“ติ๊ก เจษฎาภรณ์” ควงภรรยาและลูกออกงาน จวกกรมควบคุมมลพิษควรจัดการปัญหาการเผาเพราะทำให้เกิดมลพิษ ไม่ใช่ให้แต่ข้อมูลมลพิษ พอเกิดเรื่องทีก็แอ็คชั่นที ปลูกฝังให้ทุกคนต้องรู้จักหน้าที่
“ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี” ควงภรรยาและลูกชาย “น้องเต้นท์” มาร่วมงาน SANSIRI X MESSI JAY FOOTBALL WORKSHOP ซึ่งน้องเต้นท์ดูจะตื่นเต้นกับการออกงาน พ่อต้องเข้ามาพูดคุยให้เกิดความคุ้นเคยตรงกันข้ามกับตอนที่ถ่ายรายการเนวิเกเตอร์กับติ๊กที่สนุกสนาน เรื่องนี้ติ๊กบอกเป็นธรรมดาตอนเด็กๆ ตนเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน พร้อมกับพูดถึงปัญหาการเผาที่ทำให้เกิดมลพิษที่เจ้าตัวโพสต์ พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐมีมาตรการจัดการปัญหา กรมควบคุมมลพิษไม่ใช่แค่มาบอกข้อมูลมลพิษ ต้องจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ
“วันนี้เขายังเขินๆ หน่อยเขายังไม่คุ้น เขาเป็นคนชอบฟุตบอลอยู่แล้วสังเกตจากคอสตูมของเขาที่เขาเตรียมมา แต่วันนี้อาจจะเขินไปซะหน่อย เวลามาออกงานเราจะถามความสมัครใจของเขาว่าจะไปกับพ่อหรือเปล่า อย่างงานวันนี้มีฟุตบอลเขาเลยสนใจมาด้วย ซึ่งพอมาแล้วก็ช็อตนิดนึง แต่ทางโรงเรียนเขาก็จะมีกิจกรรมเกี่ยวกับกีฬาและเขาก็ชอบ ซึ่งบางกีฬาเด็กก็จะถนัดแต่บางกีฬาเด็กอาจจะไม่ถนัด เราก็สนับสนุนเต็มที่เลยครับกีฬาๆ เป็นยาวิเศษ”
“ติ๊กคิดว่าถ้าจะพาเขามาต้องไม่คิดว่าเป็นการทำงาน ต้องคิดว่างานที่รับนั้นต้องเหมือนเป็นการไปเที่ยวเล่นเขาจะเอ็นจอย และยิ่งถ้าเป็นที่ๆ ที่เขาคุ้นเคยที่เขาไปบ่อยๆ หรือเจอคนคุ้นเคย ผมว่าจะทำให้เขารู้สึกปรับตัวได้เร็วขึ้น อย่างวันนี้ก็บอกเขาว่าเต๊นท์แค่ไปสนุกๆ เตะบอล แต่ถ้าไปที่แปลกๆ ก็จะแบบนี้แหละต้องรอจังหวะแป๊บนึง เขาจะดูท่าทีก่อน คือเมื่อก่อนผมก็เป็นแบบนี้นะ เนื่องจากว่าประสบการณ์ชีวิตผมมากขึ้น ผมก็เลยแบบมาสิเต็มที่เลย แต่ตอนไปถ่ายรายการกับผมเขาจะสนุกสนานเพราะว่าเขาอยู่กับพ่อ มันไม่ใช่ใครอื่น”
การรับงานกับลูกชายไม่มีหลักการอะไรเป็นพิเศษ
“ไม่มีครับ ถ้าเกิดว่ามันเกิดการว่าจ้าง มันมีความคาดหวัง เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถทำตามที่คาดหวังได้ เราเลยคิดว่าเป็นบางโอกาสดีกว่าครับ แต่ก็รับครับแต่ว่าเป็นบางจังหวะ ต้องถามความคิดเห็นของเขาด้วย จริงๆ เขาก็ไม่กลัวกล้องนะ ผมว่าเขาอาจจะเห็นผู้คนมากมายแล้วเขาไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ปกติไปไหนมาไหนจะมีคนฝากถึงพ่อ เขาก็จะมาบอกผมนะครับ ที่โรงเรียนของเขามาบอกมีแม่เพื่อนหรือพี่เลี้ยงฝากมาบอกว่าเขาชอบพ่อนะ เขาก็บอกแค่นี้ ผมก็เลยถามเขาว่า แล้วเต็นท์บอกเขาว่าไง เต็นท์ไม่ได้บอกอะไร”
ลูกๆ เริ่มโตให้เรียนรู้ในสิ่งที่เหมาะสม และยุติการทำรายการเนวิเกเตอร์เพื่อจะได้มีเวลาให้ลูกมากขึ้น
“ก็ตามวัยของเขาเด็ก 6 ขวบ เขาจะชอบมีกิจกรรมข้างนอก รักกีฬาเอาท์ดอร์ จะมีความสนใจยอดมนุษย์ เริ่มอยากจะเป็นสไปเดอร์แมน เริ่มอยากจะเป็นพาวเวอร์เรนเจอร์ เราเข้าใจเขานะครับ เราต้องดูสิ่งที่เหมาะสมกับวัยเขา ก็ควบคุม สำหรับเรื่องที่เขาจะไปเดินป่าชอบธรรมชาติก็ปล่อยให้เขาได้เต็มที่เรียนรู้โลกภายนอกดูสัตว์ต่างๆ เช่น ได้จับจิ้งจก หอยทาก เราก็ดูว่าให้เขาอยู่ในโซนที่ปลอดภัย ถ้าเป็นสัตว์มีพิษเราค่อยพยายามป้องกันไม่ให้ได้รับอันตราย ตอนนี้หลังจากไม่ได้ทำเนวิเกเตอร์แล้ว ก็มีเวลามากขึ้นซึ่งเป็นความตั้งใจของเรา แต่ถ้าถามว่ายังรู้สึกคิดถึงเนวิเกเตอร์มั้ย คิดถึงมากไม่ได้อยากจากเธอไปเลย”
