"ดร.เสรี วงษ์มณฑา" ออกมาเผยสมการความสุขในชีวิต ผ่านรายการ "เรื่องลับมาก (NO CENSOR)" ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.20 - 15.00 น.ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 โดยเผยว่าชีวิตต้องมี 5 ป. ปรับ เปลี่ยน ปลง ปะทะ ประทัง พร้อมเผยวิธีการรับมือสไตล์ตนเอง เมื่อถูกคนบูลลี่
ในช่วงชีวิตอาจารย์ รับมือการบูลลี่ยังไง?
"ไม่สนใจ ตอนนี้มีคนบางคนเขารักและห่วงใย เวลาเจอคนแคปข้อความหรือรูปไปบูลลี่ คนหวังดีก็ส่งมาให้ดู ก็บอกว่าวันหลังไม่ต้องส่งมานะ เพราะไม่สนใจ จะด่าจะว่าไป เชื่ออย่างหนึ่งถ้าเราทำสิ่งที่ดีและถูกต้องตามความเชื่อของเรา ใครจะไม่เห็นคุณค่าก็ช่างเขา ทุกครั้งเวลาโดนด่า โดนว่าโดยคนที่เราคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี แสดงว่าเราดีคนชั่วเขาถึงด่าเรา หรืออะไรก็ตามที่ทำแล้วมีคนไม่ดีในสายตาพี่มาด่าพี่ อ๋อ เราทำถูกต้องแล้ว คนไม่ดีถึงมาด่าเรา"
มีบางคนถูกดูถูกและทำอะไรในชีวิตไม่ได้เลย?
"เรารับมาทำไมล่ะคะ เราต้องวิเคราะห์ด้วยตัวเราเอง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ฉันทะทำสิ่งที่เรารัก จิตตะทำด้วยความใส่ใจ วิริยะทำด้วยความเพียร วิมังสาทำแล้วสำเร็จหรือล้มเหลวก็พินิจพิเคราะห์ว่าด้วยเหตุอันใด ฉะนั้นเมื่อเราทำอะไรพลาดลงไป ใครจะดูถูกก็เรื่องของเขา นิสัย สติปัญญาของเขา แต่ตัวเราเองมีหน้าที่วิมังสา เราวิเคราะห์สิว่าเราล้มเหลวเกิดจากอะไร เราก็ได้บทเรียน ต้องถือว่าความผิดพลาดทุกอย่างมีบทเรียนให้เราเรียนรู้เสมอ เมื่อเราล้มเหลว ใครจะดูถูกจะพูดจะว่าอะไรอย่าไปใส่ใจเขา เราใส่ใจตัวเองว่าเราพลาดเพราะอะไร คนเราต้องได้บทเรียน"
รอบตัวเคยเจอคนล้มเหลวจากการดูถูกมั้ย?
"เคย มีคนบางคนไม่ยอมไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย เพราะตอนที่เขาจะสอบเข้าม.1 เขาก็สอบไม่ได้ เพราะแม่เลือกให้เขาไปโรงเรียนเลอเลิศ เขาก็ไม่ได้ เสร็จแล้วพอเขาจบม.ต้น จะไปต่อม.ปลาย แม่ก็เลือกโรงเรียนสุดยอดให้ไปสอบอีก เขาก็ล้มเหลวอีก แล้วก็บอกว่าเนี่ย ให้ไปสอบอะไรไม่เคยได้เลย พอถึงมหาวิทยาลัย แม่บังคับให้สอบอะไรก็ไม่ได้แล้ว พอเขาจบม.ปลายปั๊บเขาไปเที่ยวทะเลสนุกสนาน ไม่ท่องหนังสือสอบอะไรทั้งสิ้น เขารอให้มีการประกาศผลแล้วรามคำแหงเปิดรับเมื่อไหร่เขาไปสมัครทันที เขาไม่ต้องการไปสอบอีก เพราะถ้าสอบอีกไม่ได้อีก ก็ในเมื่อม.ต้น ม.ปลายก็ดูถูก เดี๋ยวสอบมหาวิทยาลัยไม่ได้ก็โดนดูถูกอีก เขาปิดโอกาสไม่ให้ใครดูถูก เขาก็เลยบอกว่าที่ฉันสอบเข้าไม่ได้ เพราะฉันไม่ได้ไปสอบ ฉันตั้งใจเลย มีความสุขมาก ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเหมือนเพื่อนๆ ไม่ต้องลุ้นผลสอบ ไม่เอาเลย พอรามคำแหงเปิดรับสมัครก็ไปเลยค่ะ หมดโอกาสดูถูกกันเลย เด็กเขาก็ตัดสินใจเป็น ไม่เปิดโอกาสให้คนดูถูกเขาอีก"
การบูลลี่จะทำให้หมดไปได้มั้ย?
