"แจ๊คไรเดอร์" อัปเดตอาการติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน หายร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ยังมีตึงๆ แผลอยู่ บอกถึงกับหงายหลังตอนเห็นแผลผ่าตัด ทั้งใหญ่และลึก หวิดโดนตัดขาหากหมอไม่ตัดสินผ่าทันที โอดรักษาตัวนาน 2 เดือน เกือบต้องจ่าย 1.4 ล้าน โชคดีมีประกัน ลั่นตอนนี้เหมือนได้เกิดใหม่ ขอให้เป็นเรื่องพีคๆ สุดท้ายในชีวิต
ลับมารับงานได้ปกติแล้ว สำหรับหนุ่ม "แจ๊คไรเดอร์" หรือ "ชนัตพล สังสิทธิเสถียร" หลังป่วยติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน บริเวณต้นขาขวา จากการโดนแมลงกัดที่ประเทศญี่ปุ่น วันนี้ได้มีโอกาสเจอหนุ่มแจ๊ค เจ้าตัวก็ได้ออกมาอัปเดตอาการดังกล่าว หลังเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 2 เดือนเต็มๆ ว่าตอนนี้หายสนิทร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ก็ถึงกับหงายหลังลงเตียงเลยทีเดียว หลังได้เห็นแผลผ่าตัด ที่ทั้งใหญ่และลึกมาก
"เรื่องโรคหาย 100 เปอร์เซ็นต์แล้วครับ แต่ก็ยังมีอาการเจ็บแผลอยู่บ้าง มีอาการตึงอยู่บ้างเนื่องจากว่ามันไม่มีหนัง มันมีแค่ผิวบางๆ ปิดแผลเอาไว้เฉยๆ ซึ่งคุณหมอบอกว่าน่าจะใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเริ่มคุ้นชิน ส่วนสภาพแผลตอนนี้ ถ้าหากผมสามารถแก้ผ้าให้ดูได้ผมจะแก้ให้ดูเลยนะ เพราะมันดูแย่มากจริงๆ แต่มันก็ตื้นขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่ลักษณะของมันเหมือนกับแผลเป็นขนาดใหญ่ สีมันจะแย่ๆ ช้ำๆ ดูไม่เป็นปกติเลย"
เผยตอนเห็นแผลครั้งแรกถึงกับหงายหลัง ไม่คิดว่าแผลผ่าตัดจะใหญ่และลึกขนาดนี้
"ตอนเห็นครั้งแรกผมหงายหลังบนเตียงเลยครับ เพราะผมสำหรับการผ่าตัดครั้งแรกผมถือว่าใหญ่มาก ขนาดมันเท่ากับฝ่ามือหนึ่งเลย แถมยังลึกไปถึงกล้ามเนื้ออีก ช่วงนั้นต้องทำแผลทุกวัน นอนอยู่กับกองน้ำเหลืองทุกวัน จำนวนครั้งในการผ่าตัดเบ็ดเสร็จแล้วทั้งหมดก็ 3 รอบ แต่ว่า 2 รอบแรกคือหนักจริง ยิ่งรอบ 2 นี่หมดเลยใต้ท้องขา"
หวิดโดนตัดขา หากตอนนั้นหมอไม่ตัดสินใจผ่าตัดทันที
"มีโอกาสแน่นอนครับ เพราะตอนที่ผมเป็นมันเป็นหนักจริงๆ มันติดเชื้อหมดแล้ว วินาทีแรกที่หมอเห็นแผล หมอพูดเลยว่า เป็นมากกว่าที่หมอคิดอีก ตอนนั้นความเสี่ยงที่หมอให้ก็คือ ถ้าหากแย่สุดก็อาจจะต้องตัดขา แต่หลังจากที่หมอให้ยาฆ่าเชื้อคืนแรกและรอยแดงไม่หยุด หมอก็เลยตัดสินใจว่าให้ผ่าตัดทันที มันก็เลยทำให้เชื้อหยุดลงได้ครับ"
ใช้เวลารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนาน 2 เดือนเต็ม
"60 วันครับ หรือ 2 เดือนเต็มๆ ซึ่งในช่วงนั้นผมต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้เลย การใช้ชีวิตมันลำบากมากครับ ขนาดนั่งเข้าห้องน้ำยังต้องนั่งเอียงๆ ไม่ให้แผลมันโดน"
ค่ารักษาตัว 1.4 ล้าน โชคดีมีประกัน เลยจ่าย 1.7 พัน ค่าส่วนต่าง
"ประมาณ 1.3 ล้าน เกือบ 1.4 ล้านบาทครับ แต่ก็ได้ประกันช่วย โชคดีจริงๆ ครับที่ตัดสินใจทำประกันก่อนหน้านั้นได้ไม่นาน ซึ่งผมจ่ายส่วนต่างแค่ประมาณ 1,700 กว่าบาท ในส่วนที่ประกันไม่ครอบคลุมครับ"