ส่วนการโพสต์ข้อความเรื่องปัญหาการเผาขยะข้างบ้านนั้น “ติ๊ก” บอกว่า เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องมีจิตสำนึกในการอยู่ร่วมกัน เพราะควันทำให้เกิดมลภาวะเป็นพิษ และรัฐบาลต้องมีมาตรการจัดการไม่ใช่แค่บอกข้อมูล
“ในเรื่องพื้นที่ต่างๆ ผมจะเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ การเผาในพื้นที่โล่งแจ้งไม่ว่าจะเป็นการเผาขยะ เผาพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงตอนนี้มีการลุกลามเผาไปยังป่าสงวน ผืนป่าธรรมชาติของประเทศไทย ตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่หน้าแล้งอย่างเต็มขั้นแล้ว เพราะฉะนั้นกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่า การเกษตรกรรมหรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์มันจะส่งผลเสียต่อชั้นบรรยากาศของโลก ความรุนแรงตอนนี้อย่างเรื่องการเผา ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงแค่ตัวเราเอง แต่เป็นห่วงว่าจากนี้จะเกิดปัญหาในเรื่องของฝุ่นควัน มลพิษ PM2.5 ก็จะเป็นวนเวียนอยู่อย่างนี้”
“คือผมว่ามันต้องมีระบบการจัดการที่ดี เรามีกรมควบคุมมลพิษไม่ใช่บอกข้อมูลเรื่องมลพิษ ถ้าเกิดความร่วมมือร่วมใจกันจะบอกว่าอยู่จิตสำนึกของคนมันก็ใช่ ถ้าเราไม่มีการจัดการที่ดีมันก็ไม่มีทางออก บางทีมันไม่มีทางออกเพราะยังไงเขาก็เผาอยู่ บางทีก็เกิดการมักง่ายที่จะเผาป่าล่าสัตว์จะเกิดโทษร้ายแรงมาก บางทีคนไม่เข้าปิดหน้าต่างปิดประตูเปิดแอร์นอนเลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร ซึ่งมันไม่แฟร์แล้วคนที่รู้สึกว่าอยากเปิดหน้าต่างหรือไม่อยากจะเปิดแอร์นอน ผมว่ามันต้องแฟร์กับทุกๆ ด้านด้วย เพราะถ้าเกิดคนที่นอนอยู่มันมีแต่กลิ่นของควันไฟหรือว่าบ้านใครที่ตากผ้ามีสะเก็ดของขี้เถ้าต่างๆ ทุกวันต้องมาทำความสะอาดเรื่องพวกนี้มันน่าเป็นห่วง ทุกๆ คนต้องอยู่ด้วยกันด้วยสิ่งที่เคารพซึ่งกันและกันในพื้นที่สาธารณะร่วมกัน"
"อย่างที่ผมโพสต์ก็ไม่ใกล้บ้านผมนะ ซึ่งเราก็มองเห็นเหตุการณ์แบบนี้อยู่เรื่อยๆ ผมก็เคยบอกไปกับทางเขตนานแล้ว ก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าถ้ามันไม่เกิดอะไรร้ายแรงมาก เราก็ยังนิ่งนอนใจกันอยู่และก็ไม่ค่อยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ พอเวลามันมีกระแสมากๆ ก็จะค่อยแอ็คชั่นกัน"
"ตอนนี้มันรอบๆ ตรงไหนมีพื้นที่เผาได้ก็จะเผารวมถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มันต้องมีวิธีในการหาทางออก แล้วมีแรงจูงใจให้กับเขาว่าจะทำยังไงที่จะไม่เผากัน แล้วถ้าไม่เผาเขาจะได้อะไร วิธีการทีถูกต้องคืออะไร มันจะเป็นโทษกับสิ่งต่างๆ อธิบายด้วยเหตุผลปูพื้นฐานที่ดีให้กับเด็กๆ ควันถึงแม้จะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านมันไปได้หมดไม่ใช่ว่าพอเข้าเขตรั้วบ้านแล้วหายไปไม่ใช่แบบนั้น คือตอนนี้ไม่ว่าแถวนี้หรือแถวไหนลองไปดูได้เลยเผาหมดทั้งนั้น"
"คือผมว่าตอนนี้สิ่งที่เราพูดถึงมันเป็นมาตรฐาน มันไม่ได้แปลว่าทำอะไรพิเศษ มันคือหน้าที่แค่นั้นเอง ถ้าหากเราทุกคนรู้จักหน้าที่ซึ่งกันและกันมันก็จะทำให้สังคมน่าอยู่เท่านั้นเอง ต้องรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน"