xs
xsm
sm
md
lg

จากใจอดีตพระเอกโรบอต "บอม ธนิน" ความลับที่ไม่มีใครรู้ ถูกด่าจนซึมเศร้า ร้องไห้คนเดียว ต้องพบจิตแพทย์!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดใจ “บอม ธนิน” จำใจต้องรับฉายาพระเอกโรบอต ชื่นใจวันนี้ปลดล็อกแล้ว ขึ้นแท่นนักแสดงคุณภาพ เผยความลับที่ไม่มีใครรู้ เสพโซเชียลเหมือนเสพยา ถูกด่าจนเกือบซึมเศร้า ร้องไห้คนเดียวทุกวัน ต้องพบจิตแพทย์ ลั่นเกลียดคนบูลลี่คนที่ไปหาจิตแพทย์ พูดให้ได้ยินต่อหน้าจะตบปากให้

ได้รับคำชมอย่างล้นหลามกับการเล่นละคร “ทุ่งเสน่หา” วันนี้ชื่อของ “บอม ธนิน มนูญศิลป์” ได้ถูกปลดล็อกจากฉายาพระเอกโรบอตป็นพระเอกงานละเอียดจากแฟนละคร ขึ้นแท่นนักแสดงคุณภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งกว่าจะได้คำว่านักแสดงคุณภาพมาประดับท้ายชื่อนั้น ต้องผ่านประสบการณ์มากมายและสิ่งที่ต้องแลกหลายๆ อย่าง

“ไม่ว่าจะที่ผ่านมาหรือตอนนี้ สิ่งที่เหมือนกันคือเราต้องตั้งสติให้ดีมากๆ เลย ตอนนั้นถ่ายละครกับพี่โดนัท (มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล) แกก็จะสอนว่าเวลาถ่ายละคร 7 วัน เทคนิคคือต้องตั้งสติ ตื่นมาต้องรีเซ็ตตัวเองตื่นมาต้องทำอะไรบ้าง เราจะเป็นละครตัวไหน แล้วก็อยู่แค่ในวันนั้น ไม่ต้องไปคิดอะไรล่วงหน้า สมมติถ่ายละครติดต่อกัน 10 วัน ถ้าเราไปคิดว่าหูย 10 วันมันอาจจะเครียดเกินไป ถ้าตื่นมาวันนี้ฉันเป็นตัวนี้ มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ รอบตัว มันก็ไม่เครียด

ช่วงนี้ก็ถ่ายละคร 7 วันก็บริหารกันไป มันก็ผ่านไปได้ รับมา 2 เรื่องตรงกันข้ามกันเลย ต้องปรับคนละโหมด ทั้งดรามา แอ็กชั่น สิ่งที่สำคัญคือเราต้องทำการบ้านเรื่องของการแสดงไปให้ดี ที่ผ่านมาผมเองตั้งใจกับการทำงานทุกเรื่อง เต็มที่ทุกเรื่อง”

ตั้งมั่นในคำสอนของ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” ให้ทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว หรือเป็นแก้วว่างเปล่าเพื่อรับความรู้ใหม่ๆ ในทุกวัน
คือในการแสดง มีคำสอนแรกๆ ของพี่อ๊อฟที่จำมาใช้ตลอด ก็คือการแสดงมันไม่มีคำว่าสิ้นสุด มันคือศิลปะ เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้เรื่อยๆ ไม่อยากจะให้มองว่าฉันเก่งแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามองว่าฉันเก่งแล้ว เราจะเหมือนเป็นคนที่น้ำเต็มแก้ว เราจะไม่รับอะไรเพิ่ม เขาจะบอกเสมอให้เราทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วหรือน้ำแก้วเปล่าไปเลย เพื่อไปรับสิ่งใหม่ๆ ในแต่ละวัน เรียนรู้เพื่อที่จะได้เพิ่มทักษะไปเรื่อยๆ เรื่องเก่งถ้าใครมองมาเราก็ขอบคุณ แต่สำหรับตัวเราเราไม่ต้องไปสนใจว่าเราจะเก่งหรือไม่เก่ง เราก็พยายามเพิ่มพูนความรู้ของเราไปเรื่อยๆ”

