"ซันนี่" เผยถึงกรณี นศ. ประท้วง ต้องโทษคนที่ปลุกปั่นมากที่สุด ลั่นการแสดงความคิดเห็นของตนเป็นประชาธิปไตย ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย เผยสิ่งที่อันตรายกว่าไวรัส คือเหยียดกันด้วยทัศนคติด้านลบ ได้รับผลกระทบโควิด-19 เลื่อนถ่ายหนังที่เมืองจีนไม่มีกำหนด ชี้ไม่มีใครอยากแพร่โรค อย่าบูลลี่กัน
เป็นอีกคนที่โดนผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เหมือนกัน สำหรับพระเอกหนุ่ม "ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์" ที่ล่าสุดมาร่วมงานเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ยางโตโยไทร์คนแรกของประเทศไทย ณ ห้องแกรนด์รีเวอร์ไซด์ บอลรูม โรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ โดยเจ้าตัวเผยว่า ตนรับข่าวสารเรื่องโรคนี้จนคิดว่าตัวเองจะเป็นไปด้วยซะแล้ว แต่ก็โดนกระทบเลื่อนถ่ายภาพยนตร์ที่ต้องไปที่จีนอย่างไม่มีกำหนด
"ผมก็เข้าใจในทุกๆ ด้านนะที่เวลามีปัญหาดรามาอะไรขึ้นมา ตอนนี้ทุกสื่อเสนอแต่เรื่องนี้ จนบางทีเราอ่านก็รู้สึกว่าเราเกือบจะเป็นโรคนี้ไปแล้ว ก็เข้าใจทุกด้าน เพราะเราอ่านไปเราก็รู้สึกว่าเป็นอะไรแบบนั้น แต่ไม่อยากให้ไม่เข้าใจกัน ไม่พอใจกัน ทุกคนไม่มีใครอยากให้เกิดเจตนาไม่ดีหรอกครับ ทุกคนก็อยากปกป้องตัวเอง ทุกคนก็มีไลฟ์สไตล์ มีชีวิตของตัวเองเหมือนกัน แต่ความเสี่ยงและอันตรายมันไม่เหมือนกัน คงไม่มีใครคิดไม่ดีหรอก"
"ถามว่าผมกังวลไหม คือทุกอย่างไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต่อให้เราอยู่ที่ไหนก็ตามถ้ามันจะซวยก็ซวยได้หมดแหละครับ ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือจะไปเจอใคร คือแค่ไข้หวัดธรรมดาเราก็ไม่ได้อยากเป็นกันอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นหวัดเมื่อไหร่ เหมือนถูกล็อตเตอรี่ในแง่ไม่ดีมั้ง งานผมก็มีถูกแคนเซิลไปบ้างครับ อย่างหนังก็ถ่ายไม่ได้ เพราะต้องไปถ่ายที่ประเทศจีน จริงๆ ก็ต้องไปถ่ายแล้วครับ แต่ตอนนี้ก็เลื่อนไปไม่มีกำหนด มันมีผลกับตารางงานที่แพลนไว้แล้วหรอกครับ คืออะไรมันจะเกิดในชีวิตเราก็ต้องอยู่กับปัจจุบันไปเรื่อยๆ ก็เข้าใจได้ครับ"
บอกไม่อยากให้เกิดการบูลลี่เรื่องการไปต่างประเทศ เพราะไลฟ์สไตล์แต่ละคนไม่เหมือนกัน
"กับเพื่อนๆ น้องๆ ที่เพิ่งกลับจากต่างประเทศ ผมไม่ได้เจอหรือพูดคุยเลย แต่อย่างที่บอกว่าเข้าใจในทุกฝ่าย คือคนที่เสพข่าวก็จะรู้สึกว่าเริ่มกลัวเหมือนตัวหนังสือมันจะทะลุออกมาได้จริงๆ และคนเราไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกัน ผมไม่อยากใช้คำว่ารับผิดชอบต่อสังคมมาบูลลี่กัน สำหรับผมรู้สึกว่าคุณเอาคำนี้ขึ้นมาพูด เพราะคุณอยากให้เขาไม่สามารถมาเถียงอะไรคุณ เพราะคุณจะชี้ไปเลยว่าเขาผิด แต่ผมว่าทุกคนไลฟ์สไตล์ชีวิตมันต่างกันครับ คือมันเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดก็ได้"
"แต่คุณบูลลี่เขาด้วยคำนี้ คือถ้าหากว่าคนที่ไปเขาดูแลตัวเองดี แต่เขาอยู่ในประเทศกลุ่มเสี่ยง แล้วเขาต้องเดินทางมาประเทศเรา กลายเป็นว่าเขาต้องมารับผิดชอบต่อโลก ต่อสังคมเหรอ มันไม่ใช่ เราอย่าเป็นคนประเภทที่เหมือนในหนังน่ะครับ ที่เขาว่าได้เอเชีย ไอ้โคโรนาไปไกลๆ เราอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอ ผมว่าจริงๆ สิ่งที่อันตรายกว่าไวรัสคือการที่เราเหยียดกันด้วยทัศนคติด้านลบ หรือแม้แต่ความโง่เขลาเล็กๆ น้อยๆ มันอันตรายกว่าไวรัสอีกนะสำหรับผม"
เชื่อไม่มีใครเจตนาไม่ดีที่จะมาแพร่โรคแบบนี้แน่
"จริงๆ เรื่องการไปต่างประเทศตอนนี้มันเป็นไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน มันก็มีเปอร์เซ็นต์หลายๆ อย่าง คนก็เลยคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ก็คาดเดาได้ว่าอาจจะไม่ หรืออาจจะใช่ แต่การที่มาโจมตีกันก่อนที่เรื่องราวมันจะมา จะมีประโยชน์อะไร เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ไปดูหรืออ่านข่าวอะไรมาก กลัวเปิดเน็ตแล้วไวรัสเข้าตัว (ยิ้ม) แต่พอดูแล้วก็เข้าใจทุกคนนะ บางคนที่ด่าก็ไม่ใช่ว่าด่าโดยที่ไม่มีเหตุผล คือด่าโดยที่มีเหตุผลก็เข้าใจได้ เพราะเราคิดไม่เหมือนกัน ทัศนคติวิธีคิด การรับความเสี่ยงของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน มันไม่มีใครเจตนาไม่ดีหรอก ไม่มีใครหรอกที่ว่าเอาโว้ย จะเอาเชื้อไปแพร่ให้หมดโว้ย ใครจะไปทำแบบนั้น"
"เรื่องหนังเขาจะเปลี่ยนมาถ่ายที่ไทยแทนไหม ผมว่าตอนนี้ไม่ว่าที่ไหนก็มีเชื้อ ที่ไทยเองก็มีเชื้อโรคนี้อยู่ เราจะมาบอกว่าเราปลอดภัยกว่าประเทศโน้นประเทศนี้ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เราก็ต้องช่วยกันดูแลตัวเอง เป็นแล้วก็ต้องแก้ให้หาย ก็ช่วยเหลือกันแค่นั้นเองครับ"
บอกการที่ตนแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองถือเป็นเรื่องประชาธิปไตย แต่คนที่คอยปลุกปั่นให้คนทะเลาะกันน่าโมโหมากที่สุด
"เรื่องที่ผมถูกขุดคุ้ยหลังจากที่แสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองน่ะเหรอ มันก็เรื่องของเขาครับ คนเราเข้าใจความคิดและมีวิธีคิดไม่เหมือนกัน เขาจะพูดอะไร บอกอะไรก็ได้ หรือเขาจะเข้าใจเราผิดหรือถูกแค่ไหนก็ได้ แต่ถ้าเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราตั้งใจจะเป็นคนดีแล้ว เราจะแคร์ทำไมว่าคนอื่นเขาจะมองเราดีหรือไม่ดี ยิ่งเรื่องแบบนี้เรื่องการที่คนจะทะเลาะกันหรือมีปัญหากันมันไม่ใช่สิ่งผิด ทุกคนเลือกคิดว่าตัวเองถูกและทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องอยู่ เพราะฉะนั้นก็ไม่ว่ากัน เพราะทุกคนต้องมีเหตุผลของตัวเอง"
"ถามว่าต้องระวังในการแสดงความคิดเห็นไหม ไม่รู้จะระวังตัวหรือเปล่า ผมก็เพิ่งอ่านความคิดเห็นที่คีอานู รีฟส์โพสต์ที่คนเขาแชร์กันเยอะๆ ว่า คนต้องการจะรู้ในสิ่งที่เขาอยากจะรู้เท่านั้น ผมก็คิดแบบนั้น เราก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร บางทีคนอาจจะเดากันไปเองก็ได้ คนข้างบ้านอาจจะชกกันก็ได้ ผมก็ไม่รู้เพราะผมไม่เห็นไง แล้วแต่มุมมองจริงๆ คือถ้าเราตั้งใจจะเป็นคนดี เราไม่ได้อยากจะทำอะไรไม่ดี เราจะแคร์คนอื่นทำไมว่าใครจะมองว่าเราไม่ดีหรือเปล่า ผมว่าเราก็เป็นประชาชนคนนึงที่รู้สึกอะไรเราก็โพสต์ได้ ไม่รู้ว่าโพสต์ได้หรือไม่ได้นะ แต่มันก็คงไม่เข้าหู ไม่ถูกใจของคนๆ นั้นเท่านั้นเอง"
"แต่ผมว่าถ้าจะมีปัญหาแล้วเกิดให้คนทะเลาะกัน อันนั้นผมว่าต้องโทษเขามากเลย เพราะคนที่ทำให้คนทะเลาะกันมันน่าโมโหกว่าอีก สำหรับผมคิดว่าการแสดงความคิดเห็นมันคือประชาธิปไตย ถ้าผมทำแบบนี้ไม่ได้ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ถามว่าตอนนี้ที่มีกลุ่มนักศึกษาออกมาประท้วง กลัวจะเกิดความรุนแรงไหม ก็ถึงบอกว่าถ้าจะต้องโทษใครก็ต้องโทษคนที่ปลุกปั่นมากที่สุด เพราะทุกคนก็ไม่ได้คิดว่าใครผิด คือยุให้คนนี้ทำแบบนี้ ไปทะเลาะกับคนนี้ โดยที่ทั้งคู่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองผิด แล้วมันจะจบที่ตรงไหนใช่ไหมครับ"