เปิดใจ "บี๋ อริยะ พนมยงค์" 9 เดือนกุมบังเหียนช่อง 3 ยังไม่แฮปปี้ผลงานตัวเอง แต่ปี 2020 จะรุกให้เห็นสิ่งใหม่ๆ เปิดใจยากที่สุดคือการบริหารคน พร้อมเสี่ยงทุกอย่าง ถึงแป้กก็ดีกว่านิ่ง เผยจะเปิดมิติใหม่แห่งความสนุก จับพระนางตัวท็อปลงละครก่อนข่าว จับกลุ่มสายวายขยายฐานกลุ่มวัยรุ่น ฟินสไตล์ช่อง 3 ไม่มีปล้ำจูบ ก่อนเฉลย "ซ่อนเงารัก" ตั้งใจหักมุม เป็นละครตัวอย่าง
หลังจากที่ "บี๋ อริยะ พนมยงค์" ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บีอีซี เวิล์ด จำกัด (มหาชน) มา 9 เดือน ต่อจากตระกูลมาลีนนท์ ในช่วงที่วงการสื่อกำลังจะเปลี่ยนผ่านเป็นดิจิทัลอย่างเต็มตัว ถือช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของช่อง 3 เป็นอย่างยิ่ง บี๋ต้องเจอมรสุมและอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะในปี 2563 ที่เขาว่าเป็นปีที่เผาจริง หลายคนอยากทราบว่าทิศทางของช่อง 3 ที่นำทัพโดยบี๋ จะปรับเปลี่ยนการทำงานไปในรูปแบบและทิศทางใดบ้างให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยบี๋ได้เปิดใจต่อสื่อมวลชนว่า
"ผมอยู่มา 9 เดือนแล้ว สิ่งนึงที่ทุกคนคาดหวังคืออยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงบนหน้าจอ ซึ่งช่วงเวลาที่ผมจะขอเน้นก็คือช่วง 18.00-22.30 น. เป็นช่วงเวลาที่ทางช่อง 3 อยากจะกลับมาเน้น โดยธรรมชาติเดิมเราจะเน้นละครหลังข่าว แต่ตอนนี้เราต้องการจะฮุบทั้งช่วงคือ 19.00-22.30น."
"สิ่งที่จะได้เห็นในปีนี้ ในช่วง 18.00 น. เราเรียกมันว่ามิติใหม่แห่งความสนุก เราอยากจะสร้างความแปลกใหม่ เราต้องการสร้างแรงส่งให้ช่วงเวลา 19.00 น. เราจะมีรายการใหม่ๆ ที่เราจะเปิดตัว ตอนนี้มีอยู่ 3 รายการ ซึ่งเดิมที 3 รายการนี้อยู่ในช่วงเวลาละครรีรัน เราต้องการให้รายการสร้างความฮือฮา ความแปลกใหม่ให้เรา ก็จะมีรายการสะกิดใจโชว์ เป็นรายการทอล์กที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคน อีก 2 รายการยังไม่เปิดตัว น่าจะได้ชมกันในช่วงไตรมาสที่ 2"
เตรียมดึงนักแสดงตัวท็อปมาลงละครก่อนข่าว
"จาก 18.00 น. เข้าช่วง 19.00 น.ที่เป็นละครก่อนข่าว เราวางไว้ว่าอยากจะให้เป็นช่วงเวลาละครครบรส เข้มข้น หลากหลาย ที่ผ่านมาช่อง 3 เราเน้นไปที่ละครหลังข่าวมากกว่า แต่ปีนี้เราจะเน้นละครก่อนข่าวด้วย จะผลิตใหม่ทุกละครในช่วง 19.00-20.00 น. โดยเลือกละครเบาสมอง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวยังอยู่กันครบ"
