"นุ่น ดารัณ" ฟ้าลิขิตให้รักเพศเดียวกัน ขอบคุณโชคชะตาส่งเขามาในเวลาที่เหมาะสม เป็นคนที่เคยคบหลังหย่าแต่เลิก ผ่านไป 8 ปีกลับมาเจอกันอีก ลูกโล่งอกที่เห็นแม่มีความสุข เรื่องวิวาห์ไม่แน่นอน เพราะเคยผ่านงานแต่งมาแล้ว
ตั้งแต่เปิดตัวว่าคบกับสาวหล่อ นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ “นุ่น ดารัณ ฐิตะกวิน” ก็ถูกจับตามองว่าจะมีงานแต่งเกิดขึ้นหรือเปล่า ซึ่งพอได้เจอเจ้าตัวในงานบวงสรวงละครเรื่อง สมบัติมหาเฮง ณ ช่อง 7 สาวนุ่นก็เผยว่าพิธีอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ที่ตนอยู่ด้วยกันทุกวันนี้ก็คงเพราะฟ้าลิขิตแล้ว เพราะบอกเคยคบกันมาเมื่อ 8 ปีก่อน และแยกย้ายกันไปจนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เชื่อทุกอย่างคือพรหมลิขิต
“จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีพิธีอะไรมากหรอกค่ะ ก็เป็นเรื่องของชีวิตที่มันดำเนินไปนะคะ พอมาวันนึงก็เหมือนฟ้าลิขิตว่าพอเราผ่านอะไรมาเยอะๆ และเขาก็เป็นคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน เราก็เคยใช้ชีวิตในการดูแลเด็กๆ มาด้วยกันหลังจากที่นุ่นหย่ามานะคะ ก็อยู่ด้วยกันมาประมาณ 5 ปีค่ะ ก็คือช่วยดูแลกันไป ดูแลทั้งเด็กๆ ดูแลกันและกัน มันก็อาจจะมีความขัดแย้งบ้าง แล้วก็แยกกันไป พอวันนึงผ่านมา 8 ปี อยู่ดีๆ ก็กลับมาเจอกัน เขาและเราก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิต”
“ทุกอย่างน่าจะเป็นเรื่องของพรหมลิขิตมากกว่าทีได้มาเจอกัน แล้วดันมาเจอกันในภาวะที่ต่างคนต่างพร้อม ทั้งในเรื่องใจ เรื่องของกิจวัตรประจำวันต่างๆ ลูกเราเริ่มโตขึ้น เราเริ่มใช้เวลากับตัวเองได้มากขึ้น แต่เราก็ยังต้องประคองลูกเราในช่วงวัยรุ่น ซึ่งมันก็แตกต่างจากตอนเด็กๆ และพอเราได้กลับมาต่างคนก็ต่างอายุมากขึ้น มีประสบการณ์กันมา เราก็ถือว่าเรามีวิชากันมา และได้มาใช้ในการดูแลลูกในวิธีที่เปลี่ยนไป มันก็เป็นเวลาที่เหมาะสม”
“เราเคยคิดว่าเรามุ่งมั่นที่ลูก เราไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย แต่พอมาวันนึงพอลูกเริ่มขยับออกไป เราก็เริ่มเดียวดาย เราก็ต้องให้สเปซลูก เราจะมายึดลูกอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ได้ และพอมีคนที่มาแล้วมันลงตัว เราไม่ต้องไปถามคำถามว่าเขาจะจริงใจกับเราหรือเปล่า จะซื่อสัตย์ไหม หรือว่าจะคิดยังไงกับเรา มันไม่ต้องถามคำถามนี้แล้วค่ะ ตอนนี้มันเริ่มสบายใจที่จะเดินต่อไป และขอบคุณโชคชะตาที่ส่งเขามาให้มาในจังหวะที่เหมาะสมค่ะ”
บอกขอบคุณลูกๆ ทั้งสองคนที่ไม่ว่าอะไร และบอกความรักของตนไม่เคยมีเพศมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
