“คิม เพทราส” สาวน้อยจากเมือง โคโลญ ประเทศเยอรมัน เป็นคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองจนถึงขนาดโดนสื่อต่างๆทั้ง Billboard, ABC News, Vและ Idolator พากันขนานนามยกให้เธอเป็น “เจ้าหญิงเพลงป็อป” คนใหม่ของวงการเพลง แต่รู้หรือไม่ว่าสาวน้อยหน้าใส ผมยาวบลอนด์ดั่งตุ๊กตาบาร์บี้ “เธอ” คนนี้เคยอยู่ในเพศสภาพที่เป็น “ผู้ชาย” มาก่อน
คิม เพทราส นักร้องสาวที่ทำเพลงมานานหลายปี แต่มาโด่งดังสุดๆเมื่อปี 2017 กับผลงานเพลงสร้างชื่ออย่าง I Don’t Want It All เพลงที่เธอแต่งขึ้นเพื่อสนองความต้องการของเธอที่มันไม่สามารถเกิดขึ้นในชีวิตจริง เพราะเธอฝันอยากมีชีวิตสวยหรู จ่ายเงินไม่อั้นให้กับเครื่องสำอาง รองเท้า เสื้อผ้า กระเป๋า แบรนด์หรูระดับโลก ทั้งๆที่ในชีวิตจริงเธอนอนอยู่บนฟูกเก่าๆ กับอพาร์ทเมนต์ที่ต้องแชร์กันอยู่ทั้งหมด 4 คน
ส่วนแรงบันดาลใจเพลงนี้ก็ไม่ต้องสืบ เพราะเหมือนเพลงลูกคู่ที่ร้องตอบ เพลง Material Girl ของ มาดอนนา ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่า เธอเคยคิดว่าเพลงนี้ของมาดอนนา คือเพลงป็อปที่เจ๋งที่สุด และเธอเองตั้งแต่เด็กๆก็ดูคลิปและวิดีโอชีวประวัติและการเดินสายทัวร์ของมาดอนนามาตลอด เรียกได้ว่าคลั่งไคล้หนักมากทีเดียว พร้อมกับยอมรับว่าเธอชื่นชอบเพลงดิสโก้แบบยุค 80 และเพลงป็อปช่วงปลายๆยุค 90 จนถึงช่วงปี 2000 ต้นๆ ซึ่งเธอมีศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจมากมาย ทางฝั่งเพลงป็อปแบบสาวๆก็คือ มาดอนนา, เลดี้ กาก้า, บียอนเซ, บริทนีย์ สเปียร์ส, คริสตินา อากีเลียรา, ไคลี มิโนค และ สไปซ์เกิร์ลส์ นอกจากนั้นก็ยังมี บอย จอร์จ, เด็บบี้ แฮร์รี, ควีน, เฟรดดี้ เมอร์คิวรี, จูดี การ์แลนด์, เบบี้ อี, ลิล แอรอน และ ลิซ วายทูเค ด้วย
ส่วนเพลง I Don’t Want It All สร้างชื่อให้เธอเพราะมันขึ้นไปติด Global Viral Chart ใน Spotify พร้อมกับที่มิวสิควิดีโอมี ปารีส ฮิลตัน มาร่วมแสดง ซึ่งทำเอา คิม ถึงขั้นกรี๊ดแตก เพราะหน้าตาคล้ายกันจนรู้สึกว่าเหมือนพี่-น้องกันจริงๆ นอกจากนั้นทาง Spotify ยังเลือกให้เธอเป็น 1 ใน 4 ศิลปินดาวรุ่งระดับซูเปอร์สตาร์ เพราะ ทรอย คาร์เตอร์ หัวหน้าครีเอทีฟทั่วโลกของ Spotify ถึงกับเคยเอ่ยปากว่า “ตอนที่ผมได้ฟังเสียงคิมร้องสดในสตูดิโอของเรา ผมขนลุกเลย ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนนับตั้งแต่ได้ฟัง เลดี้ กาก้า“
ส่วนภาพลักษณ์ของ คิม ก็ไม่เหมือนศิลปินข้ามเพศคนอื่นๆที่มีชื่อเสียงทั้ง เท็ดดี เกเกอร์ ที่เคยแต่งเพลงให้ One Direction และ เจมส์ บลันท์ รวมถึง โซฟี ศิลปินที่เคยโปรดิวซ์เพลงให้กับ มาดอนนา เพราะภาพลักษณ์ของ คิม มีความคล้ายคลึงผู้หญิงและออกไปทางน่ารักเหมือนตุ๊กตา ราวกับศิลปินเพลงป็อปสาวๆที่โด่งดังไม่ว่าจะเป็น เคที เพอร์รี หรือ บริทนีย์ สเปียร์ส
ปัจจุบัน คิม เพทราส มีผลงานเพลงมาแล้วถึง 2 อัลบั้ม Clarity ที่ออกเมื่อเดือน มิ.ย. ปี 2019 Turn Off the Light อัลบัมที่ 2 ในเดือน ต.ค. 2019 โดยอัลบัมที่ 3 ก็อยู่ในช่วงรวบรวมซิงเกิล หลังจากที่ส่งซิงเกิลแรกจากอัลบัมที่ 3 เพลง Malibu ออกมาเมื่อวันที่ 7 พ.ค.