"จะมีการดึงนักแสดงชั้นนำมาอยู่ในละครเวลา 19.00น. ด้วย เราต้องทำให้เห็นว่าเราเอาจริง เราใส่ใจกับช่วงเวลานี้จริงๆ ก็อาจจะมีการดึงตัวท็อปของเรามาเล่น ถ้าเวลานี้ที่เราพยายามปรับกันอยู่มันเวิร์ก เราก็จะค่อยๆ ปรับช่วงเวลาอื่นต่อไป เราก็หวังกับช่วงเวลา 18.00 - 22.00 น. ไว้เยอะ ถ้าเราทำได้ดีมันก็เป็นการสร้างแรงส่งอย่างต่อเนื่อง"
ส่วนละครหลังข่าวได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ รับละคร "ซ่อนเงารัก" ทำเพื่อขยายฐานกลุ่มวัยรุ่นสายวาย ฟินในแบบไม่มีปล้ำ จูบกัน
"ในช่วง 20.20 น. ที่เป็นช่วงของแฟนละครตัวจริงเราพยายามปรับรูปแบบการเล่าเรื่อง การนำเสนอให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความชอบของผู้ชมในยุคนี้ด้วย ละครในช่วงต้นปีที่ผ่านมามันก็เป็นไปในทิศทางที่ดี ละครเรามีความใหม่ เนื้อเรื่องกระชับ เล่าเรื่องเร็วขึ้น ไม่ยืด"
"อย่างที่คนมองละครซ่อนเงารักว่าช่อง 3 พยายามจะดึงพวกสายวายเข้ามาด้วย มันต้องกลับไปดูวิธีการใช้ชีวิตของคนในวันนี้ เพื่อนๆ เรา คนที่เรารู้จัก อะไรพวกนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ละครมันก็เป็นสิ่งที่สะท้อนชีวิตประจำวันของเรา ถามว่าควรมีไหม ผมคิดว่าควรมีแต่จะทำยังไงให้มันยังมีความเป็นช่อง 3อ ยู่ ไม่ใช่จูบกัน ปล้ำกัน อันนั้นอาจจะเยอะไปนิดนึง ทำยังไงให้มันมีศิลปะให้มันออกมาดูดีได้ ให้ทุกคนดูได้ด้วย นี่คือสิ่งที่เราพยายามทำอยู่"
"อย่างซ่อนเงารักมันมีกลิ่นของวาย แต่มันไม่ได้รุนแรง มันยังสวยอยู่ ผมชอบตรงนั้น มันเป็นการดึงกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาดูละครเราแล้วมันก็ได้กระแสที่ดีด้วย ไม่ได้วายที่จะต้องเห็นกันจะจะ นี่คือตัวอย่างที่มีการเล่าเรื่องที่มีกลิ่นอายของวายเบาๆ ภาพยังดูสวย"
อวยละคร "เงาซ่อนรัก" ตอบโจทย์การทำงานที่วางไว้ได้อย่างดี เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้จัดท่านอื่นใช้เป็นแนวทาง
"แค่มองว่ามันเป็นสิ่งที่อยากจะทดลอง ซึ่งผมตอบรับก็ออกมาดี ละครซ่อนเงารักตอบโจทย์ได้หลายโจทย์ของเรามาก อีกอย่างที่เราอยากจะปรับคือเราอยากให้คนดูเดาไม่ได้ว่าเรื่องมันจะจบยังไง ต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งนึงที่เราได้ฟีดแบ็กมา ซึ่งเราก็ยังจะทำต่อไป เราก็พยายามทำให้ละครของเราเป็นอย่างนั้นอยู่ วันนี้ซ่อนเงารักตอบโจทย์ทุกข้อของเรา เป็นตัวอย่างที่ดี"
"เป็นสิ่งที่เราคุยกับผู้จัดละครอยู่ ฝีมือไม่ต้องพูดถึง แล้วทุกคนเองก็มีไอเดียกันเยอะ เราไม่ห่วง ทุกคนอยากจะทำอะไรใหม่ๆ ด้วย หน้าที่ของผมไม่ได้ต้องมากำกับอะไรเขาเลย ผมแค่มาเปิดโอกาสเขามากกว่า ให้ได้ทำอะไรที่แตกต่างอย่างชัดเจน ผมไม่ได้จำกัดกรอบว่ามันจะเป็นยังไง สิ่งที่ผมเน้นคือการเล่าเรื่องและการนำเสนอมากกว่า"
