xs
xsm
sm
md
lg

"ไอซ์ พาริส" กับหนึ่งห้องหัวใจที่ไม่ทำงาน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หากจะถามถึงคนบันเทิงที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของนักร้อง-นักแสดงหนุ่ม "ไอซ์ พาริส อินทรโกมาลย์สุต" อยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

เป็นที่น่าสังเกตว่าหลายครั้งของการให้สัมภาษณ์หนึ่งในคำพูดที่เจ้าตัวมักจะเอ่ยอยู่เป็นประจำก็คือ “ชีวิตคนเรา มันสั้นนัก” ตรงนี้หากฟังอย่างผิวเผินมันอาจจะดูขัดๆ กับชีวิตในวัย 21 ปีของเค้าไม่น้อย

ทว่าสำหรับใครที่ได้รับรู้เรื่องราวที่เจ้าตัวกำลังจะบอกเล่าให้ฟังคำพูดดังกล่าวนั้นหาใช่แค่คำกล่าวลอย ๆ เท่ๆ ที่ไม่มีที่มาที่ไปแต่อย่างใด


ความตายของพ่อ-อ้อมกอดของแม่
"ไอซ์" เล่าให้ฟังว่าตอนที่เป็นเด็กนั้นตัวเองได้ชื่อว่า ซนมาก ชนิดที่เข้าออกห้องอาจารย์ฝ่ายปกครองอยู่เป็นประจำเลยทีเดียว..."ก็มีแบบเตะบอล ซึ่งเราตั้งใจเตะเลยนะ เตะอัดกระจกโรงเรียนแตกเพื่อความสนุก เพื่อให้ความมันตกลงมาแบบเพ้ง"

"หรือไม่ก็ปาประทัดเข้าบ้านคนอื่นเพราะเราไม่ชอบคุณป้าคนนี้เลย หรือครั้งหนึ่งก็คือกับเพื่อนแบบว่าเข้าไปในห้องคอนโทรลของหมู่บ้าน กดปุ่มโน้น ปุ๋มนี้คือไฟดับทั้งหมู่บ้านเลย คือทั้งหมดนั้นทำเพื่อความสนุก เหมือนเรามีความกบฏอยู่ ประมาณว่าเราต้องกบฏ เราไม่ต้องการให้พ่อแม่เลี้ยงดูเรา เราโตแล้ว"

วันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในวันที่คุณพ่อของเจ้าตัวเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวได้รู้ว่าคำว่าเราโตแล้วเป็นสิ่งที่ตัวเองคิดไปเองทั้งนั้น

"ตอนนั้นผมนอยด์มาก ๆ ช่วงงานศพเจ็ดวัน ก็จะมีญาติพ่อเพื่อนแม่ ลุงป้าน้าอามากันเยอะมาก และทุกคนก็จะแบบเดินมาบอกเราว่า เราเป็นผู้ชายคนเดียวเลยนะ เราต้องเป็น Man off the house เราต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวนะ ณ ตอนนั้นแบบเราไม่ชอบเลย เราแบบทำไมต้องพูดแบบนี้ คือเรายังเด็กมาก"

"แล้วทำไมทุกคนต้องมาพูดกดดันเราแบบนี้ อีกอย่างเรายังเสียใจอยู่เลย เรายังทำใจไม่ได้ แล้วทำไมอยู่ดี ๆ เราต้องมีหน้าที่อะไรก็ไม่รู้ เราไม่ชอบเลย"

หนีออกจากบ้าน?
"ก็คือช่วงนั้นผมเป็นเด็กที่เศร้า แบบไม่อยากทำอะไรเลย อยากนอนอยู่บ้าน ไม่อยากเจอใครเลย ไม่อยากไปโรงเรียน พอไม่ยอมไปโรงเรียนก็จะทะเลาะกับแม่ และก็มีวันหนึ่งทะเลาะกับแม่เรื่องที่ไม่ยอมไปโรงเรียน ผมก็เลยไปนอนบ้านเพื่อนคือเดินออกจากบ้านไปเลย แล้วก็ไปนอนบ้านเพื่อน"

