ในวันที่ “หลิวอี้เฟย” ได้รับบทนำในหนังฟอร์มใหญ่ของ Disney และ Marvel ก็กำลังจะมีซูเปอร์ฮีโร่จีนเป็นคนแรก การรับบทนำในหนังฟอร์มยักษ์ดูจะไม่ใช่เรื่อง “เป็นไปไม่ได้” ของนักแสดงเชื้อสายจีนอีกแล้ว
แต่ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ดาราเชื้อสายจีนล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะมาประสบความสำเร็จเปิดตลาดฮอลลีวูดกันได้อย่างเป็นทางการในยุค 90s จนกลายเป็นการกรุยทางสู่วงการบันเทิงระดับโลกของนักแสดงในรุ่นปัจจุบัน
“เฉินหลง” สร้างประวัติศาสตร์บนบ็อกซ์ออฟฟิศ
เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์จีนต้องจารึกเอาไว้ เมื่อ “ใหญ่ฟัดโลก” หรือ Rumble in the Bronx หนังเรื่องใหม่ของ เฉินหลง ได้เข้าฉายที่สหรัฐฯ และทำเงินมาเป็นอันดับ 1 ในตารางบ็อกซ์อฟฟิศ โดยกวาดเงินในการฉาย 3 วันแรกไปถึง 9.8 ล้านเหรียญฯ ตลอดโปรแกรมหนังเรื่องนี้ทำรายได้ทั่วโลกสูงถึง 76 ล้านเหรียญฯ และกลายเป็นการเปิดตัวเข้าสู่ฮอลลีวูดของ เฉินหลง อย่างเป็นทางการ
ตัวของ เฉินหลง เองพยายามโกอินเตอร์บุกฮอลลีวูดมานานหลายปี เคยมาปักหลักเรียนภาษาอังกฤษที่อเมริกาตั้งแต่ยุค 80s ตอนนั้นผู้อำนวยการสร้างที่ โกลเด้น ฮาร์เวสต์ ถึงกับให้ เฉินหลง เดินทางมาอเมริกาคนเดียว จะได้กดดันให้เรียนภาษาได้เร็ว ๆ แต่สุดท้ายหนังกลับออกมาไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวการโกอินเตอร์รอบแรกก็เลยเหลวไปปริยาย
อีกหลายปีต่อมา เฉินหลง ก็กลับไปลองเล่นหนังฮอลลีวูดดีอีกครั้ง ใน The Protector ที่มีชื่อไทยสะดุดหูว่า “กูกู๋ปืนเค็ม” แต่หนังก็ออกมาไม่ได้เรื่อง จน เฉินหลง เคือง และรู้สึกว่าทำไมฮอลลีวูดถึงทำหนังบู๊กันไม่เป็นแบบนี้
สุดท้าย เฉินหลง ก็เลยกลับบ้าน และทำหนังที่คล้าย ๆ กูกู๋ปืนเค็ม เหมือนจะเป็นการบอกฮอลลีวูดว่า หนังบู๊มันต้องกันแบบนี้ จึงออกมาเป็นหนังที่ชื่อว่า วิ่งสู้ฟัด นั่นเอง
สุดท้าย เฉินหลง ใช้เวลานานร่วม 20 ปี ถึงจะกลับไปแจ้งเกิดในฮอลลีวูดได้อย่างจริง ๆ จัง ๆ ด้วยผลงานที่ตัวเองสร้างเองอย่าง ใหญ่ฟัดโลก จนได้กลับไปเล่นหนังฮอลลีวูดอีกครั้ง คราวนี้ผลออกมาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม “คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด” ทำเงินทั่วโลกเกิน 200 ล้านเหรียญฯ กลายเป็นแฟรนไชน์ที่ประสบความสำเร็จแบบสุด ๆ แม้ตัวของ เฉินหลง จะบอกว่า เฉย ๆ กับหนังเรื่องนี้ก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่า Rush Hour คืองานที่ทำให้ เฉินหลง กลายเป็นดาราฮอลลีวูดเต็มตัว
“โจวเหวินฟะ” ในหนังฮอลลีวูด
ในยุค 90 มีดาราฮ่องกงได้ตาม เฉินหลง ไปฮอลลีวูดหลายคน รวมถึง โจวเหวินฟะ ที่ดังมาจากหนัง จอห์น วู ก็ได้มีโอกาสเล่นหนังฮอลลีวูดหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Replacement Killers หนังแอ็กชั่นที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก โหดตัดโหด งานที่ โจวเหวินฟะ เคยแสดงเอาไว้สมัยที่ฮ่องกง