ชื่นใจคนมองเห็นในความพยายาม ชมแสดงละครเรื่องทุ่งเสน่หาได้ละเอียดมากขึ้น
“ก็ดีใจนะครับที่มีคนมองเห็นความพยายาม มองเห็นความละเอียดในงานของเรา อย่างเรื่องทุ่งเสน่หา หลายคนชื่นชอบกันมากๆ ผมเองก็ดีใจ ตอนที่ได้รับบทผมก็ไม่ซีเรียสว่าตัวละครที่ผมเล่นจะต้องอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ผมแค่อยากให้ตัวละครที่ผมเล่นออกมาดี ผมบอกกับทีมงานผม บอกกับที่ช่องว่าตัวละครที่ดีใครๆ ก็อยากเล่น ถ้าจะตายครึ่งเรื่องแต่มันทำให้มีอิมแพ็กกับเรื่องทั้งหมด หรือคนรัก ในฐานะนักแสดงผมว่าถ้าทำได้ มันก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าที่ผมทำมามันขนาดไหน แต่เห็นหลายๆ คนชื่นชอบผมก็ขอบคุณมากๆ

ก็ชื่นใจมากๆ เลยครับ อย่างต้องเดินเป๋ ไม่ใช่ว่าวันเดียวแล้วผมจะเดินได้เลยนะ ผมซ้อมมานานมากเลยนะ คือมันมีการเดินหลายเลเวล คนที่เป็นโปลิโอ บางคนเดินไม่ได้เลย บางคนนั่งรถเข็น บางคนพอกะเผลกได้ ก็มีการพูดคุยกับผู้กำกับว่าเขาอยากได้ที่เลเวลไหน เราก็ต้องไปซ้อมไปทำการบ้านมา ก็วุ่นวายในระดับนึงเลย”

เพราะไม่อยากเถียงกับโซเชียลเลยนำพามาซึ่งฉายา พระเอกโรบอต
“ในฐานะที่ผมเป็นนักแสดงผมก็ต้องขอปกป้องตัวละครเก่าๆ ของผมก่อน หลายๆ คนตัวที่คนชอบพูดว่าผมเป็นแบบนั้น ถ้าผมไปเถียงโซเชียลเดี๋ยวผมก็โดนกฐินแด_อีก ก็ไม่รู้ต้องพูดยังไง อย่างเรื่องคิวบิกที่คนมองว่าผมเล่นแข็ง ก็อยากบอกว่ามันเป็นคาแรคเตอร์แข็งๆ ของตัวละคร สุดท้ายแม้ตัวละครจะชอบไม่ชอบมันก็เป็นอีกเรื่องนึง ตอนถ่ายทำเขาก็ดีไซน์ให้ตัวละครตัวนี้ไม่แสดงอารมณ์เลย ใดๆ ก็ถามทุกคนแฮปปี้ ต้องบอกไว้ก่อนแม้จะมีคนไม่ชอบตัวละครตัวนี้แต่ก็มีคนชอบตัวละครตัวนี้เยอะนะครับ

เราก็ไม่ว่ากัน ในฐานะที่เราต้องเป็นคนทำหน้าที่สื่อสารมันออกมาก็ไม่ว่ากัน เราเต็มที่แม้เราจะโดนเยอะ อย่างตัวละครอื่นๆ หลังจากเรื่องนั้นมันก็เป็นตัวละครที่เห็นอารมณ์ชัด ยิ้มก็ยิ้ม จะร้องไห้ก็ร้องไห้”