จากกรณีที่ละคร "ซ่อนเงารัก" ฮือฮาจากการเปลี่ยนตัวนักแสดงกะทันหันทำให้ผู้ชมออกมาโวยเต็มโซเชียล เจ้าตัวบอกเป็นแผนที่วางไว้ว่าจะทำละครให้คนดูคาดเดาไม่ได้ให้เกิดกระแส บอกมีคนชมบ้างไม่ชมบ้างก็ยังดีกว่าทำไปแล้วนิ่งๆ ไม่มีกระแสอะไร
"ถ้าเราทำอะไรเดิมๆ คนก็บอกไม่พัฒนา นี่เราก็ทำอะไรใหม่ๆ คนก็มาว่าอย่างนี้อีก มันก็ต้องมีบ้าง คือผมต้องการสร้างอะไรที่คนดูคาดเดาไม่ได้ให้มันเป็นกระแส ทุกคนก็อ้าว เกิดอะไรขึ้น ถามว่ามันมีผลกับเรตติ้งไหม มันไม่ได้มีผลในทางตรงนะ ถ้าไปดูทั้งเรตติ้ง ยอดวิว และเทรนด์ทวิตเตอร์ เราติดอันดับ 1 มา 5-6 สัปดาห์แล้ว ซึ่งทุกเรื่องมันก็ต้องมีบ้างที่คนจะชอบแบบนั้นไม่ชอบแบบนี้ แต่ในมุมผมมันก็ดีกว่านิ่งๆ"
บอกทุกวันนี้ไม่มีใครคาดเดาไม่ได้ว่าทำละครแบบไหนแล้วจะเกิดกระแส ซึ่งแนวทางช่อง 3 คือจะพยายามนำเสนอแนวทางใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ แม้จะเสี่ยงแป้กก็ตาม
"มันไม่มีใครพยากรณ์ได้ถูกหรอก แต่ทุกวันนี้การทำเรื่องราวการนำเสนออะไรใหม่ๆ มันต้องทำอยู่แล้ว แต่การทำเรื่องใหม่มันก็มาพร้อมความเสี่ยงที่อาจจะแป้กก็ได้ ก็หวังว่ามันจะไม่แป้ก มันบอกไม่ได้ แต่มันต้องทำ"
"(ในส่วนของผู้จัดที่เจ้าใหญ่หลายคนอาจจะมองว่ามีสิทธิพิเศษมีความเหลื่อมล้ำได้ดาราคู่เดิมๆ ท็อปๆ?) ไม่หรอก ก็เป็นเรื่องนึงที่เราคุยกันอยู่ ถ้าเราอยากจะสร้างกระแส สร้างความแปลกใหม่ ข้อสำคัญคือเราไม่ได้แค่อยากจะสร้างความใหม่แต่เราอยากสร้างเพื่อให้มันตอบโจทย์ผู้ชม ก็เลยอยากจะเห็นอะไรที่แตกต่าง ก็เป็นเรื่องนึงที่เราคุยกันว่าวิธีการเลือก ทำยังไงให้มันมีควิทซ์ คุยกับคุณสมรักษ์ (สมรักษ์ ณรงค์วิชัย) อยู่ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง"
แจงละครที่มีพระ-นางตัวท็อปเล่นแต่ไม่ดึงเรตติ้งเกิดจากเนื้อเรื่องและรูปแบบการนำเสนออาจไม่สอดคล้องกับคนรุ่นใหม่ แนะผู้จัดละครให้นำเสนอเรื่องให้กระชับ เข้าเรื่องให้เร็วไม่ยืด
"มันก็กลับมาที่เนื้อของละคร รูปแบบการนำเสนอ วิธีการเล่าเรื่อง ความสอดคล้องกับชีวิตของผู้คนในปัจจุบันที่เราบอกว่ามันเป็นสิ่งที่เราค่อนข้างเน้น แล้วถึงจะเป็นคิวของนักแสดงที่จะค่อยเข้ามาส่งเสริมตรงนี้ ข้อสำคัญอีกอย่างคือทุกวันนี้เรามีทางเลือกเยอะ มันไม่ได้มีแค่ทีวีอีกหลายสิบช่อง แต่มันมีช่องทางออนไลน์ด้วย วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราสามารถเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ เราชอบแบบไหน ก็ดูแบบนั้น ความแข่งขันมันเลยกระจายไปในวงที่ค่อนข้างกว้าง เราเลยต้องกลับมาทบทวนการตอบโจทย์ความต้องการผู้ชมของเราจะทำยังไง วันนี้ถ้าคนกดรีโมตส่วนใหญ่ก็ยังจะเริ่มต้นที่ช่อง 3 อยู่ ทีนี้เราจะทำยังไงให้ในสิ่งที่เขาดูปุ๊บมันฮุกเขาให้อยู่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงอยากปรับรูปแบบการนำเสนอให้เข้าเรื่องเร็ว"
