"ไบร์ท" ค้นพบตัวเองชอบงานแสดง ทิ้งอาชีพวิสวะ มุ่งพัฒนาตัวเองเพื่อไปสู่จุดที่สูงสุด เผยอยากหาธุรกิจเล็กๆ ทำเพื่อมีรายได้ให้กับพ่อแม่ที่เกษียรแล้ว
เป็นพระเอกลูกหม้อคนใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆ ของช่อง one31 เลยทีเดียว สำหรับพระเอกหนุ่ม “ไบร์ท นรภัทร วิไลพันธุ์" ที่ฝากผลงานให้ได้เห็นกันแล้วหลาายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ดอกแก้วกาหลง, หน้ากากแก้ว, หีบหลอนซ่อนวิญญาณ และล่าสุดเรื่อง อสรพิษ ที่เรียกเรตติ้งได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ใครจะรู้ว่าก่อนจะมาเฉิดฉายในวงการบันเทิงตรงนี้ เจ้าตัวเกือบจะได้เป็นหนุ่มวิศวะสุดหล่อไปแล้ว แต่สุดท้ายก็เลือกเดินตามสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ และจิตสำนึกของตัวเองจนมาเลือกเดินทางสายนี้
"ชีวิตตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะในทางที่ดีนะครับ สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือความรับผิดชอบ มีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น ตื่นมาทุกวันต้องทำอะไร พอเวลาที่ว่างกลายเป็นว่าสิ่งที่อยู่ในหัวไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวไหนดี แต่ว่าจะพัฒนาตัวเองยังไง วันนี้เรียนรู้อะไรมาบ้าง จะนำไปใช้ยังไงมากกว่า ทุกวันนี้ก็ถือเป็นทางที่เลือกแล้วครับ ตอนแรกไปเรียนวิศวะก็คิดว่าจบไปเป็นวิศวกร ทำงานได้เงินเดือนเยอะๆ"
"แต่พอมีโอกาสทำงานในวงการบันเทิง รู้สึกเลยว่าไม่สามารถคุมทั้ง 2 ทางได้ คนอื่นคือเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย แต่ว่าไม่ใช่ผมครับ รู้เลยว่าตัวเองทำไม่ได้ เลยคิดว่าต้องเลือกสักทาง ตอนนั้นถ้ามั่นๆ ก็เรียนวิศวะให้จบทำงานมีเงินเดือนสบายๆ แต่ผมเลือกทำตามความเรียกร้องของหัวใจข้างในจากจิตสำนึก บอกว่าเลือกทางนี้ดูดึงดูดเหลือเกิน เลยตัดสินใจเลือกทางบันเทิงมากกว่า"
"การที่ตัดสินใจแบบนี้ทุกวันนี้สุขแล้ว รู้สึกว่ามีความสุขมากขึ้น สิ่งที่ชัดเจนมากขึ้นคือมีความสุขมากๆ ตอนเรียนวิศวะก็ไม่ได้ขี้เกียจนะ แต่รู้สึกว่าฝืนมาก ชอบไหมไม่รู้ ถามว่าทำได้ไหมก็ยังก้ำกึ่งอยู่ แต่พอเปลี่ยนสายอาชีพ กลายเป็นคนที่ทุ่มเทและอุทิศเวลาเพื่อทำผลงานศิลปะมากขึ้น กลายเป็นคนมีเป้าหมาย ต้องทุ่มเท ต้องไปเรียน ต้องออกกำลังกาย ไม่ใช่ออกเพื่อว่าตามเทรนด์โลกหุ่นเท่ห์ แต่ว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ แล้วก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีกับตัวเองด้วย ก็แฮปปี้กับเส้นทางนี้นะ"
บอกพร้อมจะเรียนรู้เรื่องการแสดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทุกวันนี้ถึงเป็นพระเอกก็ยังใช้ชีวิตเดินห้างปกติ