“บอม ธนิน” กับโซเชียล แฟนคลับรู้ วันไหนตนลงรูปในโซเชียลหิมะแทบตกเมืองไทย
“คนที่ติดตามบอมจริงๆ จะรู้ว่าผมไม่ค่อยได้เข้าโซเชียลเท่าไหร่ เวลาที่ผมทำงานเยอะๆ แล้วเองจริงๆ ก็เล่นโซเชียล เล่นแล้วมันติด แล้วมันจะยาว มันทำให้จิตใจเราไม่นิ่ง พอใจไม่นิ่งสมาธิเราก็ไม่นิ่ง มันก็มีผลกระทบกับการเข้าฉาก ก็เลยจะไม่เล่นโซเชียลเลย จนกว่างานจะผ่อนๆ เบาลงแล้วถึงจะกลับมาเล่น ก็จะโดนคนบ่นคนด่าเรื่องนี้เยอะ จนตอนนี้แฟนคลับเข้าใจแล้วว่า เราลงรูปสักรูปนึง หิมะนี่แทบจะตกเมืองไทย

สำหรับผมการเล่นโซเชียลมันทำลายสมาธิจริงๆ นะ นึกดูเวลาเราอยากจะรู้อะไร มันก็จะตามจนสุด ไหนจะช็อปออนไลน์อีก คนอื่นเขาอาจจะจัดการเรื่องนี้ได้นะ แต่ผมทำไม่ได้ มันเคยเกิดขึ้นแล้ว เล่นๆ โซเชียลอยู่แล้วต้องไปเข้าฉาก เราไม่มีเวลาเพียงพอใจการตั้งสติ พูดบทก็ผิด มันไม่ได้เลย ก็คิดว่าเอางานให้รอดก่อน”

รับเมื่อก่อนติดโซเชียลหนักจนไม่มีความสุข จนถึงขั้นพบแพทย์เพื่อทำโซเชียลดีท็อกซ์
“ก็จะพยายามนะ คนรอบตัวผมก็ด่าผมจนไม่รู้จะด่ายังไงแล้ว ก็จะพยายามนะ แต่สุดท้ายเราก็ต้องเลือกงานก่อน เมื่อก่อนเป็นคนที่ชอบเล่นโซเชียลมากๆ แล้วพยายามปรับลดลงมา ตัวผมเองเคยทำโซเชียลดีท็อกซ์ด้วยนะ เป็นการลดการเล่นโซเชียล ด้วยช่วงนึงผมเสพโซเชียลเยอะมากแล้วไม่มีความสุข”

เล่าเสพโซเชียลรับกระแสลบทำบั่นทอนจิตใจ จนเกือบเป็นซึมเศร้า
“เอางี้ตั้งแต่แรกๆ เลย ที่มันมีแค่พันทิป ผมก็เข้าไปอ่านทุกอันนะ ผู้ใหญ่ที่ช่องบอกว่าไม่อ่านคอมเมนต์ไม่ได้ เราต้องดูว่าคนรู้สึกยังไงกับเรา ผมเป็นคนรับสื่อทุกอย่าง ถ้าไปถามครอบครัวผมเขาจะรู้ว่าผมเป็นคนที่คิดมาก ซึ่งผมก็รับกระแสวิจารณ์ในเรื่องของละคร หรืออะไรต่างๆ ที่ว่าเราไม่ดี ผมรู้ว่ามีเรื่องราวเนกาทีฟใส่ตัวผมเยอะ ผมก็เสพแล้วก็รับพลังเนกาทีฟนี่มาเยอะ มีช่วงนึงชีวิตไม่ค่อยแฮปปี้ไปเลย ในหัวมีความคิดเนกาทีฟเยอะมากเลยโดยที่เราเองไม่รู้ตัว จนสุดท้ายต้องไปปรึกษาจิตแพทย์

แพทย์ก็วิเคราะห์ว่าจริงๆ แล้วผมเกือบจะเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าเบื้องต้นแล้วด้วยซ้ำไป มันเป็นเรื่องจริงเลยนะอันนี้กับการเสพสื่อที่มากเกินไป ถ้าเรารับมือกับมันได้ไม่ดี สำหรับสิ่งที่ผมเลือกทำก็คือการทำโซเชียลดีท็อกซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมได้รับคำแนะนำจากแพทย์มา คือการกลับมาจัดระบบความคิดตัวเอง เอาตัวเองห่างจากโซเชียลในระดับนึง มันจะทำให้เรามีความสุขง่ายมากขึ้น”

