร่างสัญญาฉบับจริงซึ่งยังไม่มีการเซ็นเกิดขึ้น
ปุ้ย : “แล้วที่ว่ามันต้องมีการเซ็นสัญญาฉบับที่ 2 ที่ 3 เกิดขึ้น จะชี้แจงว่ามันไม่ได้มีสัญญาที่ 2 ที่ 3 ที่พูดมาทั้งหมดก่อนหน้านี้มันเป็นการพูดถึงร่างสัญญา แต่ยังไม่ได้มีการทำสัญญาจริงเกิดขึ้น ยังไม่มีการเซ็น ซึ่งเราแจ้งไปแล้วว่าจะมีการเซ็นกันใหม่อีกรอบ”

นก : “ในข้อตกลงระบุไว้ว่าคุณจะต้องเข้ามาเซ็นสัญญานับจากวันที่ลงนามในสัญญา 30 วัน คือมันมีการบอกไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีการเข้ามาเซ็นสัญญาภายใน 30 วันหลังจากได้รับตำแหน่ง ซึ่งเขาก็รับรู้ในวันนั้นแล้วเพราะน้องเซ็นรับทราบไว้เรียบร้อย”

ปุ้ย : “ในนี้จะเขียนไว้เลยงวดแรกจ่ายเงิน 750,000 ในปี 2562 ถ้วนภายในระยะเวลาลงนามในสัญญา งวดที่ 2 จ่ายเงินจำนวน 750,000 ในปี 2563 ถ้วนภายใน 30 วันหลังจากส่งมอบตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ในปีถัดไป มงกุฎ เกียรติยศ สายสะพาย รถยนต์ ที่พักระหว่างดำรงตำแหน่ง (แปลว่าเอกสารฉบับนี้ชัดเจนว่าเมื่อคุณได้มงกุฎ คุณจะต้องเซ็นสัญญาต่อ?) ถูกต้อง เรื่องเงินรางวัลข้อ 4 บริษัทตกลงมอบเงินรางวัลและของรางวัลให้แก่ผู้ให้สัญญาคือมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 นั่นหมายความว่าแต่ละฉบับจะมีข้อความตรงนี้เปลี่ยนไป คือรองอันดับ 1-4 จะแยกสัญญาเลย


ไม่มีจาก 1 ปี ไป 2 ปี 3 ปีค่ะ มีสัญญานางงาม 1 ปี และสัญญาที่ลงไว้ 2 ปี เป็น 3 ปี นั่นก็คือสิ่งที่พี่พูดไปแล้ว ในเรื่องการเปิดบริษัทร่วมกัน จะสร้างอะคาเดมีร่วมกัน เราก็ลงไว้ให้ 3 ปี ถามว่าถ้าน้องไม่พอใจ ไม่เห็นด้วย ไม่ชอบใจ ทำไมทิ้งร้างไว้  ปุ้ยก็โทรศัพท์ติดตามด้วยให้มาเซ็นได้แล้ว เพราะมันใกล้เวลาไปประกวดที่ต่างประเทศแล้ว”

โอดพลาดเองเพราะถือสัญญาใจมากกว่าสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ทางกองได้ทวงถาม “ฟ้าใส” ตลอด ทำให้แจ้งเอกสารให้กองมิสยูนิเวิร์สช้า เป็นที่มาของการส่งสัญญาให้เซ็นก่อนขึ้นเครื่องบิน
ณะ : “ซีรีส์แรกคือก่อนไปประกวด ซึ่งน้องต้องเซ็นสัญญาตั้งแต่ก่อนไปประกวดแล้ว”

ปุ้ย : “ขอถามไปถึงเวทีทุกเวที การที่เราจะส่งนางงามตัวเองไปประกวดเวทีระดับโลก อันนี้เป็นข้อผิดพลาดของพี่ปุ้ยและพี่ณะ เพราะไม่ได้คิดว่าสัญญาเป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าสัญญาคือสัญญาใจและสัจจะที่ให้ต่อกัน อันนี้เราพลาดเอง ซึ่งได้มีการทวงถามตลอด เพราะการกรอกเอกสารทางเวทีใหญ่แจ้งเราช้า เพราะต้องหาเมืองที่จะจัดการประกวด เรามีเวลาน้อยมากในการเตรียมเอกสาร และเอกสารเขาเยอะมาก เราจะต้องแนบสัญญาที่ผู้เข้าประกวดมีต่อองค์กร เพื่อยืนยันว่าเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ที่ถูกต้องทางกฎหมาย

