พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ “พันเอก (พิเศษ) สุรชัย มณีเทศ” พ่อ “โย่ง อาร์มแชร์” ด้านเจ้าตัวหลั่งน้ำตาลูกผู้ชาย กอดศพพ่อบอกลา เผยพ่อป่วยช่วงวันเกิด ลูกๆ ต้องกลั้นน้ำตาตอนพ่อเป่าเค้ก เพราะกลัวจะเป็นวันเกิดปีสุดท้าย บอกชาติหน้าขอให้พ่อมาเกิดเป็นลูกตนบ้าง
เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (16 ก.ค. 63) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมอัญเชิญน้ำหลวงอาบศพพระราชทาน “พันเอก (พิเศษ) สุรชัย มณีเทศ” คุณพ่อของนักร้อง-นักแสดงชื่อดัง “โย่ง อาร์มแชร์” หรือ “อนุสรณ์ มณีเทศ” ที่ป่วยด้วยโรคไขกระดูกเสื่อม และเสียชีวิตจากอาการปอดติดเชื้อ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา ไปยังศาลา 7 วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยมีครอบครัวยืนรอรับ ยังความปลาบปลื้มและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ครอบครัวผู้วายชนม์
เป็นช่วงที่คนในวงการบันเทิงมีเรื่องเศร้าเสียใจเกิดขึ้นติดๆ กัน ล่าสุด “โย่ง อาร์มแชร์” ต้องสูญเสียคุณพ่อ “พันเอก (พิเศษ) สุรชัย มณีเทศ” ไปอย่างไม่มีวันกลับ ในวัย 69 ปี โดยวันนี้ เวลา 18.30 น. มีพิธีสวดอภิธรรมเป็นคืนแรก ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า มีญาติสนิททยอยมาร่วมงานจนแน่นศาลา ในส่วนของคนบันเทิงนั้นได้ส่งพวงหรีดมาร่วมไว้อาลัยอย่างต่อเนื่อง อาทิ แอน ทองประสม, หมาก ปริญ สุภารัตน์, มิว นิษฐา จิรยั่งยืน, วู้ดดี้ มิลินทจินดา, จ๋า ยศสินี ณ นคร, ออม สุชาร์ มานะยิ่ง, วง Zeal ฯลฯ
โดยหลังจากเสร็จพิธีรดน้ำศพคุณพ่อสุรชัย “โย่ง อาร์มแชร์” พร้อมภรรยา “ก้อย วลัยลักษณ์” ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนถึงการเสียชีวิตของคุณพ่อ ซึ่งหนุ่มโย่งถึงกับร้องไห้ออกมา เผยชาติหน้าขอให้พ่อมาเกิดเป็นลูกตนบ้าง จะได้เป็นฝ่ายดูแลพ่อเองเหมือนที่พ่อเคยดูแลตนมาทั้งชีวิต
“คุณพ่อผมเป็นโรคไขกระดูกเสื่อมครับ ทำให้ผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาได้น้อย เม็ดเลือดขาวที่ผลิตออกมาบางทีก็ไม่ใช่เม็ดเลือดขาวที่ดีนัก สมมติคนธรรมดาจะมีอยู่ 1,500 แต่คุณพ่อผมมีอยู่ 100 เดียว แล้วเม็ดเลือดขาวก็มีหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรค ป้องกันเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกัน ทีนี้พอเม็ดเลือดขาวต่ำเชื้อโรคก็เข้าได้ง่าย ติดเชื้อได้ง่าย เราก็ต้องมาระวังไม่ให้คุณพ่อป่วย เพราะแค่ป่วยเป็นไข้หวัดก็อาการหนักถึงขั้นต้องเข้าไอซียูแล้ว เพราะมันจะลามได้เร็ว คุณพ่อก็มีชีวิตอึดอัดมาตลอด เราก็เห็นใจท่านครับ”
