“บุ๊ค พงษ์นิรันดร์” เผยที่บ้านสั่งให้ออกจากวงการ พร้อมยื่นคำขาดให้กลับไปบริหารธุรกิจ “นิตยาไก่ย่าง” เปรยรักในอาชีพนักแสดง ยืนยันว่าจะทำควบคู่กันไป แม้อาชีพนี้จะไม่มั่นคงก็ตาม ดีใจคนมองว่ายิ่งเล่นยิ่งเรทติ้งดี
เรียกว่ากำลังเข้มข้นเลยทีเดียวสำหรับ “เพลิงนาง” เพราะร้อนแรงชนิดที่ว่าห้ามกระพริบตา รวมไปถึงอีกหนึ่งนักแสดงที่ถูกจับตามองอย่าง “บุ๊ค พงษ์นิรันดร์ กันตจิดา” หนุ่มหล่อ หน้าตี๋แต่ฝีมือฟาดได้คือฟาดเพราะบทบาทที่ได้รับนั้น แทบจะลืมไปเลยว่าเคยเป็นคนดี เพราะบทบาทส่วนมากที่แสดงออกถ้าไม่สีเทาก็มุมดาร์คไปเลย ล่าสุดเจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าที่บ้านสั่งให้ลาออกจากการเป็น “นักแสดง” พร้อมยื่นคำขาดให้กลับไปบริหารธุรกิจปิ้งไก่ 100 ล้านอย่าง “นิตยาไก่ย่าง” ทันที
“ล่าสุดแม่ก็บอกว่าอยากให้ออกจากการเป็นนักแสดงและมาบริหารธุรกิจที่บ้านอย่างเต็มตัว ซึ่งก็ไม่ใช่แม่พูดคนเดียวนะ ป๊าก็พูดนะ และไม่ใช่พูดครั้งเดียว คือพูดบ่อยมาก แต่ใจเราก็ยังอยากทำงานด้านนี้อยู่ ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อก่อนเราแข็งมาก ดื้อมาก ไม่เอาธุรกิจที่บ้านเลย แต่พอเราโตขึ้น เรายังเห็นว่ามีเวลาว่าง เอาเวลาไปทำยูทูป และก็เลยเอาเวลาไปช่วยงานที่บ้านก็ได้ ผมว่าก็ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเราก็ไปเรียนฟู้ดดีไซน์หรือวิทยาศาสตร์อาหาร ผมบอกได้เลยว่าตัวผมไม่ค่อยใส่ใจอะไรกับการเรียนปริญญาตรี ก็เรียนตามที่บ้านต้องการให้เป็น หรือตอนเด็กๆ เวลามีคนมาถามว่าบุ๊คโตไปจะเรียนอะไร พ่อก็จะตอบให้เลยว่าให้เรียนฟู้ดดีไซน์ เราก็ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ ประกอบกับว่าในหัวเราก็ไม่ได้คิดว่าอยากจะทำอะไรจริงๆ ก็เลยได้ไปเรียนตามที่พ่อแม่บอกมา เรียนตามเขาไป เราก็ไม่ได้ชอบอะไรมากนัก เรียนตามพ่อแม่บอก”
“ถามว่าทำไมไม่อินกับธุรกิจครอบครัว ผมว่าผมอินกับงานแสดงมากกว่า ที่จริงผมเป็นคนชอบกินนะ ยิ่งถ้าได้เห็นว่าเวลาแม่ผมกินนะ เขาจะวิเคราะห์ แกะสูตรได้เลยนะ หรือบางคนเขาอยากได้สูตรนี้แล้วมาให้คุณแม่ช่วยแกะสูตรและให้ช่วยปรับปรุง มันก็จะออกมาเป็นแบบที่เขาต้องการ (และการที่แม่บอกว่าให้เราเลิกเล่นละคร และมาช่วยธุรกิจที่บ้านอย่างเต็มตัว?) เขาไม่เคยพูดชัดแบบนั้น แต่จะมีเปรยๆ ว่าบุ๊คเดี๋ยวอนาคตก็ต้องเข้ามาช่วยธุรกิจที่บ้านนะ มาสืบสานงานต่อ แม้จะไม่ได้พูดทุกวันแต่ก็บ่อย (หัวเราะ) เรียกว่าทุกเดือนเลยดีกว่า เราก็ตอบสั้นๆ ครับ อย่างล่าสุดเราก็เข้าโรงงานอาทิตย์ละ 4 วัน จากเมื่อก่อนเข้าอาทิตย์ละ 2 วัน และเราก็เข้าไปทำงานตามที่เราได้เรียนมา ก็จะเข้าไปปรับสูตรต่างๆ รวมไปถึงดูแลโปรดักซ์ต่างๆ ส่วนพี่ชายก็จะดูภาพรวมทั้งหมด”
