เมื่อ 14 ปีก่อน หลิวอี้เฟย ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในซีรีส์ มังกรหยก ภาค 2 กับบท เซียวเหล่งนึ่ง จนกลายเป็นมังกรหยกภาคที่ดังที่สุดตอนหนึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาก็ว่าได้
หลิวอี้เฟย เริ่มต้นงานแสดงจากการเล่นซีรีส์ทางโทรทัศน์ และช่วงแรก ๆ ได้ชื่อว่าเป็นนางเอกในซีรีส์จากนิยายของกิมย้งที่เหมาะสมสุด ๆ นอกจากมังกรหยกแล้ว ใน 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ก็รับการพูดถึงไม่น้อยเหมือนกัน
แต่หลังจาก มังกรหยก 2 แล้ว หลิวอี้เฟย ก็แทบไม่รับงานแสดงทางโทรทัศน์อีกเลย แต่หันไปมุ่งมั่นกับผลงานทางภาพยนตร์แทน หลิวอี้เฟย ได้เล่นทั้งหนังจีน และยังมีโอกาสรับงานจากฮอลลีวูด สร้างชื่อเสียงได้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนพูดได้ว่าเป็นนางเอกชาวจีนที่ดังอยู่ในแถวหน้าอีกคนของยุคนี้
แต่แม้จะโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ผลงานการแสดงทางภาพยนตร์ของ หลิวอี้เฟย กลับลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่ดังเปรี้ยงซะที แต่ตรงกันข้ามหนังหลาย ๆ เรื่อง กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก บางเรื่องล้มเหลวทางรายได้ บางเรื่องคำวิจารณ์ย่ำแย่ จนสื่อจีนแผ่นดินใหญ่ตั้งฉายาให้ หลิวอี้เฟย ว่าเป็นนางเอกหนังแป๊กกันเลยทีเดียว
หลังเล่นหนังแค่ไม่กี่เรื่อง หลิวอี้เฟย ก็ได้เล่นหนังฮอลลีวุดเป็นครั้งแรก แถมเป็นงานฟอร์มดีใช้ได้ เพราะหนัง The Forbidden Kingdom เรื่องนี้ คือการโครมาเจอกันของ เจ็ท ลี กับ แจ็คกี้ ชาน เป็นครั้งแรก แต่สุดท้ายหนังก็ออกมากลาง ๆ เนื้อเรื่องพอดูได้ รายได้ไม่ถึงกับเจ๊ง แต่ก็ไม่ได้ดังระเบิด แถมการมาเจอกันของสองนักบู๊ก็ดูไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำเท่าไหร่นักด้วย
ต่อมา หลิวอี้เฟย ก็ได้เล่นหนังจากนิยายดังอีกเรื่อง นั่นก็คือ 4 ยอดมือปราบ ที่ใช้ชื่อว่า The Four ตัวนิยายเป็นผลงานระดับตำนาน ที่เขียนออกมาหลายตอน แต่พอมาเป็นหนัง ผู้สร้างกลับเปลี่ยนรายละเอียดแบบแทบหาเค้าเดิมไม่เจอ
มีการเปลี่ยนตัวละครจากชายเป็นหญิง จากเรื่องราวของจอมยุทธ ก็เปลี่ยนกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษอย่างกับ X-Men เนื้อหาเป็นการแต่งใหม่เกือบทั้งหมด ตัวหนังพอดูแก้เบื่อได้ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจเลย เรียกว่าเอาชื่อ 4 ยอดมือปราบ มาใช้อย่างคุ้มค่าอะไรเลย
หลังจากนั้น หลิวอี้เฟย ก็มีชื่อในโปรเจ็คน่าสนใจหลายเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ For love or money ฮือฮาตอนประกาสสร้าง เพราะหนังเป็นการเจอกันของ หลิวอี้เฟย กับ เรน ซูเปอร์สตาร์เกาหลีใต้ แต่พอฉายกลับเงียบกริ๊บแทบไม่มีกระแสอะไรเลย