กว่าจะเป็น "คิม เพทราส"
คิม เพทราส ชีวิตที่กว่าจะได้ทำตามฝันจนประสบความสำเร็จในฐานะนักร้อง เคยต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อจะเปลี่ยนแปลงเพศสภาพของตนเองตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งเมื่อปี 2004 ขณะอายุเพียง 12 ปี เธอเป็นเด็กรุ่นแรกๆที่ได้รับการบำบัดด้วยฮอร์โมน ซึ่งจัดการโดยสาธารณสุขของเยอรมัน ก่อนจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศขณะมีอายุเพียง 16 ปี ( กฎหมายเยอรมันต้องอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี )
การผ่าตัดครั้งนี้ได้รับคำยินยอมและสนับสนุนจากพ่อแม่อย่าง คอร์เนเลีย แม่อาชีพ นักเต้น และ ลุทซ์ พ่ออาชีพสถาปนิก อย่างเต็มที่ ซึ่ง คิม เพทราส ยืนยันว่าทั้งพ่อและแม่มีความเป็นประชาธิปไตยและไม่ใช่พวกนักต่อต้านใดๆทั้งสิ้น
“เมื่อตอนฉันอายุ 5-6 ขวบ ฉันบอกพ่อ-แม่ว่า ‘หนูเป็นผู้หญิง’ แล้วพวกเขาก็แค่ ‘ใช่ลูก เรารู้แล้ว’ แม่ฉันมีเพื่อนสองคนที่เป็นสาวข้ามเพศ แต่ถึงยังไงฉันก็ยังกดดันและรู้สึกอยากฆ่าตัวตายอยู่ดี เพราะว่าฉันไม่สามารถระบุเพศในร่างกายของฉันได้ แต่แม่บอกว่า ถ้าฉันโตพอ ฉันสามารถทำบางสิ่งเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ได้”
ในเวลานั้นพ่อ-แม่ ยังคงให้ คิม ต้องแต่งตัวเป็นเด็กผู้ชายเพื่อไปโรงเรียน แต่เมื่ออยู่บ้านพ่อ-แม่อนุญาตให้ คิม จะแต่งหญิงแค่ไหนก็ได้
ในสมัยมัธยมต้น เธอถูกเพื่อนกลั่นแกล้งอย่างหนัก และต้องเผชิญหน้ากับหมอขี้สงสัยขณะเข้ารับการปรึกษาด้านการแพทย์
“พวกหมอกลุ่มแรกๆที่ฉันไปพบ บอกกับพ่อแม่ฉันว่า ‘ลูกคุณบ้ามาก’ พวกเขาถามคำถามน่าขยะแขยงใส่ฉัน เช่น ‘รู้สึกว่าแม่ตัวเองน่าดึงดูดใจไหม?’ พวกเราต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเจอจิตแพทย์ที่บอกว่า ‘ชัดเจนเลยว่าลูกคุณเป็นเด็กผู้หญิง’”
ในวัยเพียงแค่ 14 ปี คิม เพทราส ได้เริ่มต้นหัดแต่งเพลง ทำเดโมของตนเองผ่านทาง แอปพลิเคชัน GarageBand แม้ว่าพ่อ-แม่จะชื่นชอบเพลงสไตล์ ไมลส์ เดวิส ส่วนพี่สาวก็เป็นพวกต่อต้านสังคมชอบฟังแนวเฮฟวี เมทัล แต่คิม เพทราส ก็เลือกที่จะมีความสุขกับแนวเพลงป็อป ที่ทำให้เธอรู้สึกปลดปล่อยจากโลกภายนอกได้อย่างสิ้นเชิง
ชีวิตเริ่มเข้าตาคนในวงการเมื่อวิดีโอ YouTube ที่เธอเคยโหลดสมัยร้องคาราโอเกะเทียบเสียงคู่กับ คริส บราวน์ ในเพลง Don’t Wake Me Up ไปถูกใจ คริส อับราฮัม โปรดิวเซอร์ชาวลอสแองเจลิส ที่ชักชวนให้เธอเดินทางจากเยอรมันบ้านเกิดไปอเมริกา
