มีความคิดที่รุนแรงและหยาบคายขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนที่ชักใยป้อนข้อมูลให้คนรุ่นใหม่แสดงออกถึงการไม่เอาคนรุ่นเก่า ถึงขนาดที่มีแนวคิดไม่เอาพ่อเอาแม่แถมไล่ผู้มีพระคุณให้ไปตายอีกต่างหาก
งานนี้เลยทำเอานักเขียนชื่อดัง “ชาติ กอบจิตติ” ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ. 2547 และนักเขียนเจ้าของ 2 รางวัลซีไรต์ ต้องเขียนข้อความดึงสติคนที่มีแนวคิดดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตจริงของตนเอง ในหัวข้อ “ข้าพเจ้าเคยขู่พ่อ : บันทึกไว้เผื่อจะเป็นประโยชน์”
....
หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ข้าพเจ้าเลือกหนทางปลอดภัยในการรักษาชีวิตของตัวเอง คือกลับไปหาพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าได้ทยอยขนหนังสือมาบ้านก่อนแล้ว เก็บสมบัติส่วนตัวแล้วจึงลาเจ้าของห้องเช่าที่กรุงเทพฯ กลับมาอยู่บ้าน พวกเราคนรุ่นหลังคงไม่เข้าใจหรอกว่า สถานการณ์การกวาดล้าง หลัง 6 ตุลาคม 2519 นั้นเป็นอย่างไร
...
บ้านของเรา เป็นร้านขายของชำ แม่ขายข้าวแกง พ่อขายกาแฟ กลับถึงบ้านโดยปลอดภัยแล้ว ข้าพเจ้าก็เผาหนังสือต้องห้ามที่มีอยู่ ใช้เตาไฟของแม่ที่ทำอาหารขาย เป็นไฟที่เผาหนังสือ เราสองคนแม่ลูกช่วยกันเผา ฉีกหนังสือโยนใส่เตา แม่ไม่เข้าใจหรอกว่า เผาหนังสือทำไม แต่เมื่อเห็นลูกเผา แม่ก็ช่วยลูกเผาเท่านั้นเอง แม่ถามข้าพเจ้าว่า เอ็งเผาทำไม ข้าพเจ้าตอบว่า ตอนนี้ถ้าใครมีหนังสือพวกนี้ครอบครองไว้ จะโดนจับข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ แม่ถามว่า แล้วเอ็งซื้อมาอ่านทำไม
...
ช่วงกลับมาอยู่บ้านใหม่ๆ นั้น ข้าพเจ้าหมดอาลัยตายอยากในชีวิต อยู่บ้านกินนอน ช่วยงานที่บ้านเล็กน้อย วันหนึ่ง พ่อถามข้าพเจ้าว่า เอ็งไม่คิดออกไปหางานหาการทำบ้างเหรอ เรียนมาก็สูง ข้าพเจ้าว่า คนเราเกิดมาก็ตาย ชีวิตเป็นเรื่องไร้สาระ เกิดมาเพื่อตาย ระหว่างทาง ไม่ต้องไปสร้างสะสมอะไรให้ชีวิต สุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้ พ่อข้าพเจ้าหัวเราะ แล้วว่า ข้าไม่รู้ว่าเอ็งคิดอย่างนี้ ถ้าข้ารู้ ข้าไม่ส่งให้เอ็งเรียนเสียเงินเสียทองหรอก ข้าจะให้เอ็งบวชแต่เด็ก
...
ข้าพเจ้ารู้สึกเสียหน้า ที่แสดงปรัชญาชีวิตแล้ว ก็ยังถูกพ่อโต้กลับได้ ทั้งๆ ที่พ่อข้าพเจ้าเรียนแค่ปอสี่ ข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนกลยุทธใหม่ว่า จะไปหางานทำทำไม อีกสามปีคอมมิวนิสต์ก็เข้าประเทศแล้ว เราจะปกครองระบอบใหม่ ตอนนั้นรัฐจะมาจัดสรรให้เองใครควรทำงานอะไร เราจะเท่าเทียมกัน ศาสนาจะไม่มี พ่อก็จะไม่มีที่ทำบุญด้วยในตอนนั้น คนแก่ที่ไม่มีประโยชน์ เขาเอาไปเข้าค่ายทำลาย พ่อกลัวไหมคอมมิวนิสต์ พ่อว่า ข้าไม่กลัว ข้าเป็นคนทำงาน ทุกสังคมต้องการคนทำงาน ไม่ว่าจะปกครองแบบไหน
...
ข้าพเจ้ายอมแพ้เหตุผลของพ่อ วันรุ่งขึ้นจึงไปซื้อหนังมาทำกระเป๋าขาย จนถึงทุกวันนี้ข้าพเจ้ายังเป็นคนชอบทำงาน เพราะพ่อสอนในวันนั้น
...
พ่อของข้าพเจ้าเสียไปนานแล้ว ทุกครั้งที่ระลึกถึง ข้าพเจ้าน้ำตารื้นทุกครั้ง
...
ในวันนี้ที่ตามข่าวอยู่ เห็นมีเด็กๆ บางคนกำลังไล่พ่อแม่ให้ไปตาย เข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะข้าพเจ้าเคยเป็นมาก่อน อาศัยว่ามีอายุมาจวนเจียนแล้ว จึงอยากติงด้วยมิตรภาพว่า
...
พ่อแม่ของเรา ดีชั่วอย่างไร เขาก็ทำให้เราเกิดมา เป็นผู้ให้ชีวิตเรา เราจะมีปัญหาส่วนตัว ปัญหาส่วนรวมก็ว่ากันไป แต่พ่อแม่ของเรา ยกเว้นไว้เถอะ จะเป็นกุศลกับตัวเรา