“บุ๋ม ปนัดดา” เผยความรู้สึกหลังเผชิญหน้า “เอ๋ ปารีณา” ไม่สบายใจแต่ต้องทำ ยกหน้าที่ให้ทนายเดินเรื่องฟ้อง ไม่มีการนัดคุยนอกรอบ เหนื่อยและเครียดมากไม่ขอวุ่นวายด้วยแล้ว รับหลายพรรคติดต่อเป็นส.ส. แต่ยังสนุกกับงานบันเทิง ดีใจได้เจอลูกบุญธรรม หลังส่งเสียตั้งแต่ยังไม่เป็นนางสาวไทย รับอุปการะเด็กเกือบ 30 จากกลุ่มถูกล่วงละเมิด
หลังจาก “บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” ได้เผชิญหน้ากันกับคู่กรณีส.ส. “เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์” แบบไม่ทันได้ตั้งตัวในรายการแฉ ไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (10 มิ.ย.) เจ้าตัวก็ได้เผยความรู้สึกไปแล้วว่าไม่สบายใจ แต่ต้องทำ เพราะรู้สึกสงสารเจ้าของสินค้าติดต่อมาก่อนแล้วถึง 6 เดือน วันนี้ในงานบุญไถ่ชีวิตต้นไม้ ณ วัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี ๙๘๙ จ.สมุทรปราการ เจ้าตัวก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวอีกครั้งพร้อมอัปเดตความคืบหน้าหลังตัดสินใจฟ้องคู่กรณี และยังได้เผยถึงความรู้สึกหลังได้เจอกับลูกบุญธรรมที่ส่งเสียมาตั้งแต่อยู่ป.3 จนตอนนี้เรียนจบเป็นคุณครู กลับไปสอนต่อบนดอยให้ฟังกันอีกด้วย
“ต้องเอาตามตรงก็คือไม่สบายใจหรอก ที่เราต้องเจออะไรแบบนี้นะคะ เพียงแต่ว่าวันนั้นเป็นคิวงานที่บอกมาล่วงหน้าอยู่แล้ว 6 เดือน เพราะว่าบุ๋มเป็นพรีเซ็นเตอร์ของผลิตภัณฑ์ เริ่มแรกจากการที่เราไปนั่งทอร์กสินค้าเหมือนกับทุกๆ วันที่เราเป็นพรีเซ็นเตอร์ ดังนั้นวันนั้นก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะว่าไม่มีใครแจ้งล่วงหน้าว่าจะต้องเจอใครค่ะ แล้วก็ไม่มีคิวที่จะต้องให้สัมภาษณ์เรื่องอื่นๆด้วย แล้วก็เราว่าเราจบแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เรารู้สึกว่าโอเค ในเมื่อบังเอิญมีแฟนคลับส่งมาให้เห็นถึงโพสต์อีกฝั่งหนึ่งมากกว่าว่าอย่าหนีนะ เราก็ช็อกสิ ประมาณเกือบๆ เที่ยงคืนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้ที่ไม่แจ้งเรา แต่บุ๋มก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเราและมันไม่แฟร์กับสินค้า เพราะว่าสินค้าซื้อเวลาออกรายการถูกไหมคะ แต่ต้องมาเจอดรามาแบบนี้ ก็กลัวว่าจะขายได้หรือเปล่า หรือภาพสินค้าจะเป็นอย่างไร”
