"ป้าแจ๋ว ยุทธนา" เสียดายไม่ได้ร่ำลา "เติม ชนินทร" แต่เข้าใจเรื่องป่วย ไม่เข้าใครออกใคร ชี้คงเตรียมใจผ่อนภาระตัวเองให้หมดไปจากโลกนี้ ห่อเหี่ยวเป็นเดือนที่สูญเสียพี่น้องในวงการเยอะเหลือเกิน ทุกคนล้วนมีความสามารถ ปลงนอนไปคืนนี้ ไม่รู้พรุ่งนี้จะตามไปหรือเปล่า
มาร่วมส่ง "เติม ชนินทร ประเสริฐประศาสน์" ผู้กำกับละครชื่อดัง ซึ่งเสียชีวิตท่ามกลางความช็อกและอาลัยของคนในวงการ โดยวันนี้ (27 มิ.ย.) มีพิธีฌาปนกิจที่วัดอุทัยธาราม (วัดบางกะปิ) "ป้าแจ๋ว ยทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์" ได้เผยว่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสร่ำลา พร้อมเล่าถึงความทรงจำเมื่อครั้งร่วมงานกัน
"นึกถึงเติม เสียใจเหมือนกัน มีอยู่ช่วงนึงเราสนิทกันมาก เราได้ทำงานร่วมกัน สนุกร่วมกัน เติมกับพวกเราเป็นพวกที่รสนิยมในการเสพความบันเทิงในแบบเดียวกัน และชอบดูละครเพลง ชอบดูหนังเกี่ยวกับเพลง ชอบอ่านหนังสือ และมีความเสียดายนิดนึงตรงที่ว่าไม่ทันได้ร่ำลากันเป็นทางการ แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เติมตัดสินใจแล้ว เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา เราเข้าใจเลยนะเรื่องความป่วยไข้ มันไม่เข้าใครออกใคร และจะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวของคนที่ป่วยเลย ว่าป่วยแค่ไหน อยู่ต่อไหวไหม ซึ่งอันนี้ไม่อยากจะถือว่าเป็นความผิดพลาด และไม่ขอเรียกว่าเป็นการคิดสั้น เรียกว่าเป็นการเตรียมตัวและเตรียมใจเพื่อจะผ่อนภาระของตัวเองให้หมดไปจากโลกนี้”
"เราเคารพในการตัดสินใจของเขาแน่นอน เราเคารพในการตัดสินของเติม เพราะเติมไม่เหมือนใคร เขาเป็นคนที่ทำงาน เขียนบทก็ไม่เหมือนใคร เขามีแนวคิด เขามีอะไรที่แปลก แล้วก็ฉลาดในการคิดมาก แม้กระทั่งงานกำกับของเขา ก็ไม่เหมือนใครเหมือนกัน เขามักจะกำกับละครที่เขาเขียนบทเอง หรือแม้กระทั่งคนอื่นมาเขียนบท เขาก็ต้องมีส่วนในการควบคุม แล้วก็คิดเรื่องบทไปด้วย เพราะเขาเป็นคนที่คิดพล็อตเองเก่งมาก"
"แล้วมุมมองในการกำกับการแสดงของเขา ก็ค่อนข้างจะบอกเลยว่าแปลกดีไม่เหมือนคนอื่น ไม่เหมือนผู้กำกับคนอื่น เด็กๆ นักแสดงที่ได้ร่วมงานกับเติมทุกคนก็จะรู้สึกว่าเติมเหมือนเปิดโลกทัศน์การแสดงใหม่ให้กับเขา เราถามจากทุกคนนะ ที่ผ่านจากเราไปแล้ว แล้วไปเจอเติมอีกที เติมทำให้เขารู้สึกว่ามันเหมือนทะลุไปอีกระดับหนึ่งของการแสดง เพราะฉะนั้นเรามีความรู้สึกว่าเสียดายนิดหนึ่ง ตรงที่ว่าเติมน่าจะได้ถ่ายทอด หรือได้กำกับใครๆ ได้มากกว่านี้อีก แล้วที่สำคัญคือในหัวสมองของเติมยังมีความคิดอีกมากมาย ในการคิดเรื่อง เขียนเรื่องอะไร แค่อาจจะสุขภาพไม่อำนวย อาจจะทำงานได้ลำบากหน่อย แต่ว่าเราคิดว่าจริงๆ เขายังอยู่ เขายังมีงานอีกมากมาย ที่ทำออกมาแล้วคนชอบ"
เผยความทรงจำ เจอผู้กำกับดังครั้งแรก
