xs
xsm
sm
md
lg

"SF" เปิดให้บริการแล้ว ยันไม่ขึ้นราคา แม้ขายตั๋วได้น้อยลง ต้องแบกรายจ่ายหลักร้อยล้านต่อเดือน!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โรงภาพยนตร์ในเครือเอส เอฟ เปิดแล้ววันนี้ พร้อมชูมาตรการดูแลด้วยใจที่เน้นความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานพ้นโควิด-19 รับต้องแบกรายจ่ายหลักร้อยล้านต่อเดือน ฟุ้ง new normal ดำเนินธุรกิจแบบพึ่งพาอาศัย แม้จะขายตั๋วได้น้อยลงแต่ก็ไม่ขึ้นราคา เชื่อวิกฤตครั้งนี้จะทำให้คนเห็นคุณค่าของหนังไทยกันมากขึ้น เปิดใจบางเรื่องเลิกฉายในโรงเพราะเอาท์ไปแล้ว

วันนี้(1 มิ.ย.)โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ ได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง หลังการผ่อนปรนในระยะที่ 3 พร้อมปรับตัวปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่รับ “New Normal” ด้วยมาตรการดูแลด้วยใจที่เน้นความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน โดย “พิมสิริ ทองร่มโพธิ์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับและพาสื่อมวลชนเยี่ยมชมบรรยากาศการเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์เป็นวันแรก ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ หลังจากรัฐบาลได้ประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 พร้อมเปิดใจกับสื่อมวลชนถึง 75 วันที่โรงภาพยนตร์ได้ปิดตัวลงจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยเผยจุดยืนการทำธุรกิจหลังจากนี้ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะทำให้ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้

“จริงๆ ปีนี้เราจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้ก็ต้องเลื่อนไปก่อน ตอนนี้เราคิดแค่ว่าช่วยกันประคองให้เราผ่านไปให้ได้ เราเองเป็นคนที่เดินตรวจโรงหนังบ่อย ตอนที่ห้างกลับมาเปิดเราก็มาเดินตรวจ ถามพนักงานขายอาการตามร้านต่างๆว่าเป็นไงบ้างกลับมา เขาบอกว่ายอดกลับมา 20 เปอร์เซ็นต์ มันก็คงจะคล้ายๆ กันหมด”

“เราเองก็คงจะมียอดกลับมาไม่ต่างกัน แต่สิ่งนึงที่เขาพูดกับเราก็คืออยากให้โรงหนังกลับมาเปิด เพราะเขาอยากให้มีอะไรที่ทำให้คนรู้สึกว่าต้องออกจากบ้านมากขึ้น เราเลยคิดว่าการกลับมาของเรามันไม่ได้กลับมาเพื่อตัวเองขนาดนั้น แต่เรากลับมามันก็จะสามารถประคองคนอื่นไปด้วยได้เหมือนกัน เพราะเราเองดำเนินธุรกิจในรูปแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน หลายร้อยคนเลยอินบ็อกซ์มาหาเราว่าคิดถึงโรงหนังแล้ว”

เผยหยุดทำการไป 75 วัน พนักงานได้หยุดเพราะผู้บริหารคำนึงถึงความปลอดภัย วางแผนเตรียมความพร้อมทุกด้านเพื่อรองรับนโยบายรัฐบาล
เอสเอฟเราหยุดจริงๆ ค่ะ จะไม่เห็นเลยว่าพนักงานเอสเอฟออกมาขายของจนห้างเปิด เพราะโจทย์ของซีอีโอของเราก็คือลูกค้าและพนักงานของเอสเอฟต้องปลอดภัย เขาย้ำกับเรามากๆ เลยว่าห้ามมีการออกมาทำอะไรที่ทำให้พนักงานเสี่ยง แล้วพวกเราก็ทำหมดทุกอย่างไม่ว่าจะเตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาล ทำความสะอาดกันยกใหญ่ รีโนเวทกัน ไม่ว่าจะเป็นความสว่าง ดีไซน์ต่างๆ ให้ดูง่ายขึ้นสำหรับลูกค้า เราอยากให้ทุกคนมั่นใจ เพราะเรารู้ว่าทุกคนกังวล”

“และสิ่งนึงที่ธุรกิจทำเหมือนกันคือกลับมามองตัวเอง ในวันที่รายได้เป็นศูนย์ มีแต่รายจ่าย เราก็มาลงดีเทลกันมากขึ้น หาจุดที่จะเซฟต่างๆ เช่นค่าไฟ มุมนี้ไฟตรงนั้นอาจจะไม่จำเป็น คิดว่ามันก็ลดค่าใช้จ่ายลงได้ เราเองยังใช้พนักงานด้วยเราเป็นธุรกิจให้บริการเราก็อาจจะมีการจัดการต่างๆ ที่ลงตัวกับพนักงานมากขึ้น รอบฉายเราก็ได้ทำการออกแบบให้ดีที่สุดเพื่อที่เราจะได้ฉายให้ลูกค้าให้ได้มากที่สุด”

โอดยากมากกับการทำงานของโรงหนังที่เปิดให้บริการแบบมีข้อจำกัด เผยซีอีโอชัดเจนยังไงก็ต้องพาไปให้รอดให้นานที่สุด
การเปิดแบบมีข้อจำกัด มันทำยากกว่าและลำบากกว่าการที่ชัตดาวน์ทุกอย่าง เพราะการเปิดรายจ่ายมันตีกลับมาหาเราทั้งหมด แต่โอกาสที่เราจะทำรายได้ทันหายไป แล้วเราก็เลือกไม่ได้ว่าเราจะเปิดหรือปิด สุดท้ายเราก็ต้องให้ความร่วมมือกับทุกคน มันก็เหมือนเป็นโชคดีของเอสเอฟเพราะที่ผ่านมาเราจะลงทุนทำอะไรเราระวังตัวตลอด มันเลยทำให้เราผ่านช่วงนี้มาได้ และผู้บริหารของเราก็ชัดเจนว่ายังไงก็ต้องพากันไปให้รอดให้นานที่สุด”