“บุ๋มก็ให้สินค้าเคลียร์เองแล้วกัน เขาต้องเป็นคนตัดสินใจเพราะเขาเป็นคนจ่ายตังค์นะคะ บุ๋มก็โอเคไม่เป็นไรให้สินค้าเป็นคนคุย ก็คุยไปคุยมาเขาสรุปว่าขอเน้นขายดีกว่า เพราะว่าอย่าลืมนะคะว่าช่วงโควิดที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าทุกคนจะขายได้ดี และเขาก็รอคิวมา 6 เดือนเต็ม บุ๋มก็โอเคยังไงก็ได้ แต่บุ๋มพร้อมชน คือตามสไตล์เรา แต่เพียงว่าทางสินค้าขอเราไว้ว่าไม่อยากมีดรามา บุ๋มก็โอเคเราไปในนามพรีเซ็นเตอร์ไม่ได้ไปเอง แต่วันนั้นเสร็จแล้วทาง AE เขาก็โทร.มาเคลียร์ว่าไม่มีแล้วนะอะไรแบบนี้”
“แต่วันรุ่งขึ้นมดดำ (คชาภา ตันเจริญ) โทร.มาหาบุ๋มแล้วบอกว่าขอได้ไหม ว่าจะต้องมีเขาอยู่ในรายการ บุ๋มก็บอกว่าแล้วมันจะออกมาเป็นยังไงคุยกับสินค้าหรือยัง เขาก็บอกว่าเป็นสินค้า ตัดสลับให้เห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะมา ก็คือบุ๋มทอร์dสินค้าไปก่อนนะ เสร็จแล้วก็เดินออกเลย แล้วให้เขาพูดไป เราก็เหรอ...แล้วมันจะแฟร์กับเราเหรอ จะหาว่าเราหนีหรือเปล่า มันก็มีหลายคำถามเกิดขึ้นกับบุ๋มเหมือนกันนะ เพียงแต่เราก็รู้สึกว่า เราก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
“ถามว่าถ้าเป็นบุ๋มสมัยก่อนนะบุ๋มเดินหนีแล้วแหละ ไม่สนหรอก บุ๋มจะไม่แคร์ด้วย อะไรที่บุ๋มไม่ถูกใจหรือว่าไม่ถูกต้องก็จะเดินหนีของบุ๋มเลย แต่วันนั้นไม่ใช่ เราหันไปมองตาเจ้าของสินค้า เราหันไปมองตาตัวแทนจำหน่าย แล้วเรารู้สึกว่าเราสงสารเขา เขาหวังตรงนี้มานานมากแล้ว แล้วเรามาเดินสะบัดบ๊อบด้วยอารมณ์ส่วนตัวมันก็คงไม่ใช่มืออาชีพ เราก็เลยรู้สึกว่าเราก็คงต้องเผชิญหน้าแหละ แต่ก็ขอเผชิญหน้าแบบที่เราแฟร์ๆ หน่อย เพราะว่าเราไม่ได้มีสิทธิ์เลือก เราก็โอเคขอฟังหน่อยแล้วกันว่าเขาจะพูดอะไร มันก็เลยออกมาเป็นในรูปแบบอย่างที่เห็นค่ะ”
ไม่มีการคุยกันนอกรอบ มีแค่ตอนที่เขาพยายามจะเข้ามาหา เลยตัดสินใจถาม เพราะเชื่อว่าน่าจะเคลียร์กันได้ เลยออกมาอย่างที่ได้เห็นกัน
“ไม่มีค่ะ รอบนอก นอกเวทีมีแค่ตอนเดิน เพราะว่าเขาก็พยายามเดินมาหาเรา เห็นไหม เราก็ถามเลยดีกว่าว่าอะไรเพราะคนเรามันเคลียร์กันได้มันก็ควรจะเคลียร์มันไม่ควรมานั่งทะเลาะกันอะไรแบบนี้ เพราะต่างคนก็ต่างทำงานเพื่อสังคมด้วยกันนะ ก็ไม่น่าจะต้องมานั่งทะเลาะอะไรแบบนี้ เพราะว่าเราก็อยู่ของเราเฉยๆ บุ๋มยังเชื่อว่าคนเรามันน่าจะคุยกันได้ แต่ในเมื่อเขาก็ยังเป็นอย่างที่เห็น ก็ตอบไม่ตรงคำถาม ก็โอเคไม่เป็นไร ก็อย่างที่เห็นค่ะ ว่ามันออกมาในรูปแบบนั้น บุ๋มก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดในการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าค่ะ”