ในเรื่องสัญญาจะเป็นเรื่องที่กองแม่เซ็นกับ ND ของตัวเอง เราก็ทวงถามตลอดทั้งด้วยวาจา ทั้งโทรศัพท์ ตอนนั้นเราก็เข้าใจว่าน้องยุ่งมาก น้องเหนื่อย ซ้อมหนัก จนกระทั่งมันใกล้วันก็ยังไม่มีการเซ็นสัญญากัน จนเป็นที่มาของผู้จัดการกองและฝ่ายทำเอกสารเขาเอาไปฝากให้น้องก่อนจะเดินทาง”

เผยมีพยานเห็น “ฟ้าใส” อ่านสัญญา รู้สึกโกรธที่อีกฝ่ายแจ้งทางกองว่าทำสัญญาหาย ลั่นตนต้องไปคุยกับทางผู้ใหญ่เวทีมิสยูนิเวิร์ส และเซ็นรับรองว่าฟ้าใสเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ถูกต้องตามกฎหมายถึงได้ประกวดเวทีมิสยูนิเวิร์ส
ปุ้ย : “เป้าหมายของ TPN คือมงฯ ที่ 3 จะต้องมาสู่ประเทศไทย แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่จะต้องบ่ายเบี่ยงหรือไม่ให้น้องเห็นสัญญา เรามีพยานบุคคลหลายคนที่เห็นน้องดูสัญญา ซึ่งไม่ใช่คนของ TPN ด้วยซ้ำ"

ณะ : "มันมีหลายครั้งมากที่ขอสัญญาแล้วขอสัญญาอีกเพราะน้องทำหาย เราก็มีการคุยกันด้วยซ้ำ ส่วนตัวเราโกรธด้วยซ้ำว่าทำไมสัญญาทำหายได้ไง เป็นเรื่องสำคัญนะ ส่งแล้วส่งอีก มีพยานหลายคนเห็นที่น้องเอากลับไปดูเพื่อศึกษาและปรึกษาผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร ก็มีการแนะนำมาตลอดว่าถ้าน้องไม่พอใจสัญญาข้อไหนก็มาคุยกันสิ เพราะนั่นเป็นแค่ร่างสัญญา เราต้องไปที่โน่นแล้ว เราไม่มีสัญญาฉบับนี้ เราจะไปยื่นให้เขาได้ยังไง เราจะตอบกองแม่ได้ยังไงว่า National Director ของเราส่งเอกสารไม่ครบ เราอายเขานะ"

ปุ้ย : "ถามว่าทำไมในที่สุดได้ประกวด เราก็บอกกับทางผู้ใหญ่ของน้องว่าเราต้องไปคุยกับผู้ใหญ่ของกอง และเซ็นรับรองว่าทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย น้องได้มีข้อตกลงกับกองเรียบร้อยแล้ว ขอยืนยัน ซึ่งนั่นเกิดขึ้นตอนไปที่แอตแลนต้าแล้ว”

แจ้ง “ฟ้าใส” แล้วว่าหากส่งสัญญาช้า จะมีผลกระทบการเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส ชี้ที่ฟ้าใสได้เข้าประกวดเพราะทางกองแก้ปัญหาเองหมดทุกอย่าง
ปุ้ย : "ทางกองแม่ไม่ได้มีเจตนาจะมาบอกว่านิดนึงก็ไม่ได้ เพียงแต่เราไปยืนยันตัวตนและมีลายเซ็นของกรรมการ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้เหมือนกัน ปุ้ยต้องเซ็นกับกรรมการทั้งหมด 10 คนในรอบไฟนอล พี่ณะเป็นคนถือไป เพราะกรรมการ 10 คนนี้เป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคม โดยให้เซ็นว่าตัดสินให้คนนี้เป็นมิสยูนิเวิร์สในวันนั้น ซึ่งเขามีแบบฟอร์มนี้อยู่แล้ว"

ณะ : "นอกจากนี้วันนั้นคนที่มอบมงกุฎให้น้องคือแคทริโอน่า เกรย์"

