นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวว่าในสถานการณ์ COVID ถือเป็นโอกาสที่ผู้ผลิตไทยจะได้พัฒนาสินค้าและหากลยุทธ์ใหม่ โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ในต่างประเทศ ในส่วนของอินเดีย ซึ่งมีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยผ่านมือถือมากขึ้นเรื่อยๆ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจึงได้พยายามเสาะหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะสินค้าที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่และผู้มีรายได้สูง กว่า 300 ล้านคน
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดย สำนักตลาดพาณิชย์ดิจิทัลและสำนักงานส่งเสริมการค้า ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ได้จัดเสวนาออนไลน์ผ่าน Facebook Live ของ thaitrade.com ร่วมกับ Amazon India เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อแนะนำวิธีการขายผ่านแพลตฟอร์ม Amazon.in ไปยังผู้บริโภคในอินเดีย (B2C) ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบด้วยกัน ทั้งการนำสินค้าขึ้นไปขายเองโดยตรงและขนส่งจากไทยไปยังผู้ซื้อ (MFN) การขายแบบที่ใช้ระบบจัดเก็บและจัดส่งของ Amazon India (Free Trade & Warehousing Zone) ในเมืองเชนไน และการขายผ่านการนำเข้าของ Indian Sellers (B2B) เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบสนับสนุนของ Amazon (FBA) โดยผู้ประกอบการที่สนใจสามารถเข้าไปชมการเสวนาย้อนหลังได้ใน Facebook ของ thaitrade.com
นอกจากแนวทางการขายแบบ B2C แล้ว ผู้ส่งออกยังสามารถขายผ่าน Indian Sellers ที่อยู่ในแพลตฟอร์มอยู่แล้วด้วย (B2B) โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ทำกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกไทยและ Indian Sellers เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้ส่งออกไทยจำนวน 136 ราย ลงทะเบียนร่วมกิจกรรมดังกล่าว ในเบื้องต้นเกิดการเจรจาธุรกิจแล้ว 15 คู่ ใน 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เครื่องปรุง/อาหาร/ขนม เครื่องประทินผิวและผม และ เครื่องแต่งกาย/อุปกรณ์กีฬา
โดยมูลค่าการสั่งซื้อในระยะ 1 ปี คาดว่ามีประมาณ 1,124,500 เหรียญสหรัฐ หรือ 34.85 ล้านบาท จากสินค้าประเภทซอสปรุงอาหาร ชุดอาหารเส้น เครื่องแกงเผ็ด ถั่วแปรรูป ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและผมจากธรรมชาติ สบู่สครับกาแฟ มาร์คหน้าแบบผง และสเปรย์ฉีดหมอน ส่วนสินค้าที่อยู่ระหว่างการพิจารณาสั่งซื้อ ได้แก่ ขนมทองม้วน ชุดผัดไท ผลิตภัณฑ์ของดอยคำ ผลิตภัณฑ์ป้องกันเชื้อโรค และกางเกงมวยไทย
สำหรับในขั้นต่อไป Amazon India จะคัดเลือกและติดต่อผู้ประกอบการที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้ว และผู้ที่จะลงทะเบียนเพิ่มเติม มาเจรจาธุรกิจกับ Indian Sellers รวมถึงส่งเสริมให้เป็น Amazon Seller ในตลาดอินเดียต่อไปด้วย โดยผู้ประกอบการไทยที่สนใจจะขายสินค้าทาง Amazon.in สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านลิงค์ของ Amazon India ได้ที่ https://go.pardot.com/l/804503/2020-08-20/3t4ttหรือ อีเมล์มาที่ thaitrademumbai@gmail.com
ทั้งนี้ ตลาดค้าปลีกในอินเดียมีมูลค่ารวมประมาณ 8.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีขนาดใหญ่กว่า GDP ของประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันจำนวนผู้ซื้อของออนไลน์ในอินเดียจะมีเพียง 110 ล้านคน และการค้าออนไลน์ยังมีสัดส่วนไม่ถึง 4% ของมูลค่าการค้าปลีกทั้งหมด แต่ทว่ามีอัตราการขยายตัวสูงถึงประมาณ 30% ต่อปี จึงมีแนวโน้มจะเติบโตได้อีกมาก โดย Amazon India ถือเป็นผู้นำในตลาด B2C ด้วยสัดส่วนประมาณ 30% ของมูลค่าการซื้อขายออนไลน์ ขับเคี่ยวกับแพลตฟอร์มคู่แข่งคือ Flipkart ของ Walmart โดย Amazon.in มีจำนวนผู้ค้าในตลาด (Amazon Sellers) ประมาณ 1.2 แสนราย ทั้งที่เป็น SMEs และผู้ผลิตรายใหญ่ โดยมีเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 90% ของเขตไปรษณีย์ในอินเดีย สินค้าที่ขายดี ได้แก่ โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน แฟชั่นประเภทเสื้อผ้า กระเป๋าและรองเท้า รวมถึงสินค้าเพื่อสุขอนามัยต่างๆ และอาหารพร้อมรับประทาน ในปี พ.ศ. 2561-62 Amazon India มียอดขายรวม (Gross Merchandise Value: GMV) ประมาณ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 22% จากปีก่อนหน้า ผู้ประกอบการจึงควรเข้าไปศึกษารูปแบบและราคาสินค้า รวมถึงคู่แข่งใน Amazon.in ตลอดจนแพลตฟอร์มอื่นๆ อาทิ Flipkart, Snapdeal, Myntra และ Nykaa รวมถึง Bigbasket และ JioMart เพื่อเก็บข้อมูลมาวางแผนปรับสินค้าและขยายตลาดไปสู่อินเดียต่อไป
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ https://www.ditp.go.thหรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169