"หายไปสองอาทิตย์โดยไม่กลับมาเลย และก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้านด้วย แบบหายไปเลย และอาจจะเป็นเพราะตรงนั้นด้วยมั้งที่เป็นจุดเปลี่ยนที่เราไปแล้ว เรารู้สึกว่าเราไปถึงปุ๊บ เราก็รู้สึกว่าในตอนจบ ยังไงตัวเราก็ต้องอยู่กับแม่อยู่ดี เพราะคนที่แคร์เราก็คือแม่ เราก็เลยกลับมาหาแม่"

"ตอนแรกเราก็กลัวมากว่าแม่จะดุว่าเราหายไปไหน ปรากฏว่าพอกลับมาแม่ก็กอดเราถามว่าเราเป็นยังไงบ้าง เราโอเคไหม ที่นอนดีไหม คือแม่ถามดีมาก มันเลยทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าหลังจากนี้เราอยากจะทำอะไรดีๆ ให้เขา อยากจะทำทุกอย่าง อยากจะทำทุกอณูทุกวินาที เราอยากทำให้เขาแล้วเราก็อยากมีความสุขด้วย"

"เพราะเราเห็นคุณพ่อทำงานหนักมาก แต่งานที่คุณพ่อทำ คุณพ่อไม่ได้รักกับมัน เขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เขารักมาก ๆ ตอนนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าอยากทำอะไรที่เรารักก็เลยลองดู"


คนไม่กลัวตาย?
หลายครั้งของการให้สัมภาษณ์หนึ่งในคำพูดที่หนุ่มไอซ์มักจะบอกอยู่เสมอก็คือ "ชีวิตคนเรา มันสั้นนัก" เกี่ยวกับข้อความดังกล่าวเจ้าตัวระบุว่า...

"ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน แต่มันแค่เป็นสิ่งที่เรารู้สึก เรารู้สึกว่าเราอยากพูดสิ่งๆ นี้ เราอยากให้คนที่เขาไม่เข้าใจในแบบที่เราเข้าใจ อาจจะสมมุติว่าเพื่อนเราที่อาจจะไม่ Happy กับชีวิตมากในตอนนี้ เราอยากจะพูดให้เขาเข้าใจว่าความจริงแล้วความสุขมันหาได้ยังไง เราคิดแค่นั้น"

"ซึ่งตอนแรกเราไม่ได้คิดอะไรว่าเราจะมีชีวิตต่อไปยังไง จนคุณพ่อผมเสีย ผมก็เลยรู้สึกว่าความหมายของการใช้ชีวิตคืออะไร เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราเกิดมาบนโลกนี้ไม่ได้แค่แบบตายไปเลย แต่เราอยากจะแบบ Make และ difference เปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างบนโลกนี้"

"ก็ได้ไปหาอยู่นานมากว่า Make และ difference มันคืออะไร ซึ่งจากการได้ไปเรียนรู้หรือจากที่การที่เราไปฟังสัมภาษณ์ หรือฟังจากคุณแม่ มันก็คือการที่เราได้ใช้สกิลตัวเองในการปล่อยการแชร์ไปให้โลกนี้ให้มันดีขึ้น คือการช่วยเหลือคนอื่นหรือการช่วยเหลืออะไรก็ตาม มันเป็นสิ่งที่เรามา Make และ difference ได้"


ไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวตายแล้วได้ทำอะไรไปบ้าง?
“หลังจากที่คุณพ่อเสีย คำที่ว่าเรากลัวความตาย มันเปลี่ยนไปเลยนะ ไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้กลัวความตายว่าตายแล้วเราจะไปไหน แต่เรากลัวแบบว่าก่อนตายแล้วเราจะยังไม่ได้ใช้ชีวิตจริงๆ คือนึกออกไหม แล้วมันยังเป็นอะไรที่ทำให้เรายิ่งอยากทำทุก ๆ อย่าง"

"ผมกลัวว่าวันหนึ่ง ผมตื่นมาแล้วผมอายุ90 แต่ผมยังมีบางสิ่งที่ผมยังไม่ได้ทำเลย เอาจริง ๆ เพราะผมเคยเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในซิกเนชั่นของพ่อตัวเอง แล้วมาคิดถึงตอนนั้นว่าสมมุติ ถ้าพรุ่งนี้ผมเดินไปข้างนอกแล้วโดนรถชนตาย ตรงนี้บางคนอาจมานั่งคิดว่าพ้อยท์ของการเซฟตัวเองคืออะไร"

