"บุ๋ม ปนัดดา" จะเลิกใส่ใจ "เอ๋ ปารีณา" เปิดศึกฟัดกันไม่ได้ประโยชน์ ลุยทำเพื่อสังคมดีกว่า โต้แต่งตัวกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ บอกทนความเซ็กซี่ไม่ไหว ก็ไปจัดการกับตัวเอง อย่าตรรกะป่วยต้องล่วงละเมิดหรือข่มขืนใคร เปิดใจเคยลั่นสัจจะวาจากับพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 เอาไว้ตั้งแต่รับตำแหน่งนางสาวไทย จะใช้ชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อประเทศชาติและสังคม
ยังคงเป็นประเด็นที่คนจับตามอง เพราะเรื่องราวดรามาของสองสาวคนดังของสังคมอย่าง "ดร.บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี" และส.ส. "เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์"เกี่ยวกับคดีข่มขืนที่เป็นเรื่องสำคัญของประเทศยังคงเป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่ ซึ่งสาวบุ๋มได้เปิดเผยกับทีมข่าวบันเทิงเมเนเจอร์ออนไลน์ว่า สาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ นี้ขึ้นมา อาจจะเพราะเข้าใจผิดว่าตนอยู่คนละฝั่งกับรัฐบาล เพราะไปวิพากษ์วิจารณ์การทำงานบางอย่างเข้า แต่บอกทุกคนก็มีสิทธิติติงการทำงานของรัฐบาลได้ ไม่ผิด และตนก็ไม่เคยมีปัญหาหรืออยู่ฝั่งไหนอย่างที่เข้าใจผิดด้วย
"สาเหตุเขาอาจจะเข้าใจผิดอะไรไปบางอย่าง อาจจะเข้าใจจากโพสต์เฟกนิวส์ อาจจะเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้อยู่ฝั่งเขา ว่าเราไปตีรัฐบาล เพราะเขาก็ดูเหมือนว่าจะปกป้องรัฐบาลสูง แล้วคิดว่าเราไปว่ารัฐบาล เขาก็อาจจะเข้าใจผิดในจุดนั้น แต่บุ๋มว่าทุกคนมีสิทธิที่จะติงการทำงานของรัฐบาลได้ แต่ล่าสุดบุ๋มก็เข้าไปกระทรวงสาธารณสุขก็พูดคุยชัดเจนนะว่าการทำงานเป็นยังไง ระบบเป็นอย่างนี้ ก็คุยกันได้ ถ้าผู้ใหญ่ๆ คุยกัน ไม่ใช่ออกมากระแนะกระแหนกัน มันไม่ได้อะไร เราก็ช่วยทุกอย่าง ซัปพอร์ตทุกอย่าง ทำงานกันมืออาชีพ แต่กลับเป็นแบบนี้ งง"
"เรื่องกฎหมายนะคะ ช่วยกรุณาเปิดมาตรากฎหมายสักนิดนึง แล้วทุกคนจะเข้าใจว่าใครกันแน่ที่มั่ว เพราะด้วยมาตรากฎหมายข้อนี้บุ๋มเป็นคนที่เปลี่ยนมันตอนปี 57 แล้วทำไมบุ๋มถึงจะไม่รู้ว่ากฎหมายคืออะไร บุ๋มคือคนล่ารายชื่อตอนปี 57 แล้วบุ๋มจะไม่รู้เหรอว่ากฎหมายคืออะไร คดีข่มขืนไม่มีประหารขีวิตค่ะ จำคุก 4-20 ปี แต่ก่อนจะปี 57 ปรับ 8,000-40,000 บาท พอเราสู้รวบรวมรายชื่อเขาถึงเริ่มโทษปรับ 80,000-400,000 บาท แต่โทษจำคุกยังอยู่ที่เดิมคือ 4-20 ปี ไม่ได้ประหารชีวิต มั่ว"
"แต่ถ้าเป็นข่มขืนแล้วฆ่า ชิงทรัพย์แล้วฆ่า ทะเลาะแล้วฆ่าอะไรก็ตาม โทษคือประหารชีวิตสูงสุด เพราะคุณฆ่าคน แต่อย่าบอกว่าข่มขืนแล้วประหาร ไม่มีค่ะ แต่ใจบุ๋มอยากให้เป็นอย่างนั้นนะ ข่มขืนแล้วประหารน่ะ บุ๋มถึงเข้าไปอยากให้กรรมาธิการทำให้ช่องว่างตรงนี้มันมีอะไรมากขึ้น เคสนายเกม วันชัยที่ข่มขืนน้องแก้ม โดนโทษประหาร แต่จนทุกวันนี้ยังเดินอยู่เลย ไม่ได้มีประหารจริง ดังนั้นที่คุณพูดมาว่าโทษข่มขืนสูงสุดคือประหารเอามาจากไหน แล้วเรื่องที่เขามาว่าอะไรเราต่างๆ นานาไม่เกี่ยวอะไรกับกฎหมายข่มขืนนี่เลย งง แต่ก็ไม่เป็นไร ดูเหมือนเขาจะเป็นเอฟซีบุ๋มดีมากเลยนะ มีรูปเราเยอะ อยากได้ลายเซ็นบอกนะคะ (ยิ้ม)"