แนะการเข้าหาธรรมะก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้ห่างไกลโซเชียล พ้อเคยดิ่งสุดถึงขั้นร้องไห้คนเดียวทุกวัน ชี้การเสพโซเชียลมากๆ ไม่ต่างอะไรกับเสพยา
การทำสมาธิก็เป็นส่วนนึงด้วยนะ ธรรมะ การเจริญสติ ปฎิบัติธรรมที่เราไม่ต้องเล่นมือถือ 2-3 วัน อยู่กับตัวเอง มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ให้นึกย้อนไปสมัยเราเด็กๆ เราไม่มีสมาร์ทโฟน เต็มที่เรามีมือถือแค่โทร.เข้าโทร.ออก เรามีความสุขกับอะไรในช่วงนั้น เราก็ลองกลับไปทำมัน เช่น ไปเดินช้อปปิ้งกับเพื่อนๆนัดเพื่อนมากินข้าวพูดคุยกัน เล่นกีฬา ผมก็พยายามนำความสุขในช่วงเวลานั้นเอากลับมาใช้ หลังๆ ผมก็จะเจอเพื่อนๆ เยอะ เล่นบอร์ดเกม ทำงาน

คือผมรู้ตัวว่าผมต้องลดการเล่นโซเชียลเลย เพราะช่วงที่ผมเสพมันเยอะๆ ผมรับเรื่องราวเทกาทีฟมาเยอะมากจริงๆ มันทำให้ตัวผมเองแย่ แล้วผมก็ไม่ได้ไปเล่าให้ใครฟังว่าตอนนี้ผมรู้สึกแย่ ผมออกจากตรงนี้ไม่ได้ จนถึงขั้นที่ผมร้องไห้คนเดียวทุกๆ วัน อันนี้เป็นจุดที่ผมตัดสินใจไปพบแพทย์

เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ แต่ผมจำความรู้สึกในช่วงเวลานั้นได้ดีว่ามันแย่มากๆ เราทำงานมาเหนื่อยๆ เปิดโซเชียล เปิดไอจีมาเจออะไรที่มันบั่นทอน กว่าที่ผมจะเล่นละครแล้วหลายๆ คนชื่นชอบมันใช้เวลานานเหมือนกัน ช่วงแรกๆ ที่เข้าวงการผมเองก็มีเรื่องแย่ๆ เยอะ เล่นละครก็มีคนว่า พอมารวมๆ กันเราเสพมันทุกวัน ในความรู้สึกผมมันเหมือนเสพยา เราพยายามแล้วมันยังไม่ดีอีกเหรอ เรื่องนี้จะออนแอร์ เรามั่นใจมากว่ามันจะต้องดี แต่พอออนแอร์จริงมันกลับเป็นอีกอย่างนึงที่ตรงกันข้าม ผมก็เสียใจ”

ลั่นตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว แต่สามารถกลับมาได้อีก หากเจอเรื่องราวกระจบจิตใจ
ที่หมอบอกมาภาวะนั้นมันก็มีโอกาสกลับมาได้อีก ไม่มีหายขาด แต่ดีที่ผมยังไม่ถึงเข้าขั้นภาวะโรคซึมเศร้า มันแค่มีโอกาสจะเป็นได้ และภาวะที่เคยเป็นก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกได้ เวลาอยู่คนเดียวผมก็มีภาวะแบบที่หลายๆคนเป็นเหมือนกัน ใครดูข่าวในช่วงปีที่ผ่านมาก็จะเห็นนักแสดงไทยและทั่วโลกฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้ากันเยอะมาก