“มารู้ว่าท่านป่วยก็ช่วงวันเกิดคุณพ่อเมื่อเดือนธันวาคมด้วยครับ คุณพ่อบังเอิญตรวจพบและเห็นว่ามันมีความผิดปกติของเม็ดเลือด และพอดีน้องสาวผมเป็นคุณหมอ น้องเขยก็เป็นคุณหมอ ก็พาคุณพ่อไปตรวจ ก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนี้แน่นอน แต่ยังไม่ได้บอกคุณพ่อเพราะโรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย ก็กลัวคุณพ่อทำใจไม่ได้ ช่วงนั้นเป็นช่วงวันเกิดคุณพ่อ เราก็จัดเป่าเค้กอวยพรวันเกิดให้ ทุกคนก็ต้องกลั้นน้ำตา ก็คิดว่าเราจะมีงานวันเกิดอีกปีนึงไหม สุดท้ายก็ไม่ได้”
“คุณพ่อเป็นคนแข็งแรงมากครับ คุณพ่อเป็นนายทหาร คุณพ่อเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายคุณพ่อแข็งแรงมาก คุณพ่อมาเสียด้วยภาวะการติดเชื้อที่ปอด ก็คือภูมิคุ้มกันไม่ดีอยู่แล้ว ให้ยาฆ่าเชื้อยังไงก็สู้เชื้อโรคไม่ได้ แต่คุณพ่อแม้กระทั่งตอนที่ใส่ท่อช่วยหายใจ ใส่ยาโน่นนี่เต็มแขนเต็มขาไปหมด คุณพ่อก็ยังมีสติ สู้ พยายามสื่อสารกับเรา และพยายามบอกเราทุกวันว่าไหวนะ (น้ำตาซึม)”
สะอื้นไห้ไม่มีปาฏิหาริย์ ทั้งๆ ที่กำลังจะได้ออกจาก รพ. แต่ดันทรุด เพราะติดเชื้อ
โย่ง : “คือผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ รพ. ตอนที่คุณพ่ออยู่ไอซียู คุณพ่อเข้าออก รพ. 2 ครั้ง ครั้งแรกรักษาอาการป่วยจนหายกลับมาอยู่บ้านอาทิตย์นึงแล้วกลับไปป่วยอีกและเข้า รพ. กำลังจะออกแล้ว แต่ทีนี้วันสุดท้ายคือเหมือนติดเชื้อขึ้นมา ตอนแรกเราก็ดีใจที่คุณพ่อจะได้กลับบ้าน แต่สุดท้ายอยู่ดีๆ อาการทรุดลงเรื่อยๆ เข้าไอซียู เราก็ให้กำลังใจพ่อเรื่อยๆ ว่าไม่เป็นไรนะ เรากำลังทำการรักษา เราต้องพักผ่อนเยอะๆ มีกำลังใจเข้มแข็ง คือเราบอกพ่อทุกวันน่ะ จนสุดท้ายคุณหมอประชุมกับครอบครัวว่าอาการแย่ลงเรื่อยๆ คิดว่า... (นิ่งไป) ที่เราพูดกัน ให้กำลังใจกัน มันไม่มีปาฏิหาริย์แล้ว
คือโรคนี้ก็มีความหวังอยู่ แต่ความหวังน้อยมากๆ แต่เราทุกคนก็ไม่ย่อท้อ ทุกคนก็ภาวนาทุกวัน แต่คุณพ่อก็ไม่ไหวแล้ว หมอก็จะเพิ่มยาให้หลับ คุณพ่อจะได้นอนหลับแบบไม่ต้องหายใจแรง คุณพ่อพยายามเขียนให้พวกเราให้กำลังใจ คือแม้กระทั่งตอนที่... (นิ่งไป) ตอนที่พ่อไม่มีสติแล้ว (ร้องไห้)”
ก้อย : “ต้องเล่าก่อนว่าจริงๆ คุณพ่อแข็งแรงมาก เป็นไอดอลของทุกคนอยู่แล้วค่ะ พอตอนท่านไม่สบาย ตอนที่ท่านนอนอยู่ในห้อง ท่านก็พยายามใช้ปากกาเขียนบนกระดาษเพื่อให้กำลังใจ เขียนให้ลูกๆ ทุกคน”