"ไม่ได้ หนึ่งเรามองว่าเรามีค่า ส่วนคนที่บูลลี่เราเป็นคนไม่มีความคิด สายตาไม่มีแวว ฉะนั้นจะไปให้ค่ามันทำไม เราดูตัวเรานี่แหละ แต่เราก็ต้องรู้ว่าคนเราไม่มีใครทำถูกทุกครั้งไป แค่ทุกครั้งเราทำผิด เรายอมรับตัวเราเอง และพินิจพิเคราะห์ทุกครั้งว่าเราพลาดเพราะอะไร แล้วเราก็แก้ไข และไม่ทำซ้ำกับสิ่งที่ผิดพลาด ในที่สุดจะดีขึ้นค่ะ"
หลายคนบอกว่าจะลงทุนอะไรก็ไม่กล้า ขายอะไรก็เจ๊ง?
"ถ้าคิดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็เรียกว่าตัดไม้ข่มนามตัวเอง ไม่มีอะไรที่จะตันไปทั้งหมดหรอก ถ้าหากว่าเราจะลงทุน หลักการนะ พี่ทำรายการอยู่ มองว่าถ้าคนเราจะทำอะไรต้องมีเพชร 3 เม็ด เพชรเม็ดที่หนึ่งปัญญาวัชระ เราต้องรู้เรื่องนั้นอย่างแท้จริงถึงค่อยทำ เพชรที่สอง มโนวัชระ จิตใจต้องเข้มแข็งอย่าท้อถอยต่ออุปสรรค สามกายวัชระ ทำอะไรต้องทำสิ่งที่งดงาม เป็นที่ชื่่นชมของผู้คน"
"ถ้าเราบอกว่าทำอะไรก็เจ๊ง แสดงว่าเราไม่ได้ศึกษา ถามว่าเป็นคนเดียวในโลกนี้เหรอ ทำไมคนอื่นสำเร็จล่ะ ถ้ามองว่าอะไรก็เจ๊งหมด แสดงว่ามองอยู่รอบตัวเรา มองไปรอบๆ สิ มีคนที่เขาเจริญรุ่งเรืองกว่าเดิม มีมั้ย มีคนที่เขาพยุงให้อยู่รอดได้มั้ย มีคนที่เขาตกต่ำลงแต่ไม่ถึงขนาดเจ๊งมีมั้ย คนที่เจ๊งมีมั้ย มันมีหมด มีทุกประเภท เราก็ศึกษาสิ คนที่รุ่งขึ้นเขาทำอะไร คนที่พยุงได้เขาทำอะไร คนที่เจ๊งเขาทำอะไร ตัวเรามีจุดแข็งอยู่ตรงไหนอย่างไร มีหนังสือเล่มนึงที่อ่านแล้วชอบ ชื่อ ณ บัดนี้จงมองหาจุดแข็งของตัวเอง คนเราเป็นไปไม่ได้ที่จะอ่อนปวกเปียกไปซะทุกเรื่อง ไม่มีอะไรเลยที่เป็นจุดดี มันต้องมีสักเรื่องนึง"
"และเราต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากจุดที่เรามี สังเกตดูนะ หลายคนทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเขาจะทำ อย่างบางคนไปคุ้ยขยะจนรวย เชื่อมั้ยคนขี่ซาเล้งไปซื้อพวกขยะอะไรต่างๆ ซื้อของเก่า เขาพกเงินเป็นหมื่นนะคะ เขาไม่ได้พกเป็นร้อยเป็นพัน เพราะเขาไม่รู้ว่าไปเจอบ้านไหนจะมีขยะอะไรที่มีราคา 2-3 พัน เมื่อคัดขยะเสร็จแล้ว เขามองว่าขยะอาจไม่ใช่ขยะเสมอไป ขยะอาจไม่ได้มีราคาเป็นศูนย์เสมอไป ขยะมีราคาได้ เขาก็มีสตางค์จากตรงนี้ คนเราอย่าไปอับจนปัญญา"
"แต่สิ่งสำคัญในยุคโควิด ซึ่งเคยเกิดสมัยต้มยำกุ้ง คือจมให้ลง คือคนเราที่มีปัญหาเพราะบางคนจมไม่ลง เช่น ตอนที่เขาเสนองาน บางคนก็ไปงาน แล้วบอกว่าไม่เห็นมีงานอะไรที่อยากทำ เมื่อคุณจมไม่ลง หรือบางทีเขาแนะนำอาชีพให้ไปทอดปาท่องโก๋ขาย ให้ทำเฉาก๊วยขาย บางคนก็บอกว่าเฮ้ย จบตรีจบโทมาให้ทอดปาท่องโก๋ขายเหรอ ถ้าคิดอย่างนี้แสดงว่าจมไม่ลง อย่าลืมนะเศรษฐีอสังหาคนหนึ่ง สามารถฟื้นมาได้สมัยต้มยำกุ้งด้วยการทำแซนวิชขาย ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ"
"ปรับ เปลี่ยน ปลง ปะทะ ประทัง ป.ปลาเหล่านี้้ต้องมี อะไรที่้ต้องปรับเพื่อให้อยู่รอดได้คุณต้องปรับ อะไรที่เคยทำแล้วและไม่ควรทำแล้ว ก็ควรเปลี่ยน อะไรที่แก้ไขไม่ได้เพราะหลายสิ่งหลายอย่างไม่อาจควบคุมได้ คุณปลง ปัญหามีอย่านั่งงอมืองอเท้า อย่ารอให้ใครมาแก้ คุณต้องปะทะมัน อะไรพอทำได้ให้มีชีวิตไปก่อนเพื่อเป็นการประทัง เห็นมั้ย ปรับเปลี่ยนปลงปะทะประทัง ทำให้คนเรารอดได้ แต่ยืนยันต้องจมให้ลง คนจมไม่ลงมีปัญหาแน่นอนเวลาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้อ"
บางคนบอกว่าต้นทุนไม่เท่ากัน?
"ทุนไม่มีก็ทำสิ่งที่ไม่ต้องใช้ทุนสิ ถ้าทุนหนาเขาก็ทำสิ่งที่เป็นทุนหนา เราไม่มีทุนก็เลือกทำสิ่งที่ไม่มีทุน อย่างที่ยกตัวอย่าง บางคนไปรื้อขยะจนมีสตางค์ อันนั้นไม่ได้ใช้ทุนอะไรมากมายก่ายกอง หรือคุณไปรับจ้างทำขนมขาย รับจ้างคนอื่นเขาที่เขาทำของขาย รับส่งของก็ได้ มีงานเยอะแยะถ้าคุณไม่ถือตัว พี่ยังเคยคิดเล่นๆ เลยนะ ถ้าเกิดเราต้องย่ำแย่ ทำงานอะไรไม่ได้ โทรทัศน์ไม่มี วิทยุไม่มี สอนหนังสือไม่มี พี่ยังเคยคิดจะไปขายข้าวแกงตามไซต์ก่อสร้างเลย เรามีฝีมือทำอาหาร เราก็ทำไปขายตามไซต์ก่อสร้าง วันๆ นึงอย่างน้อยมีอาหารที่เหลือได้กินไปวันๆ และมีเงินมีทองมีต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบในการทำในวันต่อไป"
"ถ้าพี่ไม่มีจริงๆ ตกงานจริงๆ พี่ทำแบบนี้จริงๆ นะ ไม่ได้กลัวว่าดร.เสรียืนขายข้าวแกงหน้าไซต์ก่อสร้างอยู่หน้าคอนโด ไม่กลัวหรอก ก็ในเมื่อเราต้องการอยู่รอด และสิ่งที่ทำให้อยู่รอดคือสิ่งนี้เราก็ทำสิ เขาเรียกว่าปะทะแล้วประทัง สู้กับปัญหา ในขณะเดียวกันการที่เรายืนขายข้าวแกงเป็นการประทังทำให้เราอยู่รอด ใครจะไปรู้ อยู่ดีๆ มีคนมากินเยอะ อาจมีคนเป็นนักลงทุน ทำกับข้าวอร่อยแบบนี้ ทำเฟรนไซน์กันมั้ย เอาสัก 100 ล้าน เขามีร้านในศูนย์การค้า ก็อาจรวยได้ เพราะตอนนี้คำว่าสตาร์ทอัพคือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถขยายได้ แล้วมีบุคคลที่มีสตางค์แต่ไม่ได้มีความคิด เขาไปซื้อธุรกิจคนมีความคิดแล้วไปขยาย คนเป็นเจ้าของความคิดก็ได้หุ้นลม สุดท้ายก็รวยขึ้นมาได้ แก่นการใช้ชีวิตต้องจมให้ลง"
ความรักอาจารย์เป็นยังไงช่วงนี้?
"พี่เป็นคนมีความรักมั่นคงถาวร และเชื่อมั่นว่าเราจะรักกันจนจะตายจากกันนั่นแหละ"
บางคนเป็นสามีภรรยาอยู่กินกันจนแก่เฒ่าดันมานอกใจตอนแก่ แบบนี้ทำยังไง?