บอกเลยนะว่ามันอันตรายจริงๆ นะครับ บางคนเสพโซเชียลเพื่อเอาใจแฟนๆ แล้วมาเจออะไรพวกนี้แล้วรับมือกับมันไม่ได้ หาทางออกให้ตัวเองถูกบ้างไม่ถูกบ้าง มันก็มีโอกาสจะเกิดซึมเศร้าได้ บอกเลยว่ามันอันตรายมากจริงๆ”

ส่วนตัวใช้วิธีปิดโซเชียลไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ซึ่งได้ผลดี
“สำหรับผมวิธีที่ผมใช้มันโอเค แต่ผมจะโดนคนอื่นบ่นตลอดเลย นั่นก็คือผมเลือกที่จะไม่เสพโซเชียลไปเลย จริงๆผมก็บอกกับคนรอบตัวผมว่าผมอยากปิดไอจี ผมไม่อยากเล่น แต่เขาบอกว่าไม่ได้ นี่มันคือสิ่งที่ทุกคนมี ทุกคนเล่นกัน เราต้องมี ก็โอเค ผมก็เล่นมันไป จริงๆ มันก็ลำบากนะ เพราะผมเองก็เป็นคนที่เคยติดโซเชียลมากๆ เหมือนกัน

อย่างแบบอุ้ย เสื้อตัวนี้สวยจัง เราก็จะไม่จบแค่นี้ เอ๊ะมีตัวไหนสวยอีก หรือว่าข่าวนี้แซ่บจังเลย เราก็จะอยากรู้ต่อไปอีก ก็จะไปตามดูตามสืบ แล้วมันยาวเลยไม่จบง่ายๆ เสพเยอะเลยทีนี่ เรื่องพวกนี้ใครๆ ก็ชอบเนอะ ก็เสพแต่พอเสพทีมันก็กินเวลาชีวิตเราไปเยอะ”

ถ้าเป็นข่าวตนจะเลือกอ่านแค่นิดเดียวพอ ไม่ลงลึก
“ผมจะแค่เห็นนิดเดียวพอ ไม่ลงลึก แล้วให้มันผ่านไป ดูแค่หัวข่าวแล้วก็ปิดไป ทำให้ตัวเองรู้สึกเฉยๆ คุยกับตัวเอง อย่างข่าวล่าสุดเห็นแล้วก็เฉยๆ ก็ผู้ใหญ่เขายังไม่ได้บอกอะไรมา รอให้ผู้ใหญ่เขาคอนเฟิร์มว่ามันเป็นยังไง อาจจะคิดไปเองรึเปล่าก็ไม่ทราบเลย ในเมื่อก็ยังไม่มีใครมาบอกผมเรื่องนี้

เรียกว่าตอนนี้อาการซึมเศร้าของผมมันก็ดีขึ้นมากๆ แต่หมอก็บอกว่าภาวะตรงนี้มันมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก ถ้าเรารับมือกับมันไม่ดี ก็มีโอกาสจะทำให้มันพัฒนาขึ้นไปจนเป็นภาวะซึมเศร้าเต็มรูปแบบที่สารเคมีในสมองจะหลั่งแปลกๆ หมอบอกว่าว่างๆ ถ้าเรารู้สึกไม่โอเค ให้เปิดใจแล้วหาเวลาไปคุยกับคุณหมอ ผมก็รู้สึกอยากจะแนะนำหลายๆ คนเหมือนกัน”