คิม ต้องอาศัยหลับนอนใน สตูดิโอ และใช้วีซ่าท่องเที่ยวอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 3 เดือน ที่ต้องแต่งเพลง และคอยสร้างสรรค์ดนตรีร่วมกับโปรดิวเซอร์เพื่อนใหม่ จนกระทั่งในปี 2014 พาร์ทเนอร์นักแต่งเพลงก็แนะนำเธอให้รู้จักกับ ทีมโปรดิวซ์และแต่งเพลงชื่อดังอย่าง Stereotypes ที่เคยคว้ารางวัลแกรมมี่เพลงแห่งปีและบันทึกเสียงแห่งปีจากเพลง That’s What I Like ของ บรูโน มาร์ส ซึ่งพวกเขายอมให้ คิม ใช้สตูดิโอพวกเขาฟรี และยังแนะนำให้เธอได้รู้จักกับศิลปินดังทั้ง JoJo และ เฟอร์กี้ ซึ่งเธอเองยังเคยแต่งเพลงให้ เฟอร์กี้ แต่เพลงนี้ก็ไม่ได้ถูกปล่อยออกมา แต่มันก็มากพอที่ทำให้เธอได้ทำข้อตกลงเรื่องการเผยแพร่ร่วมกับ BMG
จากนั้น BMG ก็แนะนำให้เธอได้เจอกับ ดร.ลุค โปรดิวเซอร์ดังที่มีข่าวฉาวล่วงละเมิดทางเพศ Kesha โดย คิม และ ดร.ลุค ได้ร่วมกันทำเพลง I Don’t Want It at All ที่ทำให้เธอดังเป็นพลุแตก แต่ช่วงที่ดังสุดๆก็โดนวิจารณ์หนักเช่นกันว่าเธอทำงานกับอาชญากรที่ล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิง ซึ่ง คิม จำต้องออกมาอธิบายว่า งานเพลงนี้เป็นผลงานของเธอเอง ซึ่ง ดร.ลุค แค่เข้ามาเป็นฝ่ายสนับสนุนเท่านั้น
จากนั้น ดร.ลุค แนะนำส่งต่อ คิม เพทราส ให้รู้จักกับ มิสเตอร์ รูดอล์ฟ ที่เขายอมรับว่า ตกหลุมรักสาวน้อยรายนี้ขึ้นมาทันที “ผมอยู่ในแวดวงธุรกิจของสตาร์ และเธอก็คือสตาร์”
ความสามารถของ คิม ประกาศก้องให้โลกได้รู้ก่อนที่จะได้รู้จักกับประวัติส่วนตัวของเธอเสียอีก ซึ่งเมื่อปี 2018 คิม เคยได้เครดิตว่าเป็นคนร่วมแต่งเพลง Young & Wild ของ Twice เกิร์ลกรุ๊ปดังเกาหลี และแฟนๆก็ชอบงานเพลงต่างๆของเธอที่ปล่อยออกมาโดยที่ไม่รู้ว่า สาวน้อยน่ารักรายนี้ เคยเป็น “ผู้ชาย” มาก่อนด้วย
ส่วนเจ้าตัวก็ทิ้งท้ายถึงทุกคนที่มองเป็นไอดอลของกลุ่ม LGBTQ ว่า “ฉันอยากเป็นแบบอย่างให้กับเด็กที่แปลงเพศ ช่วงชีวิตวัยรุ่นที่ผ่านมาของฉัน ต้องอุทิศไปกับการป่าวประกาศว่า ‘ดูนี่สิ ฉันเป็นผู้หญิงข้ามเพศ แต่ฉันก็เป็นคนปกติธรรมดา’ ฉันมักจะต่อสู้เพื่อกลุ่ม LGBTQ เสมอ เพราะว่านี่คือบ้านของฉัน”
“แต่ฉันก็ไม่แคร์หรอกว่าใครจะมองฉันเป็นไอดอลหรือเปล่า เพราะจริงๆแล้วฉันแค่อยากเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินผู้ยิ่งใหญ่มากกว่า”