"เราเจอเติมครั้งแรก เติมเป็นรุ่นน้องที่ครุศาสตร์ ตอนนั้นตัวใหญ่มาก แล้วก็จะมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง คือแก๊ป วิสุทธิชัย แล้วไปถึงเราก็เอ๊ะ น้องสองคนนี้เป็นเลข 1 กับเลข 0 (หัวเราะ) ตัวผอมคนหนึ่ง ตัวใหญ่คนหนึ่ง เป็นดูโอ้กัน แล้วเขาจะชอบมานั่งดูรุ่นพี่ เพราะรุ่นเรารู้สึกจะบ้าที่สุดในคณะ เขาจะเดินผ่านไปผ่านมา เราจะมีห้องสมุดเป็นที่ตั้ง แล้วเติมกับแก๊ปก็จะผ่านไปผ่านมา"
"เขาก็คงเห็นว่าอีรุ่นพี่นี่ประหลาดดี บ้าดี เราก็จะเริ่มรู้จักกันช่วงนั้น เพราะจริงๆ แล้วเราไม่ใช่พี่รหัสน้องรหัสกัน แล้วก็ไม่ใช่น้องแผนกเดียวกัน แต่ว่าเราอยู่ในคณะเดียวกัน จนกระทั่งอีกปีหนึ่งก็เจอ เหลือแก๊ปคนเดียว เราบอกอ้าว...เติมหายไปไหน เขาก็บอกเติมเอ็นติดนิเทศฯ อยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้ไปไกล คณะอยู่แค่ข้ามถนนไปก็ถึงแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าก็ถูกต้อง เพราะว่าจะมาเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ถูกใจมันก็ไม่ใช่ ควรจะไปอยู่ในที่ที่พอใจมากกว่า คือทำให้เห็นว่าเติมเป็นคนที่ตัดสินใจมั่นคง แล้วก็รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร นี่คือสิ่งที่รู้จักกับเติมสมัยตอนที่เป็นนิสิต"
"ไม่ต้องคุยว่าทำไมเขาถึงซิ่ว อย่างที่บอกเติมเขาเป็นคนพิเศษ เขาไม่เหมือนคนอื่น การที่เติมย้ายไปคือเขาชอบหนัง ชอบการเขียนบท ชอบการเขียนหนังสือ เขาชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่อยู่คณะครุศาสตร์ ซึ่งจะต้องมาเป็นครู มันไม่ใช่แน่นอน เขาอาจจะต้องไปเริ่มต้นใหม่จริง แต่มันเป็นการเริ่มต้นที่มีความสุขมากกว่า เราก็เลยมีความรู้สึกว่านั่นแหละคือสิ่งที่เติมปรารถนา เหมือนชีวิตของเติมในช่วงท้ายนี้ เขาตัดสินใจเพื่อจะไปมีความสุขมากกว่า ก็เหมือนกันกับที่เขาเอ็นทรานซ์นั่นแหละ ซึ่งเขาก็เก่งบอกที่จะไปเอ็นทรานซ์อีกครั้งหนึ่งด้วยซ้ำไป แต่ก่อนเราใช้วิธีสอบนะ เราไม่ได้มีคะแนนนะ ยากอยู่"
ร่วมหัวจมท้ายทำละครด้วยกัน ทุกอย่างมีแต่ความสนุกสนาน
"ตอนที่ทำละครเรื่องนางอายด้วยกัน เรียกว่าร่วมหัวจมท้ายกับเติมแบบชนิดที่ใกล้ชิดกันมาก นางอายเป็นละครที่ไม่มีผู้จัด ช่องเป็นผู้จัด เด็กใหม่หมด มีพี่จอนนี่ แอนโฟเน่ คนเดียวที่เคยเป็นพระเอกมาแล้ว จอย (ศิริลักษณ์ ผ่องโชค) เพิ่งเคยเล่นเป็นนางเอกเรื่องเดียวเอง แล้วเบนซ์ (พรชิตา ณ สงขลา) นี่ก็ใหม่เอี่ยม แล้วหนังสือเล่มนี้ มันเหมือนเป็นบันทึกความทรงจำของคุณนราวดีหน่อยๆ เป็นเรื่องของเด็กคอนแวนต์ มันคือเรื่องจริงบางส่วน แล้วเราก็มีความรู้สึกว่า เรารู้ว่านักเรียนประจำเป็นยังไง แต่เติมยังไงไม่รู้ เพราะเติมไม่เคยเรียนโรงเรียนประจำ เพราะฉะนั้นก็ต้องคุยกันระหว่างที่เราทำบท พาเติมไปดูโรงเรียนที่อัสสัมชัญศรีราชา"
"ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราสนุก แล้วเติมก็โทร.ไปคุยกับคุณนราวดีด้วย บางเรื่องที่สงสัย เพราะฉะนั้นบทนางอายของเติมเนี่ย มันเป็นบทที่เรารู้สึกว่าสนุกและมีสีสันดีกว่าเวอร์ชั่นที่เป็นหนังก่อนหน้านั้นที่เราดู มันเคยเป็นหนังมาก่อน แต่ว่าหนังถูกดัดแปลง จนเราว่าเสน่ห์ของความเป็นนิยายนางอายมันหายไป แต่อันนี้พีเรียดก็ใช่ เราย้อนกลับไปในพีเรียดที่คนเขียนเรื่องเขาอยู่ในสมัยนั้นจริงๆ แล้วเราก็คุยกับเติมหลายอย่าง แล้วเราก็ชอบอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการทำบทนางอายของเติมกับเรา มันจะสนุกสนาน แล้วก็ไปด้วยกันเป็นอย่างดี"
"แล้วเวลาที่เราเริ่มถ่ายจริงๆ อย่างที่บอกว่ามันไม่มีผู้จัด เติมก็เข้าไปด้วย ไปในฐานะที่เป็นแอ็กติ้งโค้ชให้เด็กๆ เพราะว่าภาษามันโบราณมาก กิริยาอาการบางอย่างมันก็โบราณมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเติมเขาก็เลยสนุกสนานกับการไปเป็นโค้ชให้กับเด็กๆ นั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกว่างานกำกับเขาก็น่าจะสนุกด้วยเหมือนกัน ตอนที่เราไปทำนางอายกัน"
เผยเสน่ห์ในงานของอีกฝ่ายคือความแตกต่าง
"งานของเติมแตกต่างจากคนอื่น แตกต่างจากละครเรื่องอื่นๆ ตรงที่ว่ามุมมองของเติม ตัวละครทุกตัวมันกลม ไม่ใช่สีขาวสีดำอย่างเดียว ตัวละครทุกตัวมีเหตุผล ทุกอย่างมีเหตุผลรองรับ บทละครของเติมอ่านแล้วสนุก เขาช่างคิด สามารถย่อยวิเคราะห์ละครหรือหนังที่ดูได้ละเอียด แบบที่เรายังคิดไม่ได้เหมือนเขา คิดได้เยอะกว่าที่เราคิดอีก นี่คือความพิเศษของเขาที่มีความช่างคิดในเรื่องต่างๆ ยิบย่อยและกระจายแตกสาขาออกไปได้หลายเรื่อง"
"บทของเติมถ้าเปรียบเหมือนต้นไม้ บางทีเราทำต้นเล็กๆ มีไม่กี่กิ่ง แต่ของเติมกิ่งจะแผ่ใหญ่ไพศาล เป็นความพิเศษในฐานะคนเขียนบทที่ไม่เหมือนใคร และในฐานะผู้กำกับยิ่งทำจากบทของตัวเอง เวลาเขากำกับนักแสดง จะบอกเบื้องลึกเบื้องหลังของนักแสดงที่ต้องเล่นเป็นตัวละครนั้นๆ เขาไม่ได้มากำกับแบบให้เล่นไปตามบุญตามกรรม เขาจะหาที่มาที่ไปของตัวละครนั้นๆ ให้นักแสดงกลับไปคิด แล้วนักแสดงก็จะสนุกกับการมาเล่นเป็นตัวละครในแบบของเติม”
"เช่นในเรื่องเดียวกันอย่างเพลิงบุญ เวอร์ชั่นที่แล้วกับเวอร์ชั่นนี้ไม่เหมือนกัน เติมเขามีวิธีคิดให้ตัวละครคิดอีกแบบหนึ่ง อย่างตัวละครที่เจนี่ (เจนี่ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร) เล่น ในเวอร์ชั่นแรกอาจจะเป็นคนที่ร้ายที่สุด แต่เวอร์ชั่นนี้จะเห็นว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ เขาเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดต่างหาก เหตุผลที่ร้ายมันมี มันเป็นเพราะอะไร เติมสามารถทำให้ตัวละครที่เจนี่เล่น เป็นตัวละครที่น่าสงสารมากกว่าร้าย สุดท้ายที่เจนี่ต้องตายคนดูก็โล่งใจไปกับเจนี่ด้วยว่าอย่าอยู่เลยในโลกนี้เพราะอยู่ไปก็ทรมาน อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขามีวิธีคิดที่ไม่เหมือนใคร ที่พี่ชอบเพราะมันละเอียดลออ มีที่มาที่ไปมีกิ่งก้านสาขาเยอะ มีเหตุผลรองรับดีมาก"
ไม่มีใครรู้ เติมร้องเพลงเพราะมาก