"อย่ามาปรึกษาพี่นะ พี่จะบอกให้เลิก พี่ไม่เคยบอกคนที่นอกใจว่าให้โอกาส ให้ลองคุยกัน พี่รู้สึกว่าในเมื่อเขานอกใจก็ไปเถอะ เพราะถ้าเราให้โอกาส ชีวิตเราจะไม่มีความสุข เราจะอยู่ด้วยความหวาดระแวง เพราะคนเราถ้านับหนึ่งได้ ก็นับสองได้ ถ้าเขาเคยนอกใจเราหนึ่งครั้ง เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวันที่เขาสำนึกกลับมาหาเราแล้วเขาจะไม่ทำอีก ชีวิตอยู่ด้วยความระแวง เป็นชีวิตที่ไม่มีความสุข ต่างคนต่างไป นอกใจแต่ไม่ถึงขนาดเกลียดกัน แยกกันอยู่แต่เป็นเพื่อนกันดีมั้ย ดีกว่าอยู่ด้วยกันแล้วสุดท้ายสันดานไม่หาย เกิดรอบสอง รอบนี้แทนที่จะโกรธน้อยใจจะกลายเป็นเกลียดชังกัน"
"ที่สำคัญถ้ามีลูกแล้วเกลียดชังกัน ผัวเมียที่แยกกันอยู่และมีลูก อย่าได้สอนลูกให้ชังบุพการีตัวเอง อย่าสอนลูกให้เกลียดอีกฝ่าย และอย่ากีดกันไม่ให้เจอลูก ทั้งพ่อทั้งแม่สองฝ่ายไม่ควรมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปด่าทอว่าพ่อหรือแม่ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อให้ลูกเกลียดชังบุพการี เพราะถ้าลูกเกลียดบุพการีด้านใดด้านนึงก็ตาม ลูกจะมีพฤติกรรมอกตัญญู กาย วาจา ใจเราควรมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ก็ขอร้องพ่อแม่อย่าสอนให้ลูกเกิดความเกลียดชังเพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี"
เคล็ดลับการใช้ชีวิตคู่คืออะไร?
"เติมแพชชั่นบ่อยๆ เวลารักกันมันคือความรัก แต่ถ้าเติมเสน่หาให้กันจะทำให้เกิดแพชชั่น เช่นเรียนรู้ใจกันเพื่อเอาใจกัน พี่จะจำได้หมดเลยเขาชอบไม่ชอบอะไร กินหรือไม่กินอะไร ขณะเดียวกันความน่ารักที่เกิดตอนเรารักกันใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องหายไป บางคนพออยู่กันนานๆ สิ่งที่เป็นความน่ารักในอดีตมันหายไป เคยเอาใจกันยังไง เคยตัดเล็บให้กัน ตอนนี้ตัดเล็บให้อยู่หรือเปล่า เมื่อถึงวันเกิด ปีใหม่ วาเลนไทน์ เคยให้ของขวัญกัน ตอนนี้ให้อยู่หรือเปล่า ขณะเดียวกันเวลาห่างหายไปโทรถามมั้ยอยู่ไหน กลับบ้านหรือยัง อยู่ไหนเหรอ กินข้าวหรือยัง วันนี้เหนื่อยมั้ย สิ่งเหล่านี้คือการเติมแพชชั่น เติมเสน่หาซึ่งกันและกัน"
"ที่สำคัญเขาร้อนเราต้องเย็น อย่าร้อนใส่กัน และถ้ามีปัญหาอะไรกัน อย่าให้ปัญหานั้นโกรธข้ามคืน เพราะตรงนั้นจะฝังลึก ขณะเดียวกันเวลามีปัญหาอะไร อย่าไปมีทิฐิว่าต้องง้อก่อน ถ้าพี่มีปัญหาปั๊บ พี่จะเปิดฉากในการง้อก่อน พี่ไม่ถือว่าการง้อเป็นการเสียศักดิ์ศรี พี่มองว่าการง้อเป็นการแสดงถึงการเป็นคนมีวุฒิภาวะ แสดงว่าเราคิดได้ คิดตก เลยไปคุยกับเขาว่ามาคุยกันดีกว่าเรื่องเป็นยังไง"
"แต่เวลาสะสางก็อย่าพูดว่าเขาเป็นคนผิด คนเราเวลาไม่พอใจอะไร เราใช้คำว่าเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบมากกว่าที่จะบอกว่าเขาผิด แต่งงานกันแล้วหลังแต่งงานอาจเผยตัวตนมากกว่าเป็นแฟน เมื่ออยู่กันแล้วสิ่งไม่ดีต้องยอมรับได้ ใช้คำว่ายอมรับได้นะ ไม่ใช่ทนได้ เพราะความทนมีข้อจำกัด ถ้ายอมรับได้แสดงว่าเรารับรู้ว่าเขามีข้อบกพร่อง และเมื่อยอมรับได้ก็อยู่กับเขาให้ได้ เพลงนึงซึ่งเป็นเพลงที่ดีมาก สำหรับคนที่จะรักใครสักคน ไม่ต้องไปเปลี่ยนตัวคุณเองเพื่อเอาใจฉัน เป็นตัวของคุณนั่นแหละ"