"เพราะคนในทุกวันนี้ ความอดทนมันน้อย มาถึงเปิดปั๊บอันนี้ชอบ ดูต่อ แต่ถ้าลังเลเมื่อไหร่นิ้วมันเริ่มกระดิกแล้ว อันนี้คือสิ่งที่ทำให้เราต้องปรับ จะเห็นว่าสมัยก่อนการพีคของละครมันจะใช้เวลา ตอนนี้มันไม่ได้ถ้ามันจะต้องระเบิดก็ระเบิดเลย มันต้องวางตัวละครได้ค่อนข้างเร็ว ไม่ยืด ก็เลยต้องขอชมละครซ่อนเงารักที่วางตัวละครได้ตอบโจทย์ดี การวางเนื้อเรื่องมันกระชับขึ้นเลยดึงคนดูอยู่"
เมื่อถามหรือจะหมดยุคคู่จิ้นแล้วเจ้าตัวบอกน่าจะเป็นที่รายบุคคล เป็นคู่ๆ ไปมากกว่า โวเดินหน้านำละครช่อง 3 บุกตลาดต่างประเทศ
"เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่พูดลำบาก ต้องมองเป็นรายบุคคล เป็นคู่ๆ ไป ตอนนี้สิ่งที่เราพยายามจะทำคือ เราได้ประกาศจับมือระหว่างเรากับจีน วันนี้ที่เราบุกตลาดจีนเราไม่ได้บุกแค่ละครหรอก คือถ้าละครเปิดปุ๊บ นักแสดงก็มีโอกาสที่จะเกิดที่นั่นได้ด้วย"
ลั่นภาพลักษณ์ของนักแสดงมีผลกระทบต่อเรตติ้งเพราะคนไทยติดตามดารา เล็งเพิ่มพื้นที่ให้ดาราในสังกัดได้โชว์ความสามารถเพิ่มขึ้นมากกว่าแค่รอแสดงละคร
"ก็แน่นอน คนไทยเราติดดารานักแสดง ทุกคนก็มีแฟนคลับ มีคนที่เราชอบและไม่ชอบ ตรงนี้มันเป็นจุดเด่น จุดแข็งของช่อง 3 อย่างหนึ่งคือทั้งคำนวณและคุณภาพของนักแสดง (จะกลับไปใช้ภาพลักษณ์เดิมไหมว่านางเอกช่อง 3 ที่คนมองคือเรียบร้อย แสนดี?) ทุกวันนี้ภาพก็คือส่วนนึง แต่สิ่งนึงที่เราอยากจะทำก็คือเราเห็นว่านักแสดงของเราเขาไม่ได้มีความสามารถแค่การแสดง แน่นอนการแสดงเป็นอาชีพหลักของเขา"
"แต่เราจะเห็นว่านอกเหนือจากการแสดงเขาก็เต้นได้เก่ง ร้องเพลงเพราะ คือมีความสามารถที่ค่อนข้างหลากหลาย ก็เป็นสิ่งนึงที่เราอยากจะดึงเอามาใช้ พูดถึงดารานักแสดงของเรา สิ่งหนึ่งที่คนอยากจะดูช่อง 3 ก็คือดารา นักแสดงของเรา ทำยังไงให้คนที่เป็นแฟนของดาราเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ต้องคอยแค่หลังละครอย่างเดียวเพื่อจะได้เห็นดาราของเขา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเรามีพื้นที่อีกเยอะ ตอนนี้ก็กำลังเตรียมพื้นที่ให้พวกเขาอยู่"
เผยทำงานช่อง 3 มา 9 เดือน ไม่ต้องการแบ่งพรรคพวก ปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคตที่ดี หาจุดยืนที่ทุกคนอยู่ได้