เผยโล่งใจมาก หลังหมอบอกคุมเชื้ออยู่ แต่ก็เกือบซึมเศร้า จิตตกทุกครั้งที่มองแผล
"ผมโล่งตั้งแต่วันที่หมอบอกว่า หมอคุมเชื้ออยู่แล้วครับ เพราะก่อนหน้านั้นผมใจเสียจริงๆ แต่ไม่ถึงกับซึมเศร้านะ แค่จิตตกทุกครั้งที่มองแผล ถามตัวเองตลอดเลยว่ามาถึงจุดนี้ได้ยังไง"
กลายเป็นคนขี้ระแวง เป็นแผลเมื่อไหร่รีบล้างยาฆ่าเชื้อตลอด
"เป็นครับเป็น คือทุกวันนี้เวลาผมเป็นแผลไม่ว่าจะเล็กใหญ่แค่ไหน ผมจะรีบล้างแผลฆ่าเชื้อทันทีเลย และก็จะพกพลาสเตอร์ยาติดตัวตลอด เพราะผมเรียนรู้มาว่าบาดแผลของเราไม่ว่าจะเล็กใหญ่ มันมีโอกาสติดเชื้อเท่ากันหมด"
บอกตอนนี้ไม่ต้องทำกายภาพและล้างแผลแล้ว หมอนัดตรวจอีก 2 เดือน
"คุณหมอแนะนำแค่อย่างเดียวก็คือ อย่ากลับไปอ้วนอีก เพราะตอนนี้น้ำหนักตัวผมลดลงมาเกือบ 10 กิโลกรัม (หัวเราะ) ส่วนเรื่องไปหาหมอเพื่อรีเช็ก จริงๆ ถ้าเป็นในส่วนของการทำกายภาพบำบัดก็ไม่ต้องทำแล้วครับ ไม่ต้องล้างแผลแล้ว แต่ว่าอีก 2 เดือน ก็มีนัดเข้าไปให้คุณหมอดูแผลอีกรอบ"
ยังมั่นใจหากต้องใส่ขาสั้น แต่เกรงว่าคนจะตกใจที่จะต้องมาเห็นแผล
"จริงๆ ผมมั่นใจนะ แต่ผมเกรงใจคนที่เขาเห็นแผลของผมและอาจจะตกใจมากกว่า เพราะมันเป็นแผลทั้ง 2 ฝั่งเลย ฝั่งหนึ่งเป็นแผลติดเชื้อ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือแผลจากการเอาเนื้อออกมาแปะ ก็กลัวคนจะตกใจถ้าเห็น"
กลายเป็นกูรู เวลาใครมีแผลมีตุ่มอะไรก็จะมาถามตลอด
"ใช่ครับ ตอนนี้ทุกคนกังวลหมด แต่ผมถือว่าเป็นเรื่องดีนะที่กังวล เพราะขาเราต้องใช้เดินใช้ทำงาน ผมก็อยากฝากให้เป็นอุทาหรณ์เลยแล้วกัน ฝากให้หมั่นดูแลอาการของตัวเองไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก เพราะหากร่างกายเราส่งสัญญาณเตือนอะไรมาและเราใส่ใจมันน้อย มันก็อาจจะก้าวไปสู่การเป็นอะไรหนักๆ ได้"
ฟาดเคราะห์ล้างซวยก่อนขึ้นปีใหม่
"อย่าว่าแต่ล้างซวยเลยครับ เพราะก้าวแรกที่ผมเดินออกจากโรงพยาบาล ผมรู้สึกเลยว่าเหมือนผมได้เกิดใหม่ ทั้งอาการ ทั้งงาน หลายๆ อย่างมันดีขึ้น"
"ก็ไปทำบุญครับ ต้องทำบุญ และอีกเรื่องหนึ่งก็คือผมยังรู้สึกขอบคุณนะ ขอบคุณที่ผมยังมีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น และไม่ต้องก้าวเข้าไปสู่ในจุดที่มันแย่ที่สุด เหมือนว่าในความโชคร้ายมันก็ยังมีความโชคดีหลายๆ อย่างอยู่ด้วย ถือว่าเป็นช่วงที่เกิดใหม่เหมือนกันครับ"
บอกนึกไม่ออกเลย ถ้าวันนั้นโดนตัดขาจะใช้ชีวิตยังไง
"ถ้าวันนั้นขาขาดไปนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ ครับ นึกไม่ออกเลยว่าการที่ตัวเองต้องใช้ขาเทียมมันเป็นยังไง แต่ก็ถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันก็เหมือนเป็นการแบ่งบุญแบ่งกุศลกัน เนื่องจากตั้งแต่มีสื่อมวลชนพูดถึงเรื่องนี้คนก็เข้ามารับการรักษากันเร็วขึ้น จากที่เข้ามาในจังหวะที่อาจจะต้องถึงขั้นตัดขาแล้ว ก็อาจจะไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้"
"เรื่องดวงก็มีคนทัก มีคนเขียน มีจดหมายมาที่โรงพยาบาล เราแค่รู้สึกว่าไม่ต้องดูดวง ในโชคร้ายมีโชคดี ชีวิตคนเราต้องมีจุดพีคในทุกคน ขอให้จุดนี้เป็นพีคสุดท้ายในชีวิต ต่อไปขอให้มีแต่ความโชคดี"