หลิวอี้เฟย ได้ประกบคู่กับพระเอกเกาหลีคนคือคือ ซงซึงฮอน ในหนังเรื่อง The Third Way of Love แต่สุดท้ายข่าวรักนอกจอของคู่พระนางกลับดังกล่าวหนัง หลิวอี้เฟย กับ ซงซึงฮอน คบหากันอย่างเป็นทางการหลังหนังเรื่องนี้เข้าฉายไป 2 ปี และแยกทางกันไปเมื่อปี 2018 นี่เอง
หลิวอี้เฟย ได้กลับมาทำงานกับนักแสดงฮอลลีวูดอีกครั้งใน Outcast หนังแอ็กชั่นย้อนยุคที่เล่าเรื่องของทหารครูเสดที่เดินทางมาถึงเมืองจีน ฟังดูน่าสนใจ แต่ถ้าบอกว่านี่คือหนังของพระเอกรวยหนี้สินอย่าง นิโคลาส เคจ ในวันที่ร้อนเงินอย่างหนัก ก็รู้ได้ทันทีว่าคาดหวังเรื่องคุณภาพ และความสำเร็จอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน Outcast ใช้ทุนสร้างไม่สูงคือ 25 ล้านเหรียญฯ แต่ทำเงินน้อยยิ่งคือแค่ 4 ล้านเท่านั้น หนังก็เลยเข้าไปอยู่ในทำเนียบหนังเจ๊งอีกเรื่องของ หลิวอี้เฟย ไปโดยปริยาย
หลิวอี้เฟย มีโอกาสได้เล่นหนังกับพระเอกจากฮอลลีวูดหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่มักจะมาตอนไม่ค่อยดัง ฟอร์มหนังก็ไม่ค่อยดี ผลตอบรับก็เลยเงียบกริ๊บเป็นส่วนใหญ่ ร่วมทั้งหนังสงครามที่ชื่อว่า The Chinese Widow ที่เข้าฉายไปอย่างเงียบๆ สร้างกระแสอะไรไม่ได้เลย
แม้ผลงานหนังจะไม่ค่อยเปรี้ยง แต่อาจจะเพราะความสวยน่ารัก พิมพ์นิยม ก็ทำให้ หลิวอี้เฟย ได้รับเลือกเล่นหนังฟอร์มดี ๆ หลายครั้ง รวมถึง Once Upon a Time ที่สร้างจากนิยายดัง สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ ที่ถือว่าได้เงินไม่น้อยคือ 500 ล้านหยวน จากทุนสร้างประมาณ 150 ล้านหยวน แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาด และน้อยกว่าชื่อเสียงของนิยายมาก
หลังผลงานล้มเหลวติดต่อกันมาเรื่อย ๆ สื่อจีนจึงเริ่มตั้งฉายา หลิวอี้เฟย ว่าเป็นดาราหนังแป๊แต่ในที่สุดโอกาสครั้งสำคัญก็มาถึง เมื่อ หลิวอี้เฟย เอาชนะคู่แข่งที่เป็นดาราหญิงเชื้อสายจีนมากมาย จนคว้าบทในหนังฟอร์มใหญ่อย่าง มู่หลาน มาได้
มู่หลาน เป็นหนังที่สร้างจากการ์ตูนของ Disney และใช้ทุนสร้างมากถึง 200 ล้านเหรียญฯ พูดได้ว่าคราวนี้โอกาสแป๊กน้อยมาก
แต่ก่อนหนังจะฉายเพียงไม่กี่วัน COVID-19 กลับมาระบาดทั่วโลก Mulan ที่ฉายรอบปฐมทัศน์ไปแล้ว ต้องเลื่อนฉายไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้น หนังก็เกิดปัญหาตามมาเรื่อย ๆ เกิดกระแสแอนตี้ในฮ่องกง, มีข่าวอื้อฉาวเรื่องที่หนังเข้าไปถ่ายทำในซินเจียง จนทำให้เกิดกระแสแอนตี้ลุกลามไปในหลายชาติ แถมยังมีคนขุดเอาข้อความที่ หลิวอี้เฟย สนุนการทำงานของตำรวจในการปราบปรามผู้ประท้วงในฮ่องกงขึ้นมาอีก
สุดท้าย Mulan ที่ว่าชัวร์ ๆ ก็เลยเข้าฉายแบบกร่อย ๆ สุดท้ายหนังอาจจะไม่ถึงขาดทุน แต่ก็ถือว่าแป๊กพอสมควร ตลาดจีนที่หนังหมายมั่นปั้นมือสุด ๆ ก็ทำเงินน้อยมาก Mulan ก็เลยกลายเป็นผลงานแป๊กอีกเรื่องของ หลิวอี้เฟย อย่างช่วยไม่ได้
Mulan พลาดตรงไหน? ... หลิวอี้เฟย ผิดรึเปล่า?