หวังที่นั่งฉายได้ 25 เปอร์เซ็นต์ต่อรอบจะเต็มให้ได้มากที่สุด คาดเดือน ก.ค.ธุรกิจภาพยนตร์จะกลับมาคึกคัก เชื่อว่าวิกฤตครั้งนี้จะทำให้คนเห็นคุณค่าของหนังไทยกันมากขึ้น
“เราก็อยากจะให้มันเต็มที่สุดเพราะเรามีโอกาสขายแค่นั้น คิดว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ยากที่สุดของการกลับมา หนังที่จะฉายวันนี้คือหนังที่ยังค้างเดิมที่ยังฉายได้น้อยรอบจากช่วงที่ผ่านมา มีทั้งหมด 7 เรื่องด้วยกัน ด้วยหนังมันจะมีเวลาโปรโมตของมัน เราไม่สามารถจะบอกให้เขาเปิดวันนี้แล้วฉายได้เลย ที่คุยๆ หลายๆ เรื่องใหม่จะได้เห็นกันวันที่ 18 มิ.ย.เป็นอย่างต่ำ ตอนนี้อยู่ในช่วงของการคอนเฟิร์มหนัง เขากำลังเร่งอัดกันอยู่ ช่วงมิ.ย.เราอาจจะต้องปรับตัว คิดว่า ก.ค. จะกลับมาคึกคัก หนังหลายค่ายให้การตอบรับดี หนังใหญ่ๆ ของปีนี้ก็ตัดสินใจเข้าโรง มี fast and furious นี่เลื่อน แล้วคิดว่าเป็นช่วงที่เราต้องกลับมาโหมกับหนังไทย เราเองอยากเชียร์ให้หนังไทยทำรายได้ทั่วโลกด้วย เชื่อว่าวิกฤตครั้งนี้จะทำให้คนเห็นคุณค่าของหนังไทยกันมากขึ้น”

“และคิดว่าเราอาจจะได้เห็นภาพยนตร์อยู่ในโรงนานขึ้น ส่วนนึงของโรงหนังคือเรามีหน้าที่ซัปพอร์ตค่ายด้วยเพราะเขาเอาหนังมาให้เราฉาย เราก็ต้องช่วยเขาด้วยเหมือนกัน อย่างบางเรื่องจะอยู่แค่ 2 อาทิตย์ แต่ตอนนี้อาจจะเห็นอยู่กันเป็นเดือนๆ แต่ก็มีบางเรื่องที่เปลี่ยนใจไม่เข้าฉายในโรงหนังเลย อย่างเรื่องของ bnk48 ด้วยหนังเขาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งมันผ่านไปแล้ว เขาไม่เอาฉายหนังเขาจะเอาท์ทันที นั่นคือสิ่งที่เขาตัดสินใจไม่เอาฉายในโรงหนัง

ยืนยันไม่มีการขึ้นราคาตั๋วหนัง แม้จะแบกภาระขาดทุนไว้อยู่เยอะ
“เราดีใจมากที่ลูกค้าหลักๆ ไม่หายไปไหน ทุกคนน่ารักมากๆ อย่างโค้ก เขาบอกเลยว่าเอสเอฟกับโค้กเป็นของคู่กัน ตัวหลักๆ ทุกคนยังอยู่หมด ส่วนเรื่องราคาตั๋วก็แตกต่างกันตามสาขา ตามประเภทของโรง ยืนยันว่าไม่มีการขึ้นราคา ราคาตามปกติเลย เฉลี่ยที่ 160 บาท 80 บาทก็มี เป็นพันก็มี”

“สุดท้ายเรามองว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อเราผ่านพ้นปีนี้ไปได้ จำนวนที่เราจะทำรายได้ ในแบบที่ขายตั๋วได้ 25 เปอร์เซ็นต์มันน้อยมากเลยนะคะ ถ้าเทียบกับค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องจ่ายไป มันสูงมาก เพราะตั๋วใบนึงมันมีส่วนนึงเลยที่เราจะต้องแบ่งให้ค่ายหนังทันที แล้วเรารายจ่ายค่าเช่าสถานที่ ค่าพนักงาน น้ำไฟ บริการต่างๆ อีก เราแบกภาระเป็นหลักร้อยล้านต่อเดือน ไหนจะช่วงเวลาที่หายไป ก่อนหน้านั้นที่สถานการณ์ซึมๆ อีก ก็รอลุ้นช่วงหน้าหนังเดือน ก.ค. ว่าจะกลับมาได้เท่าไหร่ และเมื่อไหร่เราจะกลับมาเหมือนเดิมได้ เราเองก็ติดลบเยอะเหมือนกัน”

แย้มธุรกิจแบบ new normal วางแผนเป็นสัปดาห์ ยึดพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นหลัก
คิดว่ายุคนี้ไม่มีใครทำแพลนระยะยาว 3 เดือน 6 เดือนแล้ว เราทำแพลนเป็นสัปดาห์เลย คือดูพฤติกรรมของลูกค้าเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะอินกับอะไรบ้าง แล้วนานแค่ไหน เราก็ใช้วิธีหยอด แล้วดูเดต้า แล้วก็ปรับไป แต่เรามีลิสต์หนังที่เจรจากับค่ายไว้ในมือเตรียมไว้อยู่แล้ว เพียงแค่ว่าจะหยิบมาใช้ตอนไหนเท่านั้นเอง”










กำลังโหลดความคิดเห็น