"เป็นความรู้สึกทุกครั้ง เหมือนจบเรื่องนึงจะรู้เลยว่ายังไม่ได้ ต้องเพิ่มอีกว่าความรู้สึกนี้มันจะไม่มีวันหายไปไหน เพราะว่าต้องเรียนรู้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เลยคิดว่าการที่พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นความท้าทายตัวเอง เหมือนขึ้นบันไดทีละขั้นครับ พอเริ่มขึ้นไป 2-3 ขั้น แล้วอยากจะขึ้นบันได อยากรู้ว่าตัวเองจะก้าวไปสูงสุดแค่ไหน คิดว่าจะดันตัวเองพัฒนาท้าทายไปจนกว่าจะไม่ไหว หรือจนกว่าว่าตรงนี้พอใจแล้ว"
"ชีวิตทุกวันนี้ก็ยังคงเดินห้างใช้ชีวิตปกติได้ครับ ไม่หลบคน ไม่หลบแฟนคลับ ให้พวกเขาได้เจอหน้าได้เห็น เพราะพวกเขาคือคนที่ชอบและสนับสนุนผม เขามีความสุขกับการที่ได้เห็นตัวจริง ได้ถ่ายรูปด้วยกัน ซึ่งผมก็จะได้เจอพวกเขา ได้แลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบกัน รู้สึกว่าวินวินด้วยซ้ำ เพราะเมื่อให้ความสุขเขา เขาก็ให้ความสุขผมเหมือนกัน มีคนชอบก็แฮปปี้ครับ"
"ทางช่องวันให้โอกาสผมมากนะครับ มีผู้ใหญ่บอกมันต้องคนละครึ่งทาง ถ้าให้ใจแล้วก็จะได้ใจที่เต็มที่กลับมา แต่หมายความว่าถ้าไม่เต็มที่เมื่อไหร่จะปลิดปลิวไปตอนไหนก็ไม่รู้ เพราะว่าคนรุ่นเดียวกันก็ต้องพัฒนาตัวเองเสมอ แล้วยังมีนักแสดงใหม่ๆ ตลอดเวลา ถ้าไม่พัฒนาตัวเองต่อไปหรือว่าพัฒนาตัวเองไม่ทันก็จะสู้เขาไม่ได้ ก็จะต้องหายไปตามปกติอยู่แล้ว ถ้ามองในมุมผู้บริหาร มีคนเก่งกว่าผม งานก็ต้องเลือกคนเก่งกว่า จะมองว่าคนนี้อยู่นานแล้วเอาไว้ก่อนมันไม่ใช่"
บอกอยากหาธุรกิจเล็กๆ เพื่อเป็นรายได้เสริมให้กับพ่อแม่ที่เกษียรแล้ว
"คิดที่อยากจะทำธุรกิจอะไรเล็กๆ แต่กำลังศึกษาจากหลายๆ เพราะทางบ้านก็ไม่ได้มีธุรกิจอะไร แล้วก็ไม่ได้มีเงินขนาดที่ว่าไม่ทำงานแล้วจะอยู่ได้ พ่อแม่ก็เกษียรแล้ว เพราะพ่อทำงานคนเดียว ก็ต้องทำอะไรสักอย่าง คืออยากสตาร์ทให้พ่อแม่ทำ การแสดงคือสิ่งที่ชอบสิ่งที่รัก แต่อันนั้นคือความมั่นคงของที่บ้านครับ ก็อยากให้พ่อแม่ทำ อยากให้พ่อแม่ได้แก้เหงาด้วย"
"ซึ่งจากวันแรกถึงวันนี้ก็ 2 ปีได้แล้วครับ ถ้ามอง ณ ตอนนี้ยังไม่ไกล ยังไม่ถึงไหนเลย มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าถามว่าอยากย้อนเวลากลับไปวันที่เข้ามาออดิชั่นที่ช่อง ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมาถึงขนาดนี้ พ แต่ว่าต้องไปอีกไกลให้ได้มากที่สุดครับ"
"ก็ฝากติดตามผลงานของผมเรื่อยๆ ทางช่องวันด้วยนะครับ ตอนนี้อยู่ช่วงโควิด ก็ยังต้องรอละครเรื่องใหม่ที่ผู้ใหญ่พิจารณาอยู่ แต่ก็สามารถฝากดูละครในอนาคตของผมได้เลย และอยากเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ ที่คอยเป็นด่านหน้ารักษาผู้ป่วยให้พวกเรา ขอให้ทุกๆ คนที่ทำหน้าที่อยู่ตอนนี้ ทำด้วยใจเต็มร้อยนะครับ พวกเราจะคอยสนับสนุน และคอยเป็นกำลังใจให้ครับ"