การเจรจากันในรายการก็ยังดูไม่ลงรอยกัน เลยตัดสินใจฟ้องศาล เพราะอีกฝ่ายก็บอกว่าจะฟ้องเหมือนกัน
“ถ้าฟ้องคงฟ้องแหละค่ะ เพราะเขาบอกว่าเขาจะฟ้องบุ๋มเหมือนกัน (เขารอให้เราฟ้องก่อน?) แล้วทำไมต้องรอ ถามว่าจะฟ้องข้อหาอะไรบ้าง ก็เห็นชัดอยู่เนาะ เอารูปไปแล้วยังพูดในรายการอีกว่าเสี่ยงในสังคมอะไรแบบนั้น เราก็จ๊ะ”
การฟ้องทั้งหมดยกให้ทนายจัดการ จะไม่เข้าไปยุ่งเอง เพราะต้องทำงานทุกวัน ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย
“บุ๋มให้ทนายจัดการอยู่แล้วค่ะ บุ๋มไม่เข้าไปยุ่งเองเพราะว่าเราก็ทำงานของเราอยู่ทุกวัน เรื่องแบบนี้บุ๋มว่าทางกฎหมายก็ว่ากันไปตามกฎหมายอยู่แล้วค่ะ ซึ่งเรียบร้อยแล้วค่ะ ก็ให้ทนายจัดการในเรื่องของเอกสารค่ะ เขาก็จัดการดูแลในทุกอย่าง คดีก็ไม่ได้ยากอะไรค่ะ”
จะยอมความหรือไม่ ก็ต้องรอดูในช่วงไกล่เกลี่ย ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการส่งฟ้องตามหลักฐาน เผยตั้งแต่เกิดเรื่อง เหนื่อยและเครียดมาก ขออยู่นิ่งๆ ทำงานของตัวเองต่อไป ไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายอะไรแล้ว
“ยอมความจะไปอยู่ในช่วงของการไกล่เกลี่ยว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ ณ ตอนนี้คือส่งฟ้องตามหลักฐานค่ะ ต้องไปเองไหม ยังไม่ทราบค่ะแต่ตอนนี้จ้างทนายแล้วก็อาจจะไม่ต้องไปมั้ง คือเอาตามตรงนะตั้งแต่มีเรื่องเกิดขึ้นเราเหนื่อยมากและเครียดมาก เพราะเราอยู่ของเราเฉยๆ และเรารู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเรา ดังนั้นขออยู่เงียบๆ ขออยู่นิ่งๆ ขอทำงานของเราต่อ เพราะคิวงานของเรายังไม่ได้หยุดเลยนะ เราลงพื้นที่ตลอดเลย ดังนั้นเราขอทำงานของเราต่อไป ไม่อยากยุ่งเกี่ยวและวุ่นวายอะไรแล้ว มางานบุญก็ขอเป็นงานบุญจริงๆ ดีกว่า”
รับมีหลายพรรคติดต่อไปเป็น ส.ส. แต่ไม่อยากไปอยู่จุดนั้น ยิ่งมาเจอเรื่องนี้ เลยรู้สึกว่าน่ากลัวจัง
“ค่ะ ก็ให้ทางเลขาฯ เป็นคนรับหน้าแทน เพราะเราคงไม่อยากไปอยู่ในจุดนั้นแหละ ยิ่งมาเจออะไรแบบนี้นะ เราจะยิ่งรู้สึกว่าน่ากลัวจัง (หัวเราะ) ขอทำงานตรงนี้เหมือนเดิมดีกว่า แล้วก็อะไรที่มันไม่ดีไม่ถูกต้องก็ให้มันเป็นไปตามกฏหมายจบ”
บอกจริงๆ อยู่มาเป็น 10 ปีแล้ว ในส่วนงานวิชาการ แต่ไม่ได้มีตำแหน่งเพราะไม่มีความจำเป็น ไม่เห็นต้องไปนั่งบอกใคร ผลงานต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ
“จริงๆ เราก็อยู่ของเรามานานแล้วนะ แต่เป็นในส่วนของงานวิชาการ ไม่ได้มาในส่วนอื่นนะ ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำงานในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เพราะตำแหน่งมันไม่ได้มีความจำเป็น ประชาชนก็ไม่ได้กินดีอยู่ดีขึ้น แต่สิ่งที่เราทำต่างหากคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับประชาชน ดังนั้นก็ขอทำงานเหมือนเดิมดีกว่าค่ะ เราอยู่ตรงนี้มาเป็น 10 ปีแล้วนะ แต่ไม่เห็นต้องบอกใคร บางคนก็ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเราทำงานในตำแหน่งอะไรมาแล้วบ้าง ตัดริบบิ้นมาก็แล้ว ประชุมต่างประเทศก็แล้ว แต่ก็ไม่เคยต้องมานั่งบอกใคร เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับประชาชน สิ่งที่เกิดขึ้นและผลงานต่างหากมันคือสิ่งที่สำคัญจบ”
แต่ละพรรคยื่นข้อเสนอให้หลากหลาย รู้จักและเคยร่วมงานกันหลายคนเลยไม่เอาดีกว่า บอกตอนนี้ยังสนุกกับงานในวงการบันเทิง และยังเสียดายตังค์ในวงการด้วย
“โอ้ย...หลากหลายค่ะ ก็จะเป็นพี่ๆ ที่รู้จักกันบ้างบางท่านก็เป็นพรรคเก่าที่เราเคยรู้จัก ที่เราเคยร่วมงานแล้วก็ออกมาตั้งพรรคของตัวเองก็มี เราก็เลยบอกว่าโอเคงั้นไม่ดีกว่า เพราะว่าพี่ๆ คนนั้นเราก็รู้จัก คนนี้เราก็รู้จัก และบุ๋มเองยังรู้สึกว่าสนุกกับงานในวงการบันเทิง เพราะว่าถ้าไปตรงนั้นเราทำแบบนี้ไม่ได้อีกเนาะ เสียดาย ยังเสียดายงาน เสียดายตังค์ในวงการค่ะ(หัวเราะ) ก็ขอทำงานในตรงนี้อยู่ทเพราะเราเองก็ยังมีงานเยอะอยู่นะ รายการก็เกือบ 10 รายการ ดังนั้นถ้าบุ๋มทิ้งตรงนี้ไปใครจะทำต่อ แต่ก็คงมีแหละ เพียงแต่ว่าบุ๋มก็ยังคงสนุกกับงานในวงเหมือนเดิม แล้วงานยังเยอะอยู่ค่ะ”
ดีใจมากหลังได้ไปเจอลูกบุญธรรม ที่ดูแลมาตั้งแต่ยังไม่เป็นนางสาวไทย ปลื้มใจจากเด็กป.3 โตมาเป็นอนาคตที่ดีของชาติ เป็นคุณครูกลับไปสอนไปกระจายความรู้ต่อบนดอย
“โห...ดีใจมาก เพราะว่าคือจริงๆ ดูแลเด็กคนนี้ตั้งแต่ก่อนได้นางสาวไทย จนกระทั่งเป็นนางสาวไทยแล้วเป็นอะไรแล้ว ตอนนั้นเขาอยู่ป.3 เอง เดินไปกลับโรงเรียนวันละ 6 กิโล เรารู้สึกสงสารเขา ก็เลยดูแลเขามาโดยตลอด แต่บางช่วงเขาเองก็เติบโตขึ้น สู้ชีวิตด้วยตัวเองก็มีค่ะ จนกระทั่งเขาเองก็เป็นคุณครูและก็กลับไปสอนบนดอยอย่างที่เห็น ก็รู้สึกปลื้มใจค่ะ ที่เราได้อนาคตของชาติดีๆ อีกคนหนึ่ง เพื่อไปกระจายความรู้ให้กับเด็กในท้องถิ่นต่อ และดีใจที่ได้เอาไอติมไปให้เด็กบนดอย”