เดิมที Mulan ก็ไม่ใช่การ์ตูนของ Disney ที่ทำเงินถล่มทลายอะไรอยู่แล้วโดยเฉพาะรายได้ในฝรั่งสหรัฐฯ แต่หนังก็ฮิตพอสมควรในตลาดต่างประเทศ Disney จึงค่อนข้างมั่นใจ และหมายมั่นปั้นมือว่า Mulan น่าจะเงินในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะในหมู่ประเทศที่พูดภาษาจีนได้ไม่น้อย
แต่สุดท้ายหนังกลับทำเงินน่าผิดหวังมากในแทบจะทุกประเทศ ถึงตอนนี้หนังทำเงินทั่วโลกไปได้แค่ 66 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น
และที่น่าผิดหวังที่สุดก็คือกระแสจากกลุ่มผู้ชมชาวจีนเอง หนังได้รับคะแนนจากผู้ชมไปเพียง 4.7/10 ในเว็บ Douban ของจีนเท่านั้น ชาวจีนที่มาเขียนรีวิวบอกคล้าย ๆ กันว่าตัวละครใน Mulan ดู "แบน" ไปหมด เรื่องราวในหนังก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย
แต่ที่ผู้ชมส่วนใหญ่อึดอัดใจกับการชมหนังเรื่องนี้มากที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องของการนำเสนอวัฒนธรรมจีนแบบหัวมังกุท้ายมังกรดูเป็นจีนปลอม ๆ อย่างที่คนจีนหลายคนบอกว่าดูหนังแล้วรู้สึกเหมือนกินอาหารจีนโดยฝรั่งเป็นคนปรุง
ส่วนที่คนจีนติดใจกันมากก็คือเรื่องของ "พลังชี่" หรือกำลังใจในหนัง ที่นำเสนอออกมาคล้าย ๆ เวทมนต์ เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของคนพิเศษบางคน ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดเรื่อง "กำลังภายใน" ในวัฒนธรรมจีนโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
การที่หนังเล่าออกมาโดยให้ มู่หลาน เป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับพลังชี่ ซึ่งถือว่าเป็นพรสวรรค์พิเศษไม่เหมือนใคร ยังเป็นการทำลายแนวคิดหลักของการ์ตูนต้นฉบับที่สื่อสารว่าเราสามารถเป็นอะไรก็ได้ตามแต่ที่ใจต้องการไปโดยปริยายด้วย
ขณะที่สถานการณ์ในจีนของหนังดูไม่ค่อยดี แต่ในสหรัฐฯ Mulan กลับพอไปได้ โดยหนังเผยแพร่ผ่าน Disney+ ในแบบคอนเทนต์เอ็กคลูซีฟที่สมาชิกของ Disney + ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 29 เหรียญฯ สำหรับการชม Mulan โดยเฉพาะ
โดยมีคนในวงการประเมินว่า Mulan มีคนอเมริกันยอมจ่ายเงิน 29 เหรียญฯ เพื่อชม จน Disney+ น่าจะเก็บเงินได้ร่วม 260 ล้านเหรียญฯ แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการประเมินในระดับสูงสุด ความเป็นจริงอาจจะน้อยกว่านั้นนิดหน่อย
สุดท้ายแล้ว "การทดลอง" ปล่อย Mulan ลง Disney + ถือว่าประสบความสำเร็จก็คงดูได้จากนโยบายหลังจากนั้นของ Disney+ ที่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการขายหนังในลักษณะนี้อีกเลย
แน่นอนว่าความล้มเหลวของหนังน่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวนักแสดงโดยตรง แต่สำหรับรายได้ของ Mulan ในฮ่องกงที่ออกมาน่าผิดหวังเช่นเดียวกัน อันนั้นก็คงโทษ หลิวอี้เฟย ได้อยู่บ้าง เพราะน่าจะเกี่ยวกับความเห็นทางการเมืองของเธอแบบเต็ม ๆ