หลังจากออนแอร์บน Netflix ได้ไม่กี่วัน The Platform ก็ติดหนึ่งในท็อปเท็นของหนังยอดนิยมบนสตรีมมิ่งนี้ในเมืองไทยไปทันที นี่คือหนังที่บอกได้ว่า มีเนื้อหาที่แหลมคมและชวนให้ขบคิดตีความมาก ๆ แต่ถ้าไม่อยากคิดอะไร และเสพรับเอาความบันเทิงเพียงอย่างเดียว งานชิ้นนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด
The Platform เป็นหนังสัญชาติสเปนที่เล่าถึงสถานที่จองจำแห่งหนึ่งซึ่งแบ่งห้องขังออกเป็นชั้น ๆ โดยแต่ละชั้นจะมีผู้ต้องขังอยู่ด้วยกันสองคน แต่ที่พิเศษก็คือ ตรงกลางห้องขังของแต่ละห้องแต่ละชั้น จะมีช่องว่างสี่เหลี่ยมเพื่อเป็นช่องลำเลียงอาหาร (คล้าย ๆ ลิฟต์) ซึ่งในแต่ละวันจะมีของกินชุดหนึ่ง ถูกส่งลงมาจากข้างบน โดยวางบนแผ่นกระดานสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า The Platform (ที่เป็นชื่อเรื่อง) ซึ่งนักโทษแต่ละชั้นจะมีเวลากินอาหารบน The Platform ไม่นานเท่าไรนัก เพราะจากนั้น The Platform นั้นก็จะเลื่อนลงไปให้นักโทษชั้นต่อไปได้กินต่อ เลื่อนลงไปเรื่อย ๆ จนถึงชั้นล่างสุด
ความโหดร้ายของ The Platform ก็คือตรงนี้ เพราะก็อย่างที่เราจะได้เห็นว่า อาหารนั้นมีจำกัด ห้องผู้คุมขังนั้นก็ไม่รู้ว่ามีกี่ชั้นจริง ๆ บ้างว่า 100 ชั้น บ้างว่ามากกว่านั้น แล้วอาหารจะเพียงพอหรือ? และที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ นักโทษชั้นบน ๆ พอกินเสร็จ ยังย่ำยีอาหารที่วางมาอย่างสวยหรูบน The Platform ให้เละเทะตุ้มเป๊ะราวกับของเหลือทิ้ง บางคนถึงกับถุยน้ำลายใส่และขากเสลดใส่ หรือแม้แต่ปัสสาวะใส่ก็มี แล้วคิดดูว่า นักโทษชั้นล่าง ๆ จะเป็นอย่างไร แต่...มีใครจะเลือกได้ในสภาวการณ์เช่นนั้น นักโทษชั้นล่าง ๆ ก็ต้องกินอย่างนั้นไป นั่นคือโชคดีหน่อย แต่ที่โชคร้ายสุด ๆ ก็คือ เหลือแต่ภาชนะถ้วยชามเปล่า ๆ ที่ไม่มีอะไรเหลือให้กินได้เลย
ลำพังแค่เรื่องย่อ เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกหดหู่อยู่ในใจ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครับ ซึ่งเท่าที่เล่ามา ก็เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ จุดเดียวเท่านั้น เพราะอันที่จริง ยังมีอะไรที่ “โหดร้ายต่อจิตใจ” กว่านี้มากนัก
หนังเรื่องนี้มีตัวละครอยู่ไม่กี่ตัว แต่บอกได้เลยว่า แต่ละตัวนำพาเรื่องราวมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้พร้อมกับหนังสือนวนิยาย “ดอน กิโฆเต้ แห่งลามานช่า”, คุณลุงที่อยู่มาก่อนและมีมีดซามูไรเป็นอุปกรณ์คู่กาย, หญิงสาวผมเผ้ารุงรังที่ชอบนั่งไปบน The Platform ชั้นแล้วชั้นเล่าด้วยเป้าหมายเพื่อตามหาลูกสาวของตน
ต้องยอมรับว่า สิ่งที่หนังเรื่องนี้เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของคนดูได้อยู่หมัดก็คือ การสร้างปริศนาท้าทายให้ติดตามว่าความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงแม้หนังจะดูโหดร้ายต่อความรู้สึกค่อนข้างรุนแรง จนแทบอยากจะปิดหนีในบางช่วง แต่เพราะการเดินเรื่องและผูกสถานการณ์ให้ชวนลุ้นชวนรู้ ก็เป็นแรงกระตุ้นให้เราอยู่กับหนังไปได้จนจบ
อย่างที่บอกไว้เมื่อตอนต้นครับว่า นี่คือหนังที่มาพร้อมกับเนื้อหาซึ่งชวนให้ขบคิดตีความ และถือเป็นความตั้งใจของผู้กำกับและคนเขียนบทที่จงใจจะสื่อสารแบบนั้น โดยให้สถานที่คุมขังและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้ เป็น “ภาพแทน” หรือ “สัญลักษณ์” ของสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องชนชั้นทางสังคมและความเหลื่อมล้ำที่หนังขย้ำหมด ไม่ว่าชั้นสูง ระดับกลาง หรือล่าง ต่างก็โดนหนังวิพากษ์หมด ไม่มีข้อยกเว้น
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากความดาร์กความหม่นจนดูน่าสิ้นหวัง หนังก็ได้วางประกายแห่งความหวังไว้ ผ่านหนังสือนวนิยายเรื่อง “ดอน กิโฆเต้ แห่งลามานช่า” ที่ถ้าใครได้อ่าน ก็คงจะทราบว่า นวนิยายสัญชาติสเปนเรื่องนี้ คือสุดยอดแห่งแนวคิดเชิงสังคมอุดมคติอย่างสมบูรณ์แบบ ตัวละครอย่าง “ดอน กิโฆเต้” ที่คนรอบข้างต่างก็มองว่าเป็นบ้า เพ้อฝัน แต่สำหรับคนอ่าน ดอน กิโฆเต้ คือ “นักฝัน” ผู้มีความปรารถนาอย่างแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่งดงามขึ้น แต่ในเรื่องนี้จะมี “ดอน กิโฆเต้” หรือไม่นั้น คงต้องไปติดตามดูกัน
สำหรับคนชอบตีความ รับรองว่ามีอะไรมากมายให้ตีความอย่างสนุกสนานเลยล่ะครับ แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบตีความ และนิยมหนังตื่นเต้นระทึกขวัญเพื่อความบันเทิงล้วน ๆ The Platform ก็น่าจะเป็นผลงานอีกเรื่องหนึ่งซึ่งตอบโจทย์คุณได้ดี