"มาตรา 276 มาตรา 277 ไม่มีเลยสักอย่าง ไปเปิดดูได้ ฉันเปลี่ยนกฎหมายเรื่องนี้เองทำไมฉันจะไม่รู้ ใจอยากจะให้เป็นอย่างนั้น แต่เขาไม่ทำ เลยจะต้องปรับโทษอื่นๆ อย่างคำว่าคุกคามที่เขาออกมาด่าบุ๋มว่าบุ๋มมั่ว บุ๋มจะมั่วได้ยังไง บุ๋มถ่ายรูปตอนประชุมกับกรรมาธิการว่าประชุมเรื่องอะไร นี่คือด่าทั้งคณะเลยนะ จริงอยู่มันมีโทษของมันแล้ว แต่มันไม่ได้มีโทษของทางเพศชัดเจน และมันแค่ลหุโทษ มันไม่ได้เป็นคดีอาญา เราทำงานตรงนี้กันนานแล้วจะมามั่วได้ยังไง จริงๆ ถ้าเขาสงสัยโทร.ถามก็ได้ ก็ไม่เห็นจะต้องเขียนด่าหรือลามปามมาถึงสามีเราเนอะ (ยิ้ม) ก็โอเคเมื่อเขาทำ ทุกอย่างมันก็เป็นกรรมค่ะ ก็คอยดูกันไป"
บอกถึงจะแต่งตัวยังไงก็ไม่มีใครมีสิทธิจะมาล่วงละเมิดได้ ถ้ามีอารมณ์ก็ช่วยจัดการตัวเองซะ
"ที่เขาแซะเราเรื่องชุดว่ายน้ำ ชุดเซ็กซี่ก็ไม่เป็นไร เขาอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่มันก็ทำให้คนได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไรแค่นั้นพอ บุ๋มจะไม่พูดและไม่แตะในจุดนี้ เพียงแต่ว่าบุ๋มไม่เห็นประโยชน์ของการทะเลาะกัน ไม่เห็นว่าประชาชนจะได้อะไรนอกเหนือจากความสะใจ มันไม่มีประโยชน์ ทุกวันนี้บุ๋มก็ยังลงทำเคสของบุ๋มเหมือนเดิมไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง"
"การจะแต่งตัวยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับการทำงานค่ะ เพราะทุกคนรู้หมดว่าบุ๋มเคยทำงานนางแบบ เปิดกูเกิลก็เจอ แล้วบุ๋มถ่ายแบบก็มีชุดไทย ชุดแต่งงาน มีหมด บุ๋มเป็นนางแบบนะบุ๋มเชื่อว่ามันเป็นไลฟ์สไตล์ ดำน้ำบุ๋มก็ใส่ชุดว่ายน้ำจะให้ใส่ชุดนุ่งขาวห่มขาวมันก็ไม่ใช่ บุ๋มอยู่ในพื้นที่ของบุ๋ม แต่บุ๋มก็ยังมองไม่เห็นว่าการที่บุ๋มใส่ชุดว่ายน้ำแล้วมันจะทำให้ปัญหาข่มขืนลดลง เพราะบุ๋มก็ไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำในปีหลังๆ ที่ผ่านมา บุ๋มหยุดธุรกิจชุดว่ายน้ำ ก็ไม่เห็นคดีข่มขืนจะลดลง เพราะมันอยู่ที่จิตสำนึก และอีกอย่างนึงเหยื่อหรือผู้เสียหายบางทีใส่ชุดนักเรียน ใส่ชุดนักศึกษา ใส่ชุดทำงาน และอยู่ในยูนิฟอร์มราชการ ไม่ได้แต่งตัวเซ็กซี่เลย"
"ถ้าคุณอาจจะบอกว่าบุ๋มแต่งตัวกระตุ้น ทนความเซ็กซี่ไม่ไหว ทนเห็นใส่ชุดว่ายน้ำไม่ไหว ก็จัดการตัวเองสิคะ ทุกคนต้องรู้จักการจัดการตัวเอง ทุกคนมีอารมณ์ได้หมดค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าเราต้องไปละเมิดหรือข่มขืนคนอื่นมันต้องเปลี่ยนตรรกะตรงนี้ว่าจากวันนี้ไปเจอผู้เสียหาย ไม่ใช่ไปถามผู้เสียหายว่าแต่งตัวยังไง ต้องโทษไอ้คนทำ คนทำต่างหากที่ไม่ควรอยู่ในสังคมต่อไปได้ เราจะต้องให้ผู้ถูกกระทำอยู่ต่อไปได้ และต้องให้กำลังใจกัน เราต้องเป็นสังคมที่ให้กำลังใจกัน ไม่ใช่ซ้ำเติมกันหรือโทษกันในเรื่องที่มันไม่เป็นเรื่อง"
"ถ้าจะยกตัวอย่างกรณีของคุณเปิ้ล ไอริณ คือรูปร่างของผู้หญิงแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็มีความเซ็กซี่มาตั้งแต่กำเนิด แต่มันก็ไม่มีสิทธิที่ใครจะมาละเมิดใคร เราต้องปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ และผู้หญิงต้องให้กำลังใจผู้หญิงด้วยกันเองว่าทุกคนมีศักดิ์ศรี ทุกคนมีความรู้สึก ทุกคนมีสิทธิดูแลตัวเองเหมือนกัน"
บอกการทำงานตรงนี้กดดันมาตั้งแต่สมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว แต่ก็จะขอทำต่อไป