โย่ง : “คือแม้กระทั่งตอนที่คุณพ่อสติเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ คุณพ่อเขียนคำว่ารักทุกคน รักลูก รักแม่ รักภรรยา ซึ่งคุณพ่อมีกำลังใจที่เข้มแข็งมาก อย่างน้อยที่ดีที่สุดคือพวกเราทั้งครอบครัวได้ยืนเฝ้าคุณพ่อจนนาทีสุดท้าย จนท่านนอนหลับไปแบบยาวๆ”
ร่ำไห้ ไม่มีโอกาสทำอาหารให้คุณพ่อทานสักมื้อเดียว ทั้งที่เรียนเชฟมา
โย่ง : “หลังจากที่ประชุมกับคุณหมอเสร็จ พวกเราก็คุยว่าพวกเราต้องทำใจ ต้องคุยกับคุณพ่อตรงๆ หลังจากนั้นก็บอกคุณพ่อทุกวันว่าไม่ต้องเป็นห่วง เราดูแลตัวเองกันได้อย่างดี ไม่มีอะไรให้คุณพ่อต้องกังวล ไม่มีอะไรให้คุณพ่อเครียดอีกต่อไป เราพยายามลาคุณพ่อทุกวัน บอกคุณพ่อว่าเดี๋ยวจะดูแลแม่ให้ดีนะ (ร้องไห้) คือผมเรียนเชฟมา แต่ผมไม่มีโอกาสทำอาหารให้คุณพ่อทานเลยแม้แต่มื้อเดียว (ร้องไห้)”
หวังให้เข้า รพ.ครั้งสุดท้าย ไม่ได้เตรียมใจว่าจะไม่กลับมา
ก้อย : “เราต้องดูแลเรื่องความสะอาดเป็นอย่างมาก เราคิดว่าพอคุณพ่อหาย เราจะทำทุกอย่าง แต่เราไม่คิดว่าการที่คุณพ่อเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ได้เตรียมใจว่าท่านเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้จะไม่ได้กลับบ้านอีก”
อยากให้กลับมาเกิดเป็นลูกของตนก็ได้
โย่ง : “ตั้งแต่เด็กคุณพ่อเป็นคนที่ดูแลทุกคนมาตลอดในทุกเรื่อง ผมยึดถือสิ่งดีๆ ที่คุณพ่อทำให้ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่อเป็นคนรักครอบครัว รักเดียวใจเดียว ดูแลลูกๆ อย่างดีมาก เป็นอะไรที่น่าชื่นชมมาก ก็ได้บอกคุณพ่อว่าถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก ถ้ามีโอกาสคราวหน้ามาเกิดเป็นลูกผมก็ได้”
แม่แกร่งกว่าที่คิด
โย่ง : “ตอนแรกผมคิดว่าคุณแม่จะทำใจไม่ได้ แต่คุณแม่แข็งแกร่งกว่าที่ผมคิดเยอะ ท่านบอกว่ามันคือการจากลาชนิดนึง เราไม่ต้องลา แล้วแม่ไม่ลาคุณพ่อเลย เพราะแม่เชื่อว่าสักวันต้องได้เจอคุณพ่ออีก”
ทำหน้าที่ลูกอย่างดีในช่วงสุดท้ายของชีวิต
โย่ง : “ในช่วงชีวิตช่วงสุดท้ายของคุณพ่อ เราพยายามกันที่สุดแล้ว เราให้กำลังใจ ทำทุกอย่างให้เขามีความสุขที่สุดในช่วงที่เขาอยู่กับเรา และมีสติรับรู้ได้ ตอนรดน้ำศพก็บอกเขาว่าเดี๋ยวเจอกันใหม่ครับ”
สำหรับพิธีสวดอภิธรรม พ่อโย่ง อาร์มแชร์ จะมีไปจนถึงวันที่ 20 ก.ค. 2563 จากนั้นจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 21 ก.ค. เวลา 17.00 น. ณ ศาลาทักษิณาประดิษฐ์ (ศาลาใหญ่) เมรุ 1