ปุ้ย : “ในการทำงานของทุกประเทศทุกองค์กร ถึงแม้ทุกคนจะทราบว่าเขาเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ แต่ประเด็นคือส่งเอกสารให้ครบรึยัง ปุ้ยไม่อยากพาดพิงเยอะเพราะมันจะไม่ดีมากๆ (น้องทราบไหมว่าการที่เขาไม่เซ็น มันส่งผลกระทบยังไงกับเขาและกองบ้าง?) ทำไมจะไม่ทราบ ปุ้ยเป็นคนพูดเองค่ะ เราก็ต้องตามล่าสัญญาเพื่อจะส่งให้กองประกวดใหญ่ ปุ้ยถามว่าอยู่โรงแรมไหนจะได้ไปเอา เขาก็บอกว่าออกมาแล้ว อยู่บนรถ เราก็เลยบอกว่าจะกลับมาถึงกี่โมงให้แจ้งจะได้ให้คนไปรับเอกสาร อันนี้สำคัญมากๆ

ถามว่าทำไมต้องตามขนาดนั้น ในเมื่อฟ้าใสเข้ากองประกวดแล้ว เพราะไม่อยากให้เขาว่าทำปีแรกก็ไม่เป็นมืออาชีพ ส่งเอกสารไม่ครบ ตอนแรกที่เขารับจากมือเรา คุณแม่บอกว่าเดี๋ยวดูให้ เพราะน้องอาจไม่อยากปรึกษาใคร รอคุณแม่มาอ่าน แต่เขาก็ไม่เซ็นและคุณแม่พูดโทรศัพท์กับเราว่าไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวน้องกลับไปเมืองไทยน้องก็เซ็นเอง เพราะน้องอายุ 26 แล้ว อยากเซ็นทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ใช่คุณแม่ไปทำแทน เราก็โอเคไม่เป็นไร เพราะประกวดไปแล้ว ก็เลยรอกลับไปเซ็นที่เมืองไทย

สุดท้ายการที่น้องไปประกวดคือทางกองแก้ปัญหาเองแม้ว่าจะไม่มีสัญญา ก็เราได้เซ็นรับรองและแจ้งคุณแม่ของน้องด้วย มีการไปเซ็นด้วยตัวเอง เพราะถ้าผิดพลาดอาจจะโดนปลดเพื่อให้มันจบ (อันนี้มีผลต่อการไม่ได้มงกุฎมิสยูนิเวิร์ส?) ไม่ทราบค่ะ เพราะไม่ได้เป็นกอง MU ค่ะ เรารอตลอดให้เข้ามาคุย ตามความเข้าใจของเราคือไม่อยากกดดัน”

ณะ : เขาไม่เข้ามาเซ็น ไม่มีการต่อรองอะไรสักอย่าง ทวงถามแล้วก็ไม่ส่งสัญญาณอะไรเลย สัญญาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง”

เปิดร่างสัญญาส่วนแบ่งเท่าเดิมไม่เคยเปลี่ยนคืองานในประเทศ 70:30 งานต่างประเทศ 50:50 ซึ่งตนได้แก้ร่างสัญญาตามความประสงค์ของคุณแม่ “ฟ้าใส” แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเซ็น
ปุ้ย : “ข้อสัญญาในประเทศก็ยัง 70 : 30 เหมือนเดิม น้องได้ 70 เราได้ 30 แต่แรกที่คุยกันไว้เรื่องงานต่างประเทศ ก็ยังเป็น 50 :50 จนกระทั่งแอตแลนต้า น้องก็ยังไม่เซ็น เขาบอกว่ามีเวลาหลายวันเดี๋ยวค่อยคุย (เปิดร่างสัญญาที่คุณแม่ของฟ้าใสขอให้แก้) อันนี้เป็นสัญญาที่มีมาตั้งแต่ Day 1 แต่ตอนไปถึงแอตแลนต้า น้องบอกว่าลืมเอามา เราก็ตกใจเลย ก็เลยให้ทีมงานทีมที่ 2 ที่บินตามมาเอาสัญญามาให้อีก

หลังจากนั้นคุณแม่ก็ได้อ่านสัญญาและขอแก้สัญญา เราก็แก้ให้หมดค่ะ อย่างข้อการกุศล เดิมทีเราเน้นเรื่องนางงามต้องทำงานการกุศล เราบอกว่าจะต้องทำการกุศลปีนึงไม่น้อยกว่า 12 ครั้ง แต่คุณแม่ขอแก้เป็นไม่เกิน 12 ครั้งต่อปี เราก็ย้ำให้เป็น 12 และเซ็นกำกับต่อหน้าคุณแม่ แต่คุณแม่ไม่เซ็นก็ไม่เป็นไร

