“ตูมตาม” แฮปปี้เป็นนักแสดงอิสระ 3 ปี เลือกงานได้มากขึ้น เผยมีช่องใหญ่ทาบเข้าสังกัดแต่ปฏิเสธ เหตุไม่อยากผูกขาดกับใคร ลั่นจะไม่ไปของานใครถ้าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะทำ มั่นใจไม่มีวันอดตาย
ออกมาเป็นนักแสดงอิสระรับงานเองมา 3 ปีแล้ว สำหรับ “ตูมตาม ยุทธนา เปื้องกลาง” งานนี้ทำเอาเจ้าตัวติดใจ ไม่อยากเซ็นสัญญากับใครอีกแล้วเพราะแฮปปี้ที่เลือกงานได้มากขึ้น ลั่นถ้าทำตัวดีและทำงานดีซะอย่าง ผู้ใหญ่ให้โอกาสแน่นอน แถมปีนี้ฮอตหนักมาก มีผลงานภาพยนตร์จ่อคิวฉายหลายเรื่อง
“ปีนี้จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ปีสองปีก่อนหน้านี้ด้วยครับ เพราะว่าถ่ายกันมานานแล้ว เริ่มปลายปีนี้จะเป็นช่วงที่ไล่เรียงผลงานภาพยนตร์ออกมาเรื่อยๆ ครับ”
“ที่พักหลังผมมารับงานสายภาพยนตร์อาจจะด้วยว่าผมไม่มีสังกัดแล้ว เป็นฟรีแลนซ์ แล้วงานก็ติดต่อเข้ามาในหลายๆ ด้าน ส่วนใหญ่จะเป็นงานแสดงครับ ก็จะมีหลากหลายมากขึ้น แล้วก็ได้รู้จักกับงานหนังแรกเริ่มเลย ที่มีโอกาสเล่นแบบจริงจังเลย ก็คือเล่นกับพ่อหม่ำ จ๊กมก บั้งไฟฟิล์ม ก็เป็นเรื่องจั่วหัวเรื่องแรก แล้วทำงานกับทีมงานก็แฮปปี้ทุกคน แล้วทีนี้ก็บอกต่อกันมา จนมีโอกาสได้มาเล่นเรื่อง หลวงพี่กะอีปอบ ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง เสร็จเรียบร้อยก่อน มีคิวฉายก่อน ก็มาฉายเป็นเรื่องแรก แล้วก็จะไปต่อที่ ดาร์กเวิลด์ ของพี่โน้ต จูเนียร์ ก็เป็นหนังแอคชั่นเดือดเลยเรื่องนั้น ก็แพลนน่าจะเป็นปีหน้าที่จะได้ดูกัน แล้วอีกเรื่องหนึ่ง อีหล่าเอ๋ย วันที่ 26 พฤศจิกายน นี้ จะได้ดูกันครับ”
“3 เรื่องเป็นคอมเมดี้หมดเลยครับ แล้วอีกเรื่องหนึ่งเป็นดรามาแอกชันครับ ถามว่ากลัวคนติดภาพสายฮามั้ย อันนั้นเป็นหน้าที่คนดูครับ ถ้าคนดูติดก็แล้วแต่ครับ แต่ว่าผมไม่ติดครับ (หัวเราะ) ผมเล่นได้หมด”
เป็นนักแสดงอิสระมา 3 ปี เน้นงานคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ
“อิสระมา 3 ปีกว่าๆ ครับ ถามว่าประสบความสำเร็จในฐานะเป็นฟรีแลนซ์ไหม เอ่อ...ถ้ามองในมุมของงานนะครับ ส่วนตัวผมรู้สึกว่าผมพึงพอใจกับพัฒนาตัวเอง กับคำว่านักแสดงอาชีพ แล้วผมก็ภูมิใจกับมันมากครับ”
“ตั้งแต่เริ่มเป็นฟรีแลนซ์มา เราทำงานด้วยสิ่งที่เราเลือกจริงๆ ครับ คือ ผู้ใหญ่ให้โอกาสก็จริง แต่ว่าถ้างานนั้นผมรู้สึกว่าผมเหนื่อย หรือไม่มีศักยภาพมากพอที่จะทำ ผมก็จะไม่รับงานนั้น เพราะว่าผมให้เกียรติงานมาก ผมไม่อยากให้งานออกมาไม่ดีครับ เพราะฉะนั้นทุกงานที่รับ เป็นงานที่ผมภูมิใจแล้วผมก็ตั้งใจ และผมรักในงานนั้นมากๆ อยู่แล้ว”
การเป็นนักแสดงอิสระทำให้มีโอกาสเลือกงานได้มากขึ้น ปฏิเสธเงินไปเยอะ แต่ไม่เสียดาย
“ใช่ครับ เลือกงานในที่นี้ ไม่ได้เลือกเพราะเงิน ไม่ได้เลือกเพราะความดังของงานครับ แต่เลือกเพราะว่ามันต้องเป็นงานที่เราสามารถทำออกมาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เต็มที่หรือเกินร้อยแน่นอน เราถึงจะเลือกที่จะทำงานนั้น แต่ก็มีงานที่ปฏิเสธไปเยอะเหมือนกันครับ”