“ซึ่งผมก็ดูออกว่าแม่ก็ภูมิใจมากขึ้นที่เราได้เข้ามาร่วมทำงานของธุรกิจครอบครัว สังเกตได้จากการที่เขาพูดน้อยลง ไม่อยากใช้คำว่าบ่น (หัวเราะ) เพราะถ้าพูดว่าแม่บ่น แม่ก็จะตอบกลับมาว่าแม่ไม่ได้บ่น แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งความเป็นนักแสดง ซึ่งในอนาคตเราก็ไม่รู้ว่าวงการจะพาเราไปถึงไหน (แม่เขามองว่าอาชีพนักแสดงไม่มั่นคงเท่ากับธุรกิจที่เราทำอยู่?) คิดว่าแม่น่าจะคิดแบบนั้น อันนี้เราเดานะ เขาเดาว่ามันไม่มั่นคง และด้วยความที่เป็นครอบครัวคนจีน เขาจะชอบให้มาสืบทอดกิจกรรม กิจการอยู่แล้ว”
“ตอนนี้ไม่รู้จะวางแผนยังไง แต่เราก็ยังอยากทำงานแสดงที่เรารักอยู่ แต่ถ้ามีเวลาเหลือเราก็จะให้เวลากับธุรกิจของครอบครัว เราก็จะทุ่มไปเต็มที่ แต่แม่ก็ไม่ได้กำหนดเวลาว่าเราต้องเข้าไปช่วยอย่างเต็มตัวเมื่อไรนะ แต่ป๊าจะพูดมากกว่าว่าอายุ 30 ปี บุ๊คต้องมาเริ่มช่วยงานที่บ้านได้แล้วนะ ซึ่งผมอยากให้งานละครเป็นงานหลักมากกว่า และธุรกิจเป็นงานเสริม แต่ธุรกิจมันก็เป็นหม้อข้าวหม้อแกงเลี้ยงเรามากเนอะ ซึ่งธุรกิจมันก็ได้เงินเยอะกว่าการเป็นนักแสดงอีก อันนี้ก็ถูกตามที่ผู้ใหญ่เขาพูดมา”
น้อมรับคำวิจารณ์ว่าเล่นเป็นคนดี ยังไงก็ดูเป็น “ตัวร้าย” เผยคนติดภาพ “อิโบ” จนบางทีถูกมองว่าเป็นเกย์หรือเปล่า?
“รู้สึกว่าหน้าเราก็ร้ายเหมือนกัน เราจึงไม่แปลกใจว่าทำเราถึงไม่ค่อยได้รับบทเป็นคนดีเลย (หัวเราะ) แต่ผมเอ็นจอยกับบทแบบนี้นะครับ ซึ่งในตัวละครของเช้นจ์2561 มันจะเป็นตัวละครเทาๆ ซึ่งก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเราได้รับบทแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยถามพี่เอสพี่ฉอดนะ เพราะได้บทอะไรก็เล่นได้หมด ด้วยหน้าตาเราด้วยล่ะมั้งเลยได้บทแบบนี้ อีกอย่างการเล่นแบบนี้ บทที่เราพูดมันก็เข้ากับปาก แอ็คชั่นก็ได้เลย แต่พอสั่งคัทก็จบ อย่างแม่เราก็ดูอย่างเพลิงนาง แม่ก็บอกว่าบุ๊คเล่นถึงดีเนอะ (ยิ้ม)”
“อย่างเวลาคนอื่นที่เข้ามาคอมเม้นท์ต่างๆ ว่าเราเป็นเกย์แน่นอน แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสเพราะว่าเราทำให้เขาเชื่อได้ เราก็ดีใจนะว่าเราประสบความสำเร็จนะครับ แต่เอาจริงๆ ก็อยากรับบทเป็นคนดีเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเล่นแล้วคนจะเชื่อไหม แต่คนจะติดภาพอีโบจากเรื่องปากที่เรารับบท และพอเราไปเล่นสามีสีทองเป็นบอสที่น่าสงสารมาก แต่คนก็มาเม้นท์ว่ากูลบภาพอีโบออกไปไม่ได้เลย (หัวเราะ) ขนาดอีพีแรกๆ ของเพลิงนางคนก็บอกว่าลบความเป็นอีโบไม่ได้อยู่ดี (ยิ้ม) แต่ผมก็ภูมิใจนะในแง่การแสดงของเรา ดีใจที่มีคนเชื่อในบทที่เราเล่น แต่แปลกนะ เวลาเราดูละครตัวเอง และเราชอบติตัวเราเวลาเล่น คิดว่าเราน่าจะเล่นออกมาแบบนี้นะ ก็จะมีคอมเม้นท์ตัวเองตลอดเวลา (ยิ้ม)”