"อันนี้ไม่เก็ท เพราะคือยังไงมันก็จบเหมือนกัน แต่ผมจะมาคิดว่าก่อนหน้านี้เราใช้ชีวิตมันยังไง หรือเราได้ทำอะไรมาแล้วมากกว่า"


หนึ่งห้องหัวใจที่ไม่ทำงาน
ภายนอกอาจจะดูดื้อและแอดทีฟกว่าคนอื่น ๆ แต่ใครจะรู้บ้างว่าหนุ่มคนนี้เกิดมาพร้อมกับหัวใจที่พิการและต้องเข้ารับการผ่าตัดมาตั้งแต่เกิด

"ผมเกิดมากับหัวใจที่ไม่สมบูรณ์หรือเรียกว่าหัวใจไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็คือหัวใจคนเรามันมีสี่ห้อง แต่หัวใจของผม ห้องนึงมันไม่บีบเลือด คือเหมือนทุกๆ ห้องมันต้องมีการปั๊มเลือดอยู่ตลอดใช่ไหมครับ มันมีห้องนึงของผมที่ไม่ปั๊ม และเหมือนว่าคุณหมอก็จะต่อสายเพื่อที่จะข้ามห้องนั้นไป แต่เลือดก็ยังไหลเวียนได้ปกติ"

ตรงนี้มันทำให้เรากลายเป็นเด็กที่ต่างจากคนอื่นมั้ย?
"ไม่นะครับ แต่ก็เหมือนมีครั้งนึง เราเล่นตอนเด็กๆ แล้วเราโดนกระแทกที่หน้าอก และก็เป็นลมที่โรงเรียน ซึ่งมันก็จะมีนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แรงๆ นะ แล้วผมว่าตรงนี้มันยิ่งตรงกันข้ามเลย อย่างผมเกิดมาแล้ว พอเกิดมาแล้วผ่าตัดหัวใจตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งทุกคนก็จะชอบมองว่าผมอ่อนแอมาก ทำไรก็ไม่ได้"

"ยิ่งคุณครูที่โรงเรียนเนี่ยคือที่สุดเลย พอคุณครูรู้ว่าผมเป็นโรคแบบนี้ เป็นโรคหัวใจเคยผ่าตัดมา เขาก็จะแบบอันนี้ไม่ได้นะ บางที่สมมุติเพื่อนไปเข้าค่ายกัน แล้วเขาให้ไปเดินน้ำตก คุณครูก็มาเดินจูงผมหรือว่าพอเพื่อนไปโดดหอ ตอนแรกคุณครูแบบไม่ให้ผมโดด ผมไม่ยอมเลย"

"ผมโทรหาแม่ว่าจะโดดเพราะเพื่อนได้โดดกันทุกคน มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก มันอาจจะเกิดขึ้นจากตรงนั้นนะ มันเลยอยากให้ตัวเองทำได้มากกว่าคนอื่น"


ปัจจุบันตรงนี้มันมีผลไหมกับการใช้ชีวิตของเรามั้ย?
"คุณหมอจะบอกว่าจะเหนื่อยง่าย แต่ว่าผมถ้าเทียบกับเพื่อนๆ นะ ผมก็สามารถทำกิจกรรมได้ทุกอย่าง ผมก็เป็นนักกีฬาบอลทีมโรงเรียน แบบวิ่งนานได้กว่าหลายๆ คน เรื่องเหนื่อยมันไม่ใช่ปัญหาอะไรขนาดนั้น แต่ว่าปัญหาหลักเลยคือเวลาที่เราจะไปที่สูงมากๆ หรือว่าลึกมากๆ อย่างดำน้ำเนี่ยเราไม่สามารถทำได้เลยทั้งชีวิต"

"ผมเคยไปเข้าคอร์สดำน้ำมา และวันสุดท้ายคือเราต้องสอบเพื่อดำในสถานที่จริง และต้องให้หมอเซ็นรับรองให้ ซึ่งหมอไม่เซ็นให้ หมอบอกว่าเราทำไม่ได้ เราไม่สามารถดำน้ำได้ มันไม่ได้สำหรับคนที่เป็นแบบนี้ แต่จริงๆ ดำได้แต่ห้ามดำลึก เพราะยิ่งลึกมันยิ่งมีแรงดันไง"