“ถามว่าจะมีจัดพิธีไหม เอาจริงๆ เราไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลย รู้แต่ว่ามาอยู่ตรงนี้และเราจะได้มีเพื่อนร่วมทางที่มั่นคงมากขึ้น เราดีใจแค่นั้นเอง ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีพิธีอะไร ซึ่งพิธีตรงนั้นเราผ่านมาแล้วค่ะ เราก็รู้สึกเต็มที่แล้ว เราก็มองว่าท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นแค่พิธีหนึ่ง มันอาจจะไม่ได้สำคัญที่สุด แต่สำคัญที่สุดคือหลังจากพิธีนั้นแล้วเดินไปยังไงมากกว่า ก็ต้องขอบคุณลูกด้วย น่ารักมาก เพราะที่ผ่านมาลูกก็อาจจะมองเห็นว่าแม่ก็เหนื่อยและทุกข์ใจ กังวลใจหรือมีเรื่องอะไรเข้ามา หรือมีคนที่เข้ามาแล้วทำให้ไม่สบายใจ เพราะพอหลังๆ ลูกโตเราก็ปรึกษาลูกค่ะ ลูกก็จะได้เข้าใจว่าชีวิตมันมีสุข มีทุกข์ ฉะนั้นเวลาที่แม่ทุกข์ ลูกก็คงเห็นใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แค่ฟัง แต่พอเวลาที่มีแม่ความสุขก็เหมือนลูกโล่งอก (หัวเราะ)”
“จริงๆ แล้วเรื่องใจลูกคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดนะคะ และต้องบอกตรงๆ เลยว่านุ่นเองก็ผ่านเรื่องรักแบบนี้มานานแล้ว คือนุ่นก็ผ่านการเรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาสองโรงเรียน มันมีเรื่องอย่างนี้อยู่แล้ว นุ่นคิดอยู่เสมอว่าความรักไม่มีเพศ แต่คนจะตั้งคำถามว่าแล้วทำไมแต่งงาน แล้วทำไมมีลูกล่ะ แล้วทำไมมาแต่งงานแบบนี้อีก คือมันไม่ใช่ว่าฉันจะต้องผู้ชาย ฉันจะต้องผู้หญิง แต่มันเป็นเรื่องว่า ณ เวลานั้นเราผู้หญิงเนอะ เราก็อยากมีงานแต่งงาน อยากมีสามี อยากเป็นแม่ แต่พอเราอาจจะไปเจอจังหวะที่ไม่ดี หรือเรียกว่าเจอวิบากกรรมดีกว่า อันนี้ไม่มีใครผิดนะ เป็นเรื่องวิบากกรรมมันก็ต้องเผชิญไป แก้ปัญหาไป”
“ทุกวันนี้จะบอกลูกสองคนตลอดเลยว่าอนาคตจะแต่งงานหรือไม่แต่ง เราไม่ว่าเลยนะ แต่งหรือไม่แต่งก็ได้ แต่เรื่องถ้าจะมีลูกเนี่ยคิดให้ดี (หัวเราะ) เพราะในอนาคตจะยิ่งเลี้ยงลูกยากขึ้น แม่ไม่ใช่แม่ที่จะมานั่งพูดว่าอยากเลี้ยงหลานแน่นอน แม่ไม่พูดค่ะ (หัวเราะ)”
ยอมรับห่วงลูกสาวคนเล็กเรื่องแบ่งเวลาในการแสดงและเรียน แต่บอกตอนนี้ลูกก็เริ่มรักในการแสดงขึ้นแล้วจริงๆ
“ก็ยอมรับว่าห่วงค่ะ เพราะว่าน้องเริ่มต้นเด็กมาก และเราเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ว่าเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย แต่เราก็ได้แต่ประคับประคอง มันก็เป็นความห่วงของแม่ในการที่ลูกจะต้องไปถ่ายดึกๆ ดื่นๆ ขาดเรียน ต้องตามเรียนให้ทัน สอบตกต้องไปซ่อม มันเป็นการห่วงเรื่องพวกนี้มากกว่า แต่ก็จะบอกลูกว่าอย่าคิดว่าทำงานแล้วคุณจะเหนือกว่าคนอื่น คุณจะต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติให้ได้ เพราะการเรียนเขาก็ไม่ได้มีสิทธิพิเศษให้ ฉะนั้นถ้าการเรียนเราหายไป คุณก็ต้องยิ่งขยันมากขึ้นไปอีก หรือบางทีลูกมาบ่นว่าเหนื่อย เรียนไม่ทันเพื่อน ก็จะบอกเขาว่าคุณก็จะหาประสบการณ์ตรงนี้จากเพื่อนไม่ได้ เราได้มากกว่าคนอื่นเยอะแยะ ฉะนั้นกลับมาทำตรงนี้ไม่ต้องดีเท่าเพื่อนก็ได้ แต่เอาแค่ชนะตัวเองก็พอ”
“ตอนนี้ลูกก็เล่นเรื่องที่สองแล้ว สิ่งที่เราเห็นก็คือลูกสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง บางทีถามเขาว่าให้แม่อยู่เป็นเพื่อนไหม เขาบอกว่าไม่เป็นไร แม่มีธุระก็กลับได้เลย นี่ก็ทำให้เราหายกังวล และมีฟีดแบ็กจากทางกองละครว่าน้องเก่งนะ น้องอยู่ได้ และวันนี้ลูกก็รู้สึกว่ารักละคร”