ข้อ 5.3 เรื่องการถ่ายให้สปอนเซอร์ ถ้าในสัญญาข้อตกลงคือ 1 ครั้ง แต่อันนี้เราได้ยกออกไปแล้ว ซึ่งแก้ตามความประสงค์ของคุณแม่แล้ว แต่คุณแม่ไม่เซ็นค่ะ คือมีการตามตลอด และเราก็มีพยานบุคคล เพราะเราก็วิ่งไปปริ๊นต์ที่โรงแรม ไปรอรับ และทุกครั้งจะมีน้องๆ ที่ร่วมทีมไปด้วย มีการโทร.คุยกันว่าจะแก้ และเราเขียนไปว่าสัญญาแก้ตามที่ตกลงกันแล้ว”

บอกมี 1 ข้อที่ตนไม่ได้แก้ให้ตามที่แม่ของ “ฟ้าใส”ต้องการคือการได้เงิน
ปุ้ย : “เรื่องการได้เงิน เพราะการได้เงิน เราเขียนในสัญญาว่าขอเป็น 60 วัน ซึ่งคุยกันตั้งแต่แรกแล้ว มีแค่นี้ค่ะ ถามว่าเป็นจุดนี้รึเปล่าที่เขาไม่ยอมเซ็นสัญญา ก็ไม่รู้ค่ะ ถามว่าเรื่องเปอร์เซ็นต์รึเปล่าก็ไม่ทราบอีกเหมือนกันค่ะ แต่ในสัญญามันระบุชัดเจนอยู่แล้ว”

ชี้นอกจากการไม่เซ็นสัญญาจะมีผลต่อเวทีแม่แล้วยังมีผลต่อสปอนเซอร์ในการรับของรางวัลด้วย จนทางกองประกวดต้องยื่นโนติสไปหา “ฟ้าใส” เจ้าตัวรับทราบ แต่ก็ยังหายไปอีก จนวันที่ 21 ก.พ. อีกฝ่ายเข้ามาพร้อมสัญญาที่ทำมาเอง
ปุ้ย : “สปอนเซอร์ทำคู่สัญญากับ TPN อย่างวันนี้เราให้ MUT 2020 ไปรับรถ TPN เป็นคนเซ็นสัญญา และต้องจ่ายค่าภาษีโฆษณา เขาเซ็นกับเราค่ะ เราก็ต้องแนบด้วยว่าเด็กคนนี้เซ็นสัญญากับเราแล้ว เพื่อจะปฏิบัติภารกิจโฆษณาของ Third Party นี่คือเหตุผลทำไมต้องมีสัญญา (ถ้าไม่เซ็นสัญญาจะมีผลต่อสปอนเซอร์?) ค่ะ ถ้าเรามั่วๆ เอาบันทึกข้อตกลงให้เขา ท้าให้ถามทุกสปอนเซอร์เลยว่าใครจะไปจ่ายของ เพราะในนั้นไม่ได้ระบุเลยว่าใครจะได้ตำแหน่ง คนๆ นั้นจะไปตอบแทนสปอนเซอร์ตามที่ทำสัญญากับบริษัทหรือไม่ นี่คือคำถามเหมือนกัน

ตอนนั้นเรายังทำเช็ครอไว้เพราะคิดว่าน้องจะเซ็นสัญญา เพราะมองว่าเขาเซ็นแล้วควรจะได้ตังค์แล้ว พอเวลาผ่านไปหลายวัน บริษัทก็เลยทำหนังสือไปแจ้งบอกกล่าวในวันที่ 27 ม.ค. โดยผู้จัดการกองนำไปให้กับมือ ซึ่งจะมาบอกว่าไม่ได้รับการติดตามทวงถามจากบริษัทก็เป็นไปไม่ได้ ถามว่าทำไมถึงส่งโนติสไป คือปรึกษากับฝ่ายกฎหมาย เพราะเพื่อนที่เป็นสปอนเซอร์ทวงถามแล้ว พอส่งเอกสารไปเขาก็ได้รับ ก็มีโอกาสคุยกับผู้จัดการ เขาบอกว่าจะไปหาเช้าวันที่ 28 ม.ค. จะไปยื่นให้ด้วยตัวเองที่คอนโด ซึ่งน้องก็รับทราบแล้ว แล้วหายกันไปอีก จนกระทั่งมีไลน์ที่น้องบอกว่าเป็นคนทวงถาม แต่คือจริงๆ โนติสถูกส่งไปแล้วถึงเกิดเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ น้องมาทวงถาม น้องเล่าตัดตอนไปนิดนึง ในที่สุดก็ได้มาเจอในวันที่ 21 ก.พ. เขาก็มากับคุณลุงญาติผู้ใหญ่ท่านเดิมพร้อมกับทนาย แต่น้องมาพร้อมกับสัญญาที่ทำมาเอง”