แนะคนไทยไม่ควรบูลลี่คนที่ไปพบจิตแพทย์ บอกสมัยนี้เขามีจิตแพทย์ส่วนตัวไว้พูดคุย ปรึกษาปัญหาเฉพาะบุคคลแล้ว
“บ้านเราจะเรียกหมอทางนี้ว่าจิตแพทย์ ซึ่งคำนี้จะมีคนชอบบูลลี่ ว่ามึงไปหาหมอโรคจิตมาเหรอ คำนี้ผมพูดตรงๆเลยนะ ใครมาพูดกับผมผมตบปากเลยนะ ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำที่ทำให้คนไม่กล้าไปหาจิตแพทย์ ผมไม่ชอบเลย จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ฝรั่งเขาทำกันเป็นปกติมากๆ เลยนะ ในการไปพบจิตแพทย์ หลายคนมีจิตแพทย์ประจำตัวเลยนะ ด้วยบางคนทำงานเยอะ ไม่มีคนระบาย หมอทางจิตแพทย์เขาจะรู้ว่าคนนี้ต้องระบายอย่างไร สามารถระบายกับคุณหมอได้ทุกเรื่องเลยนะ เขาจะรู้วิธีการรับมือว่าต้องคุยยังไงกับเขา แล้วคนๆ นี้ภาวะที่จะเกิดโรคต่างๆ มันจะหายไป

ซึ่งเมืองไทยชอบบูลลี่คำว่าจิตแพทย์ ผมขอรณรงค์เรื่องนี้เลยนะครับ ว่าเลิกบูลลี่เถอะ ผมยื่นเรื่องในร่างรัฐธรรมนูญเลยได้ไหม ใครพูดคำนี้ผมเกลียดมากเลย เพราะมันเป็นเรื่องที่เริ่มจะจำเป็นสำหรับทุกคนในยุคปัจจุบันนี้ โซเชียลมันมีผลกับคนเยอะมาก ดังนั้นการรับมือให้ถูกต้องก็เป็นสิ่งที่สำคัญน่าจะที่สุดเลย ก็อยากจะให้คนมองว่าการไปหาจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติ เหมือนเรากินข้าวเลย มันธรรมดามาก”

ตอนนี้ตนก็ใช้วิธีไปปรึกษา ระบายเรื่องราวในใจเหมือนกัน
“ผมมีเพื่อนๆ ที่สามารถระบายเรื่องราวในใจได้ ผมมีคุณหมอที่ไปหาอยู่ด้วย หมอทางนี้เขาจะมีจรรยาบรรณที่จะไม่นำเรื่องที่เราคุยกับเขามาเปิดเผย คุยแล้วก็จบ

ทุกวันนี้ก็ยังต้องเสพคำวิจารณ์ต่างๆ เพื่อนำกลับมาพัฒนาตนเอง แต่สามารถแยกแยะได้ไม่ทำให้ตนเองบั่นทอน
“แต่กับคำวิจารณ์ต่างๆ ก็ยังต้องอ่านอยู่ครับ ช่วงนี้มันก็ไม่ค่อยเจออะไรแย่ๆ ด้วย เจอบ้างแหละ แต่เราก็มองว่าเราไปทำอะไรไม่ได้ ก็มองว่าไม่ว่าเราจะดีประเสริฐเลิศเลอยังไงก็ต้องเจอกับเรื่องพวกนี้หมด จะมีพวกวิกลจริต คนพวกนี้น่าสงสารนะ เอะอะพิมพ์ด่าชาวบ้าน ผมรู้สึกสงสาร ก็ถือว่าทำบุญให้เขาไปแล้วกัน

ถือว่าการที่เขาพิมพ์อย่างนี้มาทำให้สุขภาพจิตเขาดีขึ้น ทำทานให้แล้วกัน ถือว่าทำทานเขาไปเถอะ ก็เสพหมดแหละอะไรที่เขาบอกเราตรงนี้มันยังไม่ดีจริงๆ นะ เรารับฟัง แต่ถ้ามาแบบละครยังไม่ทันออนเลย มาไอ้แข็งเอ้ย เราก็มองให้มันเป็นเรื่องไร้สาระไป ฟังไปมันไม่ได้อะไร มันไม่เกิดอะไรที่ดีขึ้นมา คือสุดท้ายยังไงเราก็ต้องเสพคอมเมนต์เพราะเราอยู่ตรงนี้ ต้องรับฟังเสียงวิจารณ์จากทุกคนเพื่อมาพัฒนาตนเอง”
























กำลังโหลดความคิดเห็น