"โดยภาพรวมของช่องในการที่เรากำลังจะเดินหน้า เดินอนาคตมันก็ต้องมีการปรับ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ผมไม่ได้เจาะจงไปที่แค่ละคร แต่มันเป็นทุกอย่างที่เราทำ รายการ ข่าวเราพยายามหาสิ่งใหม่ๆ แน่นอนเมื่อไหร่ที่เราต้องทำสิ่งใหม่เราต้องคุยกันเยอะๆ เพราะแน่นอนมันต้องมีต่างมุมมอง ที่คุยกันเพื่อหาจุดยืนที่เราอยู่ได้ และเราสามารถสร้างเรื่องใหม่ๆ ได้ โดยธรรมชาติของผม ผมจะไม่ได้คุ้ยปัญหา"
"ผมได้คุยกับผู้จัดทุกท่าน ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ผมจะเข้าไปเปลี่ยนแต่ผมอยากจะฟังจากทุกๆ คน รวมไปถึงดารานักแสดง นักข่าวของเรา พนักงานของเรา วันนี้เขาคาดหวังอะไร เขาอยากจะเห็นความแตกต่างยังไงเพราะเราเพิ่งเข้ามาอยู่ 9 เดือน เขาอยู่มานานกว่าเรา พอได้คุยแล้วผมรู้แล้วทุกคนมีไอเดียยังไง ซึ่งมีไอเดียดีๆ เยอะเลย ผมมองว่าผมมีหน้าที่ที่จะทำให้ไอเดียพวกนี้มันเกิดขึ้นได้ เรามีกำลัง มีคนที่มีคุณภาพ เรามีไอเดียใหม่ๆ ด้วย ไม่ใช่ว่าไอเดียใหม่ๆ จะมาจากผู้จัดนอกอย่างเดียว เราไม่ได้ต้องแบ่งพวกกัน"
โอดโจทย์ที่ยากที่สุดคือเรื่องของการบริหารคน บอกยังไม่แฮปปี้กับผลงานตัวเอง ลั่นปีนี้จะได้เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจนแน่นอน
"โจทย์ที่มาอยู่ที่นี่ที่ยากที่สุดคือเรื่องของคน การขับเคลื่อนขององค์กรมันอยู่ที่คน ตัวกลยุทธ์ผมค่อนข้างมั่นใจในระดับนึงว่าสิ่งที่เราวางไว้มันไปถูกทาง แต่กลยุทธ์นี้จะเกิดขึ้นได้อยู่ที่องค์กรคือคนทั้งหมด สิ่งที่เราต้องทำในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาและอนาคต เชื่อว่าทุกคนคงเห็นมีกระแสคนใหม่ คนเก่าซึ่งผมไม่ได้มองเพราะมันไม่ได้มีทีมใหม่ที่ไปรอด และทีมเก่าที่ไปไม่รอด หรือกลับกันหนึ่งบริษัทที่เดินต่อได้ อีกบริษัทเดินต่อไม่ได้ มันไม่มีคนนึงชนะคนนึงแพ้ มีแต่คนที่ชนะทั้งหมดหรือแพ้ทั้งหมด นี่เป็นจุดยืนที่ผมเห็นมาแล้ว"
"ก็จะมีคนที่ไม่รู้หวังดีหรือหวังไม่ดีที่จะคอยปั่นกระแสอยู่เรื่อยๆ ซึ่งผมขออนุญาตชี้แจงว่าบางเรื่องผมไม่ได้พูด แต่คนก็เอาไปเขียน พอเราเห็นเราก็ลำบากใจนิดนึง เหมือนเราต้องสู้ทุกด้าน มันก็เป็นความกดดันอย่างนึง"
"ตลอดทำงาน 9 เดือนกราฟความพอใจ ถามว่าเป็นอย่างไร ส่วนตัวยังไม่ค่อยแฮปปี้กับงานที่เราทำลงไป ในหลายๆ คนยังมองไม่เห็นหรือรู้สึกว่ามันจับต้องได้ ผมตั้งธงไว้คือปี 2020 เป็นปีที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ข้ออ้างนะ แต่ต้องบอกว่าในหลายๆ เรื่องมันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ปีนี้น่าจะได้เห็นผลอะไรที่ชัดเจนไม่ว่าจะเรื่องของออนไลน์ ผัง มันใช้เวลาการคุยพอสมควร การที่เราจะต้องตกผลึกภายในอีก"