โจวเหวินฟะ เอง เป็นดาราที่ไม่ได้เก่งกังฟู แต่มีความสามารถรอบด้าน เล่นได้ทั้งตลก และจริงจัง แต่กลายเป็นว่าเพราะตอนนั้นคนอเมริกันคงจะคุ้นชินว่าดาราจีนต้องเล่นหนังกังฟู โจวเหวินฟะ ก็เคยต้องรับบทเป็นนักบวชจอมยุทธใน Bulletproof Monk ทั้งที่ตอนอยู่ฮ่องกง เจ้าตัวแทบไม่เคยเล่นหนังกังฟูแบบนี้เลย
น่าเสียดายที่หนังฮอลลีวูดไม่สามารถดึงศักยภาพของ โจวเหวินฟะ ออกมาได้เลย อาจจะเป็นเพราะกำแพงภาษา โจวเหวินฟะ ก็เลยได้แต่ปั้นหน้าเครียด ไม่ได้แสดงทั้ง “ภาคตลก” และ “ภาคดราม่า” ของตัวเองออกมาเลย ผลงานท้าย ๆ ในฮอลลีวูดของ โจวเหวินฟะ แทบไม่มีอะไรให้จดจำ ไม่ว่าจะเป็นบท “ผู้เฒ่าต่ำ” ใน Dragon Ball Evolution ที่ขึ้นทำเนียบหนังห่วยตลอดกาลไปแล้ว หรือโผล่มาสองสามฉากตายใน Pirates of the Caribbean: At World's End
เริ่มจากบทร้าย
เจ็ท ลี ก็เป็นอีกคนทีได้ข้าฝั่งไปรับงานฮอลลีวูดในยุค 90s และต้องเริ่มต้นด้วยการพลิกบทบาทไปเล่นบทร้ายใน ริก คนมหากาฬ Lethal Weapon 4 แม้จะผิดภาพลักษณ์เดิม ๆ ของ เจ็ท ลี ไปบ้าง แต่บทมาเฟียจีนจอมโหดใน ริก คนมหากาฬ ก็ทำให้ เจ็ท ลี เป็นที่รู้จัก และเปิดทางให้ได้รับบทน่าสนใจกว่านั้นในหนังเรื่องต่อ ๆ ไป
ใน Kiss of The Dragon เจ็ท ลี ต้องเล่นเป็นตำรวจที่ไปพบกับเรื่องยุ่งยากระหว่างไปทำงานที่กรุงปารีส หนังมีเนื้อหาง่าย ๆ แต่ทำคิวบู๊ออกมาได้ดุเดือดมากตามสไตล์ ผู้สร้างอย่าง ลุค แบซง งานก็เลยออกมาน่าพอใจมาก ๆ
เจ็ท ลี ร่วมงานกับ ลุค แบซง ต่อใน คนหมาเดือด Danny the Dog กับการแสดงคนเป็นที่ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนหมา เพื่อเป็นเครื่องจักรล่าสังหาร ซึ่งคุณภาพของหนังก็ออกมาน่าพอใจดีทีเดียว
ในยุค 90s การปรากฏตัวของดาราจีนในหนังฮอลลีวูดเป็นเรื่องน่าตื่นมาก ๆ แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสมัยนี้ที่จีนกลายเป็นตลาดหนังใหญ่ของโลกไปแล้ว การเอาดาราจีนไปเล่นหนังฮอลลีวูดก็เลยเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ไปเลย แต่ก่อนหน้าที่ดาราอย่าง หลิวอี้เฟย จะได้รับทเป็น มู่หลาน ในหนังฟอร์มใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปีแบบนี้
รุ่นพี่รุ่นลงอย่าง เฉินหลง ต้องผ่านความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน ยอดนักบู๊อย่าง ดอนนี เยน ก็เคยตายในฐานะตัวประกอบมาครั้งแล้วครั้งเล่า และใช้เวลานับสิบปีกว่าที่ฮอลลีวูดจะให้การยอมรับอย่างในปัจจุบัน
ต้องยอมรับว่าในยุค 90s คนจีนยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับของฮอลลีวูดนัก นักแสดงดังอย่าง "หลิวเต๋อหัว" เคยบอกว่าเขาขออยู่เป็นหัวราชสีห์ที่ฮ่องกงดีกว่า ส่วน "เหลียงเฉาเหว่ย" ที่กำลังจะได้เล่นหนัง Marvel เป็นครั้งแรก เคยบอกเอาไว้ในตอนนั้นแบบตรง ๆ ตามสไตล์ว่าที่ตัวเองไม่ไปฮอลลีวูดเพราะ "ไม่มีคนจ้าง"