ซึ่งรายละเอียดในสัญญาที่ “ฟ้าใส” ทำมาเองนั้น ทาง “TPN” ไม่โอเค
ปุ้ย : “โดยสัญญาของเขาระบุว่าเงินรางวัล 1.5 ล้านบาท แบ่งจ่าย 2 งวด งวดแรก 7.5 แสนบาท จ่ายในวันที่ลงนาม งวดที่สอง 7.5 แสนบาท จ่ายภายใน 14 วัน แต่ข้อที่ 4.1.1 ซึ่งเกี่ยวกับงานสาธารณกุศล บอกว่า ในกรณีที่ผู้ให้สัญญาปฏิบัติหน้าที่ครบ 12 ครั้งแล้ว ผู้ให้สัญญาสามารถปฏิเสธงานต่อๆ ไป หรือเรียกร้องค่าตอบแทนจากบริษัทเป็นจำนวนเงิน 15,000 บาท/ครั้ง สำหรับงานในกรุงเทพฯ หรือ 30,000 บาท/ครั้ง/วัน สำหรับงานต่างจังหวัด ทั้งนี้การปฏิบัติงานไม่เกิน 3 ชม./วัน เราถึงกับถอดแว่นและบอกว่าข้อนี้ทำใจไม่ได้จริงๆ การทำงานการกุศล TPN ไม่สามารถไปเรียกเงินได้หรอก ไม่เขียนซะดีกว่า ถ้าคุณไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา

มาถึงข้อ 4.11 เราก็ถอดแว่นอีกรอบ เพราะน้องใส่มาว่า ผู้ให้สัญญาสามารถรับงานอื่นๆ นอกเหนือจากข้อ 4.7 คืองานบันเทิงถ่ายแบบโฆษณา น้องบอกว่า อาทิ งานสอนพิเศษ งานเบื้องหลัง งานนอกจอ และ/หรือช่องทางออนไลน์เป็นของตนเองได้โดยไม่ต้องแบ่งค่าตอบแทนใดๆ ให้บริษัท ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติต้องให้คิวงานกับผู้ดูแลเป็นหลัก และแจ้งให้บริษัทหรือผู้ดูแลทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับตารางงานนอกเหนือจากที่ผู้ดูแลจัดเตรียมให้ ข้อนี้เราอาจตีความผิดก็ได้ รู้สึกว่าหนูไม่ต้องเซ็นก็ได้ หนูรับเองทั้งหมด พี่ปุ้ยดูแล้วก็อย่าเลย

งงถามใครทำไหมจะไปทำงานกับที่ไหนแล้วร่างสัญญาขึ้นมาเองให้บริษัท และบริษัทห้ามทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสียชื่อเสียงและเรื่องของค่าตอบแทนที่หากเก็บเงินได้ช้า TPN ต้องจ่ายให้ฟ้าใสก่อน แต่หากได้เร็วต้องจ่ายให้เลย หากมีการยกเลิกสัญญาก่อน ทางกองต้องให้รางวัลที่เคยตกลงไว้ และจ่ายเงินทั้งหมดที่เป็นงานในอนาคตให้ด้วย
ปุ้ย : “ที่บอกว่าต้องมีการจัดการเรียนการสอนฝึกอบรมศิลปิน อันนี้เราไม่ติด แต่มาติดข้อสุดท้ายว่าทั้งนี้การเข้าร่วมเวิร์กช็อปขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ให้สัญญาด้วย มันมีไหมคะสัญญาแบบนี้ คุณไปสมัครงาน น้องมีส่งสัญญาส่วนตัวให้บริษัทด้วย เป็นไปได้ไหมคะ แล้วก็มีข้อ 5.7 คือต้องไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามหรือกระทำการอื่นใดที่เป็นการไม่สมควรแก่ผู้ให้สัญญา ครอบครัวผู้ให้สัญญา ผู้ดูแล 5.8 ต้องไม่ทำให้ผู้ให้สัญญาเสื่อมเสียชื่อเสียง และมีอีก ข้อ 5.9 ต้องไม่ประพฤติตนให้เป็นที่เสื่อมเสียชื่อเสียงจนมีผลกระทบต่ออาชีพของผู้ให้สัญญา แปลว่าบริษัทห้ามทำอะไรที่เสื่อมเสียชื่อเสียงที่ทำให้เธอเสื่อมเสีย