"ถ้าเขายังอยู่ เขายังสามารถสร้างผลงานให้กับวงการบันเทิงได้มากกว่านี้ เยอะมาก จริงๆ เติมเขียนทั้งบทหนัง บทละคร และกำกับละคร ยังไม่มีใครรู้ว่าเติมร้องเพลงเพราะมาก เสียงเติมเป็นเสียงเทรนเนอร์ เวลาเราเอาเติมไปร้องเพลงด้วยกัน ครูสอนร้องเพลงจะบอกว่า ทำไมเขาเสียงดีแบบนี้ เขาไปอยู่ที่ไหน ทำไมเขาไม่มาร้องเพลง เวลาเราไปดูละครเพลงด้วยกัน เติมจะสามารถร้องเพลงในพาร์ตของพระเอกได้ เพราะเสียงเติมสูงลอยใสและนิ่ง"
"เขาชอบดูมิวสิคัล เคยไปอังกฤษด้วยกัน ดูมิวสิคัลทุกวันเพลิดเพลินมากมีความสุขกับการดูละครวิจารณ์ละคร เติมก็ร้องเพลงได้ เติมเป็นคนหูดี ร้องไม่เพี้ยนเข้าจังหวะถูกทำนอง เติมเคยเล่นละครเวทีที่เป็นละครเพลง บทเล็กๆ ครั้งหนึ่งกับพวกพี่ เรื่องโจเซฟ เรารู้เลยว่าเติมมีความสุข เติมจะกลัวๆ กล้าๆ ที่ต้องไปแสดงออกต่อหน้าคนอื่น แต่พอเราบอกว่าเติมเล่นดีมากเขาก็มั่นใจ เป็นละครสนุก เป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกว่าเติมแฮปปี้ที่ได้เข้าไปอยู่ในโลกละครเวที"
ห่อเหี่ยวใจ เป็นเดือนที่ต้องสูญเสียเพื่อนพ้องในวงการบันเทิงเยอะเหลือเกิน จนมีความรู้สึกว่า นอนไปคืนนี้ ไม่รู้พรุ่งนี้จะตามไปหรือเปล่า หมดเจนเราแล้ว ทุกคนที่จากไปล้วนมีความสามารถ
"ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตั้งแต่ต้นปีการสูญเสียมันมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเดือนนี้มีเพื่อนพี่น้องไปกันง่ายเหลือเกิน อย่างตั้ว (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) เรารู้ว่าตั้วไม่สบาย ไม่คิดว่าตั้วจะไปเร็วขนาดนี้ แต่พอรู้ที่มาของโรคก็เข้าใจแล้วเพราะแม่พี่ก็ไปด้วยโรคเดียวกับตั้ว รู้ว่าเวลาเหลือไม่เยอะและไปเร็วมาก"
"อย่างเติมตอนแรกก็ตกใจแต่พอเรามารู้ถึงที่มาที่ไป ด้วยความที่สนิทกับเขาเราจะรู้ว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจแบบนั้น เหตุผลมันมีรองรับเหมือนกับบทของเติมที่เขียนมาเป๊ะทุกสิ่งอย่าง เราเคารพในการตัดสินใจของเติม แต่ที่เสียใจอย่างหนึ่งคือไปกันเยอะเหลือเกิน จนเรามีความรู้สึกว่า เรานอนไปคืนนี้ พรุ่งนี้จะตามเพื่อนพี่ๆ น้องๆ ไปด้วยหรือเปล่า มันน่าจะถึงวัยของพวกเราแล้ว หมดเจนเนอเรชั่นของเราแล้ว"
"แต่ก็เสียดายเพราะคนที่ไปล้วนมีความสามารถทั้งนั้น ถ้าตั้วยังอยู่ละครดีๆ ของตั้วจะมาอีกเยอะแยะ รวมทั้งการแสดงที่ดีของตั้ว ถ้าเติมยังอยู่ละคนที่เขียนจากบทของเติมดีๆ จะยังมีอีกหลายเรื่อง เสียดายแทนคนดูผู้ติดตามผลงาน เราขาดคนที่เก่งๆ ที่ทำงานไป มันห่อเหี่ยวใจ แต่อย่างว่าชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป ก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะถึงเวลาของเราบ้าง เป็นเวลาที่สมควรของคนที่จะลาจากไปแล้ว ดีใจอย่างหนึ่งที่ทุกคนไปอย่างมีความสุข ไม่มีใครไปแบบทุกข์หรือโกรธเกรี้ยวกับชีวิต ทุกคนไปอย่างมีความสุขได้ไปในทิศทางของตัวเองหวังและคิดว่าเขาจะมีความสุขต่อไป"