“ที่ปฏิเสธไม่ใช่งานไม่ดีครับ แต่ความเป็นนักแสดงมันมีหลายเรื่องหลายรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ หนึ่งคาแร็กเตอร์ตรงไหม เราสามารถเข้าใจในตัวละคนนั้นได้หรือเปล่า หรือว่าในขั้นตอนการทำงานระยะเวลามันตรงกันไหม เราวิ่งตรงกันหรือเปล่า มันก็มีหลายเหตุผล แต่สุดท้ายแล้วเราก็จะเลือกให้มันเหมาะสมที่สุด เพราะว่าผมไม่อยากแค่ทำงานแล้วเอาเงิน (แต่ที่ปฏิเสธไปก็เป็นเงินทั้งนั้น เราไม่เสียดายเหรอ?) ไม่ครับ เพราะว่าถ้างานดีเดี๋ยวงานก็มาครับ ถ้าเราทำงานดี งานก็มา เราก็ไม่อดตายหรอกครับ”
เนื้อหอม มีช่องใหญ่ติดต่ออยากให้เซ็นสัญญา แต่ไม่เอาเพราะไม่อยากผูกขาดกับช่องไหน
“มีครับ จริงๆ แล้วก็ทั้งหมดเลยนะครับ มันเป็นเรื่องของพันธะสัญญา ที่ว่าถ้าจะร่วมงานกัน บางทีก็ต้องอยู่ในสัญญา ผมก็พูดเลยว่าผมแยกออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้ว ผมเป็นนักแสดงครับ แล้วผมก็ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องเป็นบทพระเอกหรืออะไรหรอก คือถ้ามันมีโอกาสได้เล่นได้ร่วมงานกันก็ร่วมครับ แต่ว่าถ้าจะให้กลับไปเซ็นสัญญาคงไม่ เพราะว่าผมไม่ถนัด”
“ถามว่ามีกี่ช่องที่อยากให้เซ็นสัญญา มันก็เรื่อยๆ นะครับ คือช่องใหญ่ๆ ต่างๆ ก็มี แต่มันเกิดขึ้นจากโปรเจกต์ต่างๆ ที่เขาสนใจมาคุยกันก่อน มันเป็นเงื่อนไขของการทำงาน ที่จำเป็นต้องเป็นเด็กช่อง มันเป็นข้อจำกัด เพราะฉะนั้นเราก็เลยปฏิเสธดีกว่า เราอยากเล่นนะ แต่เราไม่อยากเซ็นสัญญา ผมเป็นฟรีแลนซ์ดีกว่า ผมดูแลตัวเองได้ครับ”
“จริงๆ แล้วงานในวงการ มันไม่ใช่ว่า คือโอกาสเป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่เราทำตัวเองให้เหมาะกับโอกาส รักษาโอกาสหรือเปล่า รักษาคุณภาพตัวเองหรือเปล่าแค่นั้นเองครับ ถ้าเป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ ชีวิตเราจะรอดได้ เราต้องเป็นเด็กดี ต้องเป็นคนดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง หรือว่าเป็นคนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองจริงๆ เพราะฉะนั้นในอาชีพหน้าที่นี้เหมือนกัน ผมไม่ได้มองว่าผมต้องมานั่งขอโอกาส แบบขอร้องให้ผมทำงาน โดยที่ผมไม่มีความสามารถไปแลกเขา ถ้าผมจะขอโอกาส ผมจะขอโอกาสในฐานะที่ผมพร้อมที่จะทำงาน ทำโอกาสนั้นให้ดีที่สุดเหมือนกันครับ”
มั่นใจมีศักยภาพที่จะสามารถหางานให้ตัวเองได้แล้ว
“ผมว่าถ้างานแสดง มันเป็นเรื่องของงานที่มันต่อเนื่องกันมาด้วยปากต่อปากครับ โดยที่เราทำงาน เราเต็มที่ เราร้อยเปอร์เซ็นต์ เราให้ร่างกายจิตใจ จิตวิญญาณของเรา เต็มร้อยในงานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ได้โอกาสมา ก็จะได้มาจากทีมงาน หรือคนที่เขาทำงานจริงๆ เขาเห็นแล้วรักแล้วสนิทกัน แล้วก็รู้ว่าทำงานได้หรือเปล่าครับ”