"เพราะฉะนั้นถ้ามีแรงดันเยอะก็ไม่ได้ ยิ่งแรงดันน้อยก็ไม่ได้เหมือนกัน อย่างที่สูงมาก ๆ เราไปเดินเขาไปอะไรแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน"


ความสำเร็จ-ความรัก
จากบทเริ่มต้นด้วยในฐานะนักแสดงตัวประกอบใน ใน Project S The Series วันนี้พูดได้เต็มปากว่า "ไอซ์ พาริส" คือหนึ่งในนักร้อง-นักแสดงรุ่นใหม่ที่ก้าวขึ้นมาในระดับ "สตาร์" คนหนึ่งของบ้านเราไปแล้ว

ยืนยันได้จาก 190 ล้านวิวจากเพลงประกอบซีรีส์เรื่อง "My Ambulance รักฉุดใจนายฉุกเฉิน" อย่าง "รักติดไซเรน" ที่ทำร่วมกับ "แพรวา ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์" ที่กลายเป็นเพลงสุดฮิตในปีที่ผ่านมา รวมถึงล่าสุดกับการได้รับโอกาสเป็นพระเอกเต็มตัวของเขาในละคร "หนี้เสน่หา" ร่วมแสดงกับ หนูนา หนึ่งธิดา"

“คือผมไม่รู้ว่าจะใช้ว่าความฟลุคได้หรือเปล่า ผมไม่ได้ไปวัดว่าสิ่งนี้ที่ผมได้มามันยิ่งใหญ่หรือเปล่า มันแค่รู้สึกว่าเรามาหาพื้นที่ของเรา เรามาหาสวนสนุกของเรา ที่เรารู้สึกว่าเราเล่นแล้วเราสนุกกับมันก็แค่นั้น คือผมรู้สึกชอบมากตอนอยู่บนสเตจ ผมดีดมากแค่ไหนเวลามีคนเล่นกับเราเยอะมาก ๆ"

"ซึ่งเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราฮอตมาก ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าเป็นคนเดิมปกติ เพราะว่ากลับบ้านไปก็ยังเจอแม่ เจอพี่ ก็เลยยังรู้สึกว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ณ ตรงนั้นรอบๆ ตัวคนที่สนิทก็ยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมมีเพื่อนไม่เยอะ คือเพื่อนที่คบกันนานที่สุดมี 2 คนคือคบกันมาตั้งแต่ตอนประถมแล้ว"

"อย่างในช่วงปีที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะดังมากแค่ไหน เพียงแต่คิดว่าเป็นอีกหนึ่งที่ผมสนุกมาก แล้วก็เป็นปีที่เราได้ทำตามเป้าหมาย ตามที่เราตั้งไว้ของปีใหม่เมื่อปีที่แล้ว คือปีใหม่ปีที่แล้วเป็นปีที่ผมกล้าพูดเลยว่าเป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิตผม แล้วผมก็อยากจะบอกตัวเองว่าจะพูดแบบนี้ทุกๆ ปี"

ถามถึงเรื่องหัวใจหน่อย ตอนนี้มีใครมาเติมเต็มให้ครบ 4 ห้องหรือยัง?
"ก็เกือบเต็มแหละ...คือมันยังไม่แน่ใจ จะเรียกว่ามีความรักไหม ก็เรียกว่ามีคุย ๆ กันมากกว่า...ก็เป็นแบบเพื่อนๆ กัน ก็เป็นเพื่อนกันอยู่ เหมือนเรารู้จักกันมานานมากแล้ว มันไม่ได้แบบพึ่งเกิดขึ้น มันไม่รู้ว่ามาเริ่มตอนไหน แต่รู้ว่าเรารู้จักกันมานานมากแล้ว ซึ่งผมก็รู้นะว่าเขาก็รู้ เพราะถ้าเขาไม่รู้คือผมจะเสียใจมาก..."


กำลังโหลดความคิดเห็น