"ถามว่าเรื่องแบบนี้มันจะเป็นการกดดันเราไหม มันกดดันมานานแล้วค่ะตั้งแต่ปี 57 ที่บุ๋มเริ่มเข้ามาทำงานแบบนี้ เพียงแต่ว่ามันก็ต้องมีจุดยืนของตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มันก็ต้องมีความเจ็บบ้างระหว่างทาง อย่างปี 57 ที่ออกมาล่ารายชื่อนั่นก็เจ็บเหมือนกันนะ คนก็ด่าเยอะเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วกฎหมายมันก็เปลี่ยนได้เมื่อเราจัดการมันได้ แต่มันต้องลงมือทำ การด่ากันหน้าโซเชียลมันไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายอย่างแท้จริง แต่ในวันนั้นมันก็แสดงให้เห็นในสิ่งที่บุ๋มสู้มา มันอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราทำมันคืออะไร"
"เป้าหมายต่อไปบุ๋มก็ยังค่อยๆ ศึกษาและสู้ในจุดของบุ๋มไปเรื่อยๆ อย่างเช่นการนำเสนอข้อมูลทางเพศของสื่อ บางคนไม่ลงหน้าเด็กก็จริง แต่ลงบ้านเลขที่เด็กครบเลยอะไรอย่างเนี้ย เราก็ต้องมานั่งคุยกันในห้องประชุม บุ๋มก็ถามเขาไปตรงๆ ในคณะกรรมาธิการเช่นเดียวกันว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อที่จะให้อนาคตของผู้หญิงปลอดภัยมากขึ้น"
"ท้อไม่ได้ค่ะ ตราบใดที่ยังมีแรงทำเราท้อไม่ได้ เพราะเราไปอยู่ตรงนั้น เราช่วยเขา เราเห็นหมด ยังมีอีกหลายเรื่องที่บุ๋มต้องทำ อย่างเคสที่พ่อแท้ๆ ข่มขืนลูกตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าหน้าคล้ายเมียเก่า นี่คือเคสที่บุ๋มเจอในแต่ละวัน คุณไม่รู้หรอกว่าเด็กผวาขนาดไหน ดังนั้นเรื่องไร้สาระพวกนี้บุ๋มไม่ให้ราคา บุ๋มมาสนความรู้สึกของเด็กที่ต้องมีอนาคตต่อไป ต้องเดินต่อไปได้ เราต้องซัปพอร์ตเขาได้ นี่คือสิ่งสำคัญกว่า"
เผยสาเหตุที่ตนทำเพื่อสังคมอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเคยให้สัจจะวาจากับพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 เอาไว้
"ตำแหน่งของบุ๋มตอนนี้ก็คือที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ จากนั้นก็จะแยกเป็นย่อย ที่เห็นก็คือรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ แต่แล้วยังไงล่ะ จะเป็นตำแหน่งรองประธาน จะตำแหน่งอะไรก็ตามไม่สำคัญเท่ากับคุณทำอะไรเพื่อประชาชน ส่วนถามว่าจะลงส.ส.จริงๆ ใช่ไหม ไม่ค่ะ (ยิ้ม) มีพรรคการเมืองติดต่อมาเยอะจริงค่ะ เลขาเป็นคนจดให้ทั้งหมดตอนนี้ก็ 23 พรรค แต่คิดแล้วว่าไม่ลงหรอก เพราะถ้าเราเลือกอันใดอันนึงมันกลับกลายเป็นว่าเราจะเป็นศัตรูกับที่เหลือ แล้วเพื่ออะไรล่ะ บุ๋มอยู่ของบุ๋มอย่างนี้สบายใจกว่าไหม แล้วถ้าบุ๋มเป็นส.ส. บุ๋มก็ไม่สามารถลงพื้นที่คนอื่นได้ แต่อย่างนี้เราได้ช่วยทุกคน จะไปที่ไหนก็ไปได้"
"ที่ทำมาถึงทุกวันนี้เพราะมันเป็นปณิธานของบุ๋มตั้งแต่วันแรกที่อธิษฐานจิตไว้ ในวันที่กราบพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ตรงสวนลุมฯ ก่อนที่จะได้นางสาวไทย บุ๋มบอกว่าตำแหน่งนี้หนูจะใช้ชีวิตและจิตวิญญาณสำหรับประเทศชาติและสังคมตลอดไป แล้วมันก็ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ นะตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา แล้วเราก็พยายามทำในส่วนที่เราพอทำได้ และก็ทำมาโดยตลอดค่ะ แล้วก็จะทำไปเรื่อยๆ ค่ะ"