ซึ่งสัญญาแบบนี้เป็นสัญญาที่บริษัทควรทำกับลูกน้องในบริษัทไหม หรือลูกน้องทำสัญญาว่าเจ้าของบริษัทต้องไม่ทำให้น้องเสื่อมเสีย เราก็เลยงง และมีเรื่องของค่าตอบแทน ในกรณีลูกค้าจ่ายค่าจ้างให้บริษัทช้ากว่ากำหนด ทางบริษัทต้องชำระค่าตอบแทนเป็นเครดิตให้แก่ผู้ให้สัญญาใน 30 วัน หลังจากที่ผู้ให้สัญญาปฏิบัติหน้าที่หรือปรากฏตัวในงานเป็นที่เรียบร้อย

ในกรณีที่ผู้จ้างจ่ายค่าจ้างให้เร็วกว่ากำหนดบริษัทสามารถจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้ให้สัญญาได้ก่อนกำหนด ข้อ 7.2 แม้สัญญาจะไม่ครบกำหนดในระยะเวลา บริษัทสามารถบอกเลิกสัญญาได้ โดยทำเป็นลายลักษณ์อักษรบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน โดยบริษัทต้องชำระค่าตอบแทนงานที่ผู้ให้สัญญาได้ทำไปเรียบร้อยแล้ว และค่าตอบแทนที่จะได้รับจากงานในอนาคตที่จัดเตรียมผู้ให้สัญญา รวมถึงมอบเงินรางวัลและของรางวัลเงื่อนไขอื่นๆ ตามเงื่อนไขข้อ 3 ให้ครบถ้วนกับผู้ให้สัญญาในวันยกเลิกสัญญา ข้อนี้แปลว่าถ้ามีการยกเลิกสัญญา เราต้องจ่ายให้หมดเลย จ่ายทั้งของรางวัลทุกอย่าง รวมถึงงานในอนาคตที่ยังไม่เกิดด้วย มันไม่ใช่”

ไม่สะดวกใจรับเงื่อนไขข้อสัญญาของ “ฟ้าใส” ยันไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน แต่เกี่ยวกับเรื่องของความสุขในการทำงานร่วมกันมากกว่า ซึ่งได้ตกลงกันว่าแม้จะไม่เซ็นสัญญาแต่ก็จะให้อีกฝ่ายมาร่วมงานอำลาตำแหน่ง ได้รับเงิน สายสะพาย อีกฝ่ายสามารถทำมงกุฎเองได้
ปุ้ย : “เรามองแล้วว่าเราไม่สะดวกใจ กับเงื่อนไขของทางฟ้าใส ซึ่งไม่เกี่ยวกับตัวเงิน แต่เป็นเรื่องของอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าน้องน่าจะไม่มีความสุขถ้าอยู่กับทางกอง จึงเป็นที่มาของการคุยกันในวันนั้นเลย โดยทางฟ้าใสยื่นข้อเสนอไม่ขอเข้าทำสัญญากับทางบริษัท นัยยะสำคัญมีอยู่ว่า ฟ้าใสมีความประสงค์ไม่เข้าทำสัญญาผูกพันกับบริษัททั้งในฐานะ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์2019 และในฐานะนักแสดงภายใต้สังกัดของบริษัทอีกต่อไป ฟ้าใสจะปฏิบัติหน้าที่อำลาตำแหน่ง ในวัน เวลา ที่บริษัทกำหนดไว้ในการประกวด MUT 2020

เราก็ขอวงเล็บไปว่า ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเชิญผู้ให้สัญญามาในวันที่อำลาตำแหน่ง แต่ในที่สุดด้วยความที่อยากจบด้วยดี ก็เชิญน้องมาในวันอำลาตำแหน่ง และให้มอบมงกุฏให้ผู้ชนะ ถ่ายสูจิบัตรมีการตกลงกันว่า จะให้เงินรางวัลตามที่ทางฟ้าใสร้องขอ พร้อมสายสะพาย ส่วนของรางวัลอื่นที่ตามข้อตกลงที่สองฝ่ายที่เคยทำขึ้น นอกจากตามที่ตกลง จะยกเลิกทั้งสิ้น ในส่วนที่ฟ้าใสมาขอทำมงกุฏเอง ทางบริษัทก็อนุญาต”