“เวลาที่เห็นรอยยิ้มของเด็กเหล่านี้นะ มันจะทำให้เรารู้เลยว่า เวลาที่เขาเห็นไอติมสักก้อนหนึ่งนะ เพราะปีหนึ่งเขาได้กินแค่หนเดียว เราจะรู้เลยว่าไอ้ปัญหาที่เราเจออยู่มันเนี่ย มันเรื่องเล็กน้อยมากถ้าเทียบกับความเป็นอยู่ของเด็กยากจนเหล่านั้น เขาไม่รู้ว่าจะได้กินอะไร ไม่รู้ว่าอนาคตจะไปเรียนตรงไหน ไม่รู้อนาคตเขาอยากจะเป็นอะไร ขอแค่วันนี้เขาผ่านพ้นไปได้ก็พอแล้ว เราก็เลยจะรู้สึกว่าที่เราเจอมามันกระจอกมากๆ กับปัญหาของเด็กเหล่านี้ ดังนั้นขอเจอรอยยิ้มของเด็กเหล่านี้กลับมาเป็นพลังให้ตัวเองก่อนดีกว่า”
ยังมีเด็กที่อุปการะอีกเกือบๆ 30 คน จากกลุ่มที่โดนข่มขืน และแบบเผยชื่อเผยหน้าอีก 5 คน
“ถ้าจะเป็นแบบเปิดเผยชื่อเห็นหน้าคือ 5 คน แต่ถ้ารวมในกลุ่มที่โดนข่มขืน โดนล่วงละเมิดอะไรมาเกือบๆ 30 ก็แล้วแต่รูปแบบ ถ้าเขามีญาติดูแลอยู่แล้ว เราก็อาจจะดูแลในเรื่องของสุขภาพจิต ยังดูแลกันจนถึงทุกวันนี้ แต่บางคนเราก็จัดในส่วนของทุนการศึกษาให้ บางคนต้องจับย้ายโรงเรียน เพราะไม่สามารถเรียนที่เดิมได้คือดูแลกันหลากหลายรูปแบบมาก บางคนก็ต้องติดต่อทางจิตแพทย์ในการดูแลเขา คือเราก็ยังดูแลและมีจุดยืนของเราเหมือนเดิมในการดูแลผู้เสียหาย ดูแลเด็กๆ ด้านนี้ค่ะ”
“ล่าสุดกำลังจะมีอีกหนึ่งเคสที่บุ๋มกำลังหนักใจ คือเป็นพี่น้องสองคนที่โดนพ่อล่วงละเมิดทั้งคู่ แล้วยังไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ เรียนที่ไหนต่อ อยู่ที่ไหนต่อ กำลังต้องจัดการชีวิตเขาต่อ เวลาที่เราดูแลไม่ใช่เพียงแค่ไปแจ้งความอย่างที่เห็นในภาพนะคะ เราดูแลสุขภาพจิต ดูแลความเป็นอยู่ ดูแลหลายต่อหลายอย่างค่ะ”
มีหน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยเหลือบ้างในบางพื้นที่ แต่นอกเหนือจากนั้นก็ดูแลเอง เพราะอดไม่ได้ที่จะไม่ช่วย
“มีค่ะ จริงๆ มีหน่วยงานรัฐดูแลอยู่แล้วบ้าง แต่เฉพาะในบางส่วนและบางพื้นที่ค่ะ บางส่วนก็อาจจะไม่ถึงค่ะ ก็ต้องดูแลเองค่ะ ก็ถามว่าทำงานตรงนี้ก็เป็น 10 ปีไม่งั้นก็คงจะไม่ได้เป็น 30 คนขนาดนี้ แต่เพียงแต่ว่าเราก็อดไม่ได้อยู่ดี บุ๋มก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะไม่ดูเขา ไม่ช่วยเขา มันเห็นข่าวแต่ละวัน อย่างเมื่อเช้าเด็ก 12 ขวบโดนทั้งครอบครัว 7 คนข่มขืน เราแบบ อันนี้แบบ หืม...อย่าให้เจอนะ รู้ไหมอย่างเคสเด็ก 2 คนที่โดนพ่อล่วงละเมิดเนี่ย พ่อให้เหตุผลว่าหน้าเหมือนเมียเก่า ดีนะวันนั้นที่จับตัวมันได้บุ๋มไม่อยู่ตรงนั้น ไม่งั้นกระโดดข้ามโต๊ะแน่ๆ จริงคือไม่ชอบอะไรอย่างนี้เลย แล้วบุ๋มเชื่อว่าบุ๋มเป็นพลังช่วยผู้หญิงคนอื่นๆ ต่อไปดีกว่าค่ะ”