"ฉอด สายทิพย์" ควง "เอส วรฤทธิ์" เปิดใจความสำเร็จ "เชนจ์" พลิกจากเจ้าแม่วิทยุ สู่เจ้าแม่วงการทีวี เผยสุดแฮปปี้ สร้าง "เชนจ์" เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ฟุ้ง 5 ช่องจ้างผลิตละคร ภูมิใจขุดดาราโลกลืมให้กลับมาดัง ถึงเป็นรุ่นเก่าแต่ฝีมือก็ยังขลังอยู่
สุดยอดไปเลยทีเดียว สำหรับ "ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา" ที่จับมือ "เอส วรฤทธิ์ ไวยเจียรนัย" ออกมาเปิดบริษัทใหม่ในนาม "เชนจ์ 2561 (Change 2561)" ผลิตละครป้อนช่องต่างๆ ถึงวันนี้พิสูจน์แล้วว่าทุกเรื่องทุกช่องได้รับการตอบรับที่ดี ไม่ว่าจะเป็นสามีสีทอง, รองเท้านารี , กลับไปสู่วันฝัน, เมียน้อย ฯลฯ ซึ่งตอนนี้มีช่องติดต่อเข้ามาถึง 5 ช่องด้วยกันเพื่อให้สร้างละครให้ ความสำเร็จเกิดจากอะไร ทั้งคู่ขอเปิดใจ
พี่ฉอด : "ก็ดีนะคะ คิดว่าการที่เราเริ่มมาทำเชนจ์มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มันเกิดขึ้นกับตัวเรานะ บางทีเราทำอะไรมานานๆ แล้ว มันเหมือนรีสตาร์ทตัวเองใหม่ ก็รู้สึกสนุก และยิ่งโชคดีมั้งปีที่แล้วได้รับการตอบรับที่ดี เลยมีผลพวงมาปีนี้ ก็เลยได้คุยกับคนเยอะ ได้คุยกับช่องใหม่ๆ เลยคิดว่าดีมากจริงๆ ที่เราได้มาเปิดเชนจ์ค่ะ ถ้าเกิดเรายังหงอยๆ อยู่อย่างเดิม มันก็อาจจะหงอยๆ ไปเรื่อยๆ จนอยู่ตัวแล้วไปเรื่อยๆ ก็ได้"
เอส : "ผมว่าโอกาสมันสั้นนะ หมายถึงงานต่องาน พอเราได้แล้วเราทำต่อ โชคดีที่งานมันโดน มันก็ส่งผลให้มีการพูดคุยถึงงานในปีนี้ และปีนี้ถ้ายังทำโดนก็คิดว่าคงได้ไปต่อ แต่ถ้าปีนี้ไม่โดน ปีหน้าอาจจะงานน้อยลงก็ได้ มันเป็นวัฎจักรปกติเลย"
ฉอด : "คำว่าโดนหรือไม่โดนมันก็ไม่ใช่ว่าละครดีหรือไม่ดีอย่างเดียว ยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นอีกมากมาย"
เอส : "อาจจะไปพอดีกับคู่แข่งเขาทำดีกว่าในจังหวะนั้น อย่างกรณีปีที่แล้วเมียน้อยไปชนกรงกรรมเนี่ย เราก็ยังโชคดีที่เมียน้อยก็ยังพอเอาตัวรอดได้ ก็ยังมีกระแส แต่ในขณะเดียวกันกรงกรรมก็ได้ ก็ถือว่าท่ามกลางพายุลูกเบ้อเริ่มขนาดนั้น เราก็ยังพออยู่รอดได้ ฉะนั้นคำว่าเรตติ้งมันไม่ได้เป็นตัวสะท้อนคำว่าสำเร็จเสมอไป มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบรอบข้างด้วย"
ชี้ ช่อง 3 ช่อง7 มีผู้ผลิตเยอะแล้ว ขอทำตามโจทย์ให้คนที่อยากร่วมงานด้วย
พี่ฉอด : "ไม่มั้ง เขามีผู้ผลิตเยอะแล้ว ก็แล้วแต่ค่ะ เอาเป็นว่าเราก็ทำงานตามโจทย์ของคนที่อยากให้เราทำงานด้วยอยู่แล้ว พอเราเดินเข้ามาก็คงต้องคุยกัน อย่างที่บอกว่า 5 ช่องก็คุยกันเยอะนะคะ ก็ต้องคุยกันพอลงตัวถึงจะทำงานได้"
ฟื้นคืนชีพดาราที่ถูกลืม เพราะเชื่อฝีมือ
เอส : "ผมมองว่าอย่างกรณีพี่แซม (ยุรนันท์ ภมรมนตรี) จริงๆ แล้วทุกๆ คนถ้าใครได้เคยทำงานในวงการนี้แล้วและวันนึงหายไปนาน มันมีความคิดถึงอยู่แล้วล่ะครับ และพอวันนึงกลับมาทุกคนก็คงต้องคิดเยอะว่ากลับมาแล้วทำอะไร กลับมาแล้วจะเวิร์กไหม มันมีความกังวลสูง แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่นักแสดงทุกคนต้องการคือบท บทที่ดีที่เขาจะได้ถ่ายทอด และพอเขารู้สึกว่าตรงนี้มันใช่เขา เขาก็พร้อมจะเต็มที่ ผมว่ามันเป็นความลงตัวระหว่างกัน มันเป็นความโชคดีของพวกผมด้วยนะ อย่างกรณีพี่แซม พวกเราก็ไฝว์กัน 3 รอบนะ แล้วไม่ได้นะครับ พี่แซมปฏิเสธ"
พี่ฉอด : "คือในมุมพี่แซมคิดว่าทำไมเขาต้องกลับมาเล่น เขาก็คงต้องคิดเยอะ"
เอส : "ในแง่ของงานบางคนอาจจะมองว่ากลับมาเพราะต้องการสร้างรายได้ บางคนอาจจะต้องการกลับมาทำงาน คิดถึง แต่ในมุมของพี่แซมมีความคิดถึงแหละ แต่การจะกลับมาก็รู้สึกว่าเสี่ยงเยอะ เพราะเขาก็พิจารณามาตลอด มีคนติดต่อเขาตลอด แต่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันถึงขั้นเป็น 10 กว่าปีเหมือนกัน ทีนี้ปรากฎว่าสุดท้ายแกปฏิเสธมา 3 รอบมั้ง แล้วอยู่ๆ แกก็ติดต่อมาคุยเอง ทั้งๆ ที่ปฏิเสธไปแล้ว ทิ้งระยะไปแล้ว ก็เลยกลับมาคุยกันอีกรอบ และมันเห็นภาพเดียวกัน เพราะในบทตรงนั้นมันก็เซนซิทีฟเหมือนกันนะ กับการถ่ายทอดบทพ่อที่รับไม่ได้ที่ลูกเป็นสาวประเภทสองที่จะต้องแปลงเพศ ซึ่งมันก็แรงแหละ แกก็อยากจะรู้ว่าเราจะถ่ายทอดมาในมุมไหน"
ฉอด : "จริงๆ มันก็เริ่มตั้งแต่สมัยเราทำคอนเสิร์ตแล้วนะ เราก็จะเป็นคนเริ่มที่เอาศิลปินที่หายไปกลับมา พอมาถึงทำละครก็ไปดึงเอานักแสดงที่อาจจะอาวุโสหน่อยกลับมา อย่างสามีสีทองตอนที่ทำแคสตอนแรกทุกคนก็จะบอกว่าตัวละครมีแต่มีอายุทั้งนั้นเลย แต่ต้องยอมรับอย่างนึงว่าคนที่เรากำลังพูดถึงนี้เขาเป็นสุดยอดฝีมือในวงการ ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่คิดว่าแก่แล้วแก่เลย ในขณะที่ฝรั่งยิ่งแก่ยิ่งเจ๋ง อายุ 70-80 เขายังเล่นกันอยู่เลย แต่บ้านเราเป็นสังคมที่อยากได้แต่เด็กๆ แต่สิ่งที่ทุกคนที่เราเอามาคืออย่างแรกเขาโคตรเก่งเลย มันก็เลยสำเร็จ"
เอส : "ถ้าเขาไม่เก่ง ถ้าเขาไม่เคยไปอยู่ในจุดที่สูงมากๆ มันไม่มีทางที่วันนึงคนจะคิดถึงเขาและกลับมาหรอก ของแบบนี้มันอยู่ที่ประสบการณ์ บารมี ชื่อเสียงที่ทำไว้ เพียงแค่วันนี้เราอาจจะหลงลืมอะไรแบบนี้ อาจจะเป็นเรื่องปกติแหละที่จะต้องมีคนรุ่นใหม่มาเรื่อยๆ แต่อย่าลืมว่าของเก่าก็ขลังเหมือนกัน"