ในความรู้สึกยังไง “ฟ้าใส” ก็ยังเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 อยู่แม้จะไม่ได้เซ็นสัญญาร่วมกัน เรื่องถูกมองว่าทำสัญญาทาสนั้น “ปุ้ย” ถามกลับช่วยวิเคราะห์หน่อยว่าหลังจากเปิดสัญญาให้ได้ทราบแล้วคิดว่าตรงไหนบ้างที่เป้นสัญญาทาส
ปุ้ย : “ในความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวกับตัวสัญญา เราก็ให้เขาเป็นเพราะผ่านการประกวดมาแล้ว กับคำถามที่ว่าทำไมไม่ปลดคือเรื่องมันตั้งแต่ ก.พ. และทางเราก็อยากให้จบด้วยดี ในกรณีที่ของรางวัลมูลค่าค่อนข้างเยอะ แต่ฟ้าใสขอเพียง 5 แสนบาทนั้น คาดว่าน้องคงไม่สะดวกใจที่จะทำงานกับทางเราต่อ ยืนยันว่าที่ผ่านมาพยายามดูแลน้องอย่างดี เรื่องมงกุฏน้องขอไปทำเอง ไม่ได้เรียกร้องอะไร ก็เป็นไปตามสัญญาสุดท้าย แต่ถ้ามีใครมาถามว่า มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์2019 คือใคร เราก็ต้องตอบว่า ปวีณสุดา ดรูอิ้น อยู่แล้ว ไม่ได้อยากให้ตีความทางกฎหมาย อยากให้ตีความที่ความรู้สึก ที่ผ่านมาเราก็ทำกิจกรรมด้วยกัน จริงๆ ไม่ได้อยากมาพูดอะไร แต่ด้วยกระแสต่างๆ ออกมา จึงต้องออกมาพูดเรื่องสัญญาทาส ต้องถามทุกคนว่าทาสหรือเปล่า

ถ้าเรามองก็ไม่ คงไม่ใช่สัญญาทาส ต่างคนต่างวิเคราะห์แล้วกัน แต่ถ้าเรื่องสัญญา3 ปี ส่วนแบ่งในประเทศ 70 : 30 มีเวทีนี้เวทีเดียวเหรอที่ทำแบบนี้ และการทำสัญญาถ้าเป็นความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย มันไม่ใช่เรื่องผิดเลย กับเรื่องนี้มันไม่ได้มีการเข้ามาทำสัญญา จึงไม่เกิดสัญญา ต่างคนต่างไม่แฮปปี้ ไม่เซ็นก็ไม่มีใครผิด ก็จบลงด้วยบันทึกข้อตกลงไม่เข้าทำสัญญา

วอนแฟนคลับอย่ามาด่าTPN ไม่สามารถปกป้อง “ฟ้าใส” จากปัญหาเรื่องของวินัยได้ บอกที่ไม่ออกมาพูดถือเป็นการปกป้องอีกฝ่ายแล้ว และไม่มีประโยชน์ที่จะปลดอีกฝ่ายด้วย
ปุ้ย : “ในส่วนของเรื่องที่ผ่านมากับปัญหาเรื่องวินัย แฟนๆ ก็มาว่าทางเราทำไม TPN ไม่ปกป้องน้อง เราไม่พูดเรื่องพวกนี้คือปกป้องแล้ว แต่วันนี้ต้องพูด ขอยก 1 เหตุการณ์ ในวันที่ต้องเข้ากองประกวด MU 2019 ที่มีกระแสว่ากองไม่แจ้งเวลาน้องว่าต้องเข้ากี่โมง น้องต้องจัดกระเป๋า น้องท้องเสีย ขอยืนยันว่าเราก็อยากจะให้น้องเข้ากองเป็นคนแรกๆ เพื่อจะได้ไปเลือกเสื้อผ้าก่อน ทางน้องบอกไม่พร้อมขอเลื่อน 1 วัน เราก็โอเคแม้เราจะเตรียมแผนไว้แล้วก็ตาม เราก็ขอน้องไปว่าขอให้เข้าตามฤกษ์ที่วางไว้ และทางเราก็ได้วางลุคน้องไว้ในแต่ละวันในกระเป๋าเดินทางไว้หมดแล้ว แต่ทางน้องอยากจะปรับเปลี่ยนใหม่ ก็รื้อกันใหม่ เราก็ตามทุกวันเรื่องจัดกระเป๋า สุดท้ายก็เอาตามเดิม

ในวันที่เข้ากองที่ทางน้องบอกว่าน้องไม่ได้ตื่นสาย ก็ไปปลุกน้องตั้งแต่ 6 โมงเช้า ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ ทางคนไปปลุกก็บอกว่าติดต่อน้องไม่ได้ เราก็ตกใจ เพราะเรานัดผู้ใหญ่ไว้ เราก็ไปปลุกเขา ตอนใกล้เวลาที่ต้องออกแล้ว เราก็ให้น้องรีบ เร่งทุกคนมาช่วยน้องแต่งตัว ก็เลทไปประมาณหนึ่ง ก่อนลงรถน้องยังถามเลยว่าเราจะตอบเขายังไงดี ทางน้องก็บอกขอโทษและบอกว่าตัวเองท้องเสีย คือเรื่องนี้อย่ามาด่าทางเรา เพราะหลายๆ คนบีบตลอดว่ากองไม่ออกมาปกป้องน้อง การปกป้องน้องคือการไม่ออกมาพูด ไม่พูดมาก จนวันนี้ต้องพูด มันจบแล้ว ขอให้จบด้วยดีได้ไหม มีคนถามว่าทำไมไม่ปลด ไม่ฟ้องกลับ คือเราไม่ทำ ทำไมต้องทำ มันไม่มีประโยชน์ ฟ้องแล้วได้อะไร ถ้าน้องฟังแล้ววันนี้จะออกมาโต้แย้งยังไงนั้น หรือทางผจก.ส่วนตัวน้องจะโพสต์อะไรก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่วันนี้ทางเราจบแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดอะไร เราจะไม่ออกมาตอบโต้แล้ว ส่วนใครจะเลือกเชื่อสิ่งไหนก็อยู่ที่ความพอใจ เรื่องที่หลายคนมองว่าปัญหาเรื่องนี้จะเกิดขึ้นซ้ำใน MUT 2020 ไหม ไม่มีปัญหา เพราะ อแมนด้า ชาลิสา ออบดัม เซ็นสัญญาแล้วและได้รับของรางวัลไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาตัวเดียวกับฟ้าใส นอกจากนั้นในปีนี้ตำแหน่งรองทั้ง 4 คน ก็ได้อยู่คอนโดฟรีตลอดระยะการปฏิบัติภารกิจด้วย”

ฝากถึง “ฟ้าใส” ตนไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับน้อง พร้อมยกมงกุฎให้อีกฝ่าย หากคิดว่าตัวเองเหมาะสมและชอบธรรมก็มารับด้วยตัวเอง
ปุ้ย : “ฝากถึงฟ้าใสทางเราไม่ได้คิดอะไรไม่ดีกับน้อง มีเรื่องราวเกิดขึ้นก็เสียหายทั้งคู่ ต่างคนต่างพัฒนาตัวเองดีกว่า

เราคงยังต้องเจอกันอีก และสุดท้ายเรื่องมงกฎ ถ้าอยู่กับทางเรา เราก็ไม่มีบุญจะได้ใส่หรอก มงกุฎเป็นของสูงเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเดิมทีเราก็คิดว่าจะเอาไปประมูลแล้วเอาเงินไปให้การกุศลไหม”

ณะ : “ มงกุฎนี้ผู้ทำได้ถอดจิตถอดใจในการออกแบบมาให้เรา ซึ่งไม่คิดจะเอามงกุฏมาวนสำหรับปีถัดๆ ไปอยู่แล้ว เราทำใหม่ทุกปี อยู่กับเรามันไม่เกิดประโยชน์ ก็ไม่ต้องไปประมูลหรอก”

ปุ้ย : “ถ้าฟ้าใสคิดว่ามีคุณสมบัติและความชอบธรรมที่จะได้รับมงกุฎ เราจะไม่พูดถึงข้อบันทึกข้อผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น อันนี้คือความจริง ถ้าน้องคิดว่าน้องเหมาะสมแล้วน้องมารับไป มารับด้วยตัวเอง เรายกให้น้อง ติดต่อมาเลย

วันนี้อยากให้จบด้วยความดีงาม เราไม่ได้ให้ตามกระแส TPN ยึดถือความถูกต้อง ไม่มีกระแสอะไรมากดดันทั้งนั้น เรื่องราวต่างๆ ขอให้จบ ความถูกต้องมันอาจจะไม่ถูกใจเรา แต่ตรรกะความถูกต้องเราต้องมียึดถือในหัวใจ ในเรื่องความรู้สึกมันก็เป็นเรื่องความรู้สึก มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 ยังไงก็คือฟ้าใส ถึงแม้ว่าข้อตกลงต่างๆ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉะนั้นขอยุติกรณีต่างๆ (วันนี้คืนมงฯ ฟ้าใส?) ไม่ใช่ค่ะ น้องไม่ได้ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”












กำลังโหลดความคิดเห็น