โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
5 เมษายน ค.ศ. 2018(พ.ศ.2561)
วงการภาพยนตร์โลกต้องสูญเสียบุคคลสำคัญไปอีกผู้หนึ่ง นั่นก็คือ “อิซาโอะ ทาคาฮาตะ”(Isao Takahata)ปรมาจารย์แห่งแอนิเมชัน 1 ใน 2 บุคคลสำคัญ ผู้ร่วมก่อตั้ง “สตูดิโอ จิบลิ”(Studio Ghibli) สตูดิโอผลิตแอนิเมชั่นชื่อก้องโลก ซึ่งได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในญี่ปุ่น
อิซาโอะ ทาคาฮาตะ เกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1935 ที่เมือง อุจิยามาดะ (ปัจจุบันคือ อิเสะ) และจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ในสาขาวรรณกรรมภาษาฝรั่งเศส
เมื่อเรียนจบทาคาฮาตะได้มีโอกาสเข้าไปฝึกงานที่ “สตูดิโอ โตเอ”(Toei Animation) และได้พบกับ “ฮายาโอะ มิยาซากิ”(Hayao Miyazaki)ในปี 1963 ที่ต่อมาทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนรักกัน และต่างก็มีฝันที่ต้องการจะสร้างสตูดิโอผลิตการ์ตูนคุณภาพขึ้นในญี่ปุ่น
หลังจากนั้น 20 กว่าปีผ่านไป ฝันของทั้งคู่ก็เป็นจริงขึ้นมาเมื่อได้ร่วมกันก่อตั้ง สตูดิโอ จิบลิ ขึ้นในปี 1985 ผลิตผลงานคุณภาพชื่อดังเป็นในระดับอมตะออกมามากมาย จนได้รับการยกย่องจากทั้งผู้ชมและคนทำหนังทั่วโลก
สำหรับบทบาทของ ทาคาฮาตะ นอกจากจะเป็นหนึ่งในสองผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ จิบลิ ร่วมกับมิยาซากิแล้ว เขายังเป็นทั้งโปรดิวเซอร์ คนเขียนบท และผู้กำกับ ให้กับแอนิเมชั่นหลายเรื่องของสตูดิโอ จิบลิ
โดยผลงานกำกับแอนิเมชั่นเด่นๆซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังนั้นก็มี “Only Yesterday” แอนิเมชั่นโรแมนติกที่มีเนื้อหาร่วมสมัย “Pom Poko” ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวที่อ้างอิงตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น เพื่อสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม “My Neighbors the Yamadas” แอนิเมชั่นที่เล่าเรื่องขบขันเกี่ยวกับครอบครัวชาวญี่ปุ่น และล่าสุด “Tale of the Princess Kaguya” ที่ดัดแปลงมาจากตำนานพื้นบ้าน ซึ่งหนังยังได้ชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมด้วย
นอกจากนี้ทาคาฮาตะยังมีผลงานที่สร้างชื่อให้กับเขามากที่สุดและสร้างกับตราตรึงให้กับคนทั้งโลกก็คือ“Grave of the Fireflies”
Grave of the Fireflies หรือ Hotaru no Hata หรือชื่อ“สุสานหิ่งห้อย”ในภาษาไทย สร้างขึ้นในปี 1988 โดยดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อ “Hotaru no Hata” จากผลงานการประพันธ์ของ “โนซากะ อากิยูกิ”(Nosaka Akiyuki) ที่เขียนนวนิยายเรื่องนี้ขึ้นเพื่ออุทิศแด่น้องสาวของเขาที่ต้องเสียชีวิตลงในช่วงสงครามด้วยโรคขาดสารอาหาร โดยที่เขาไม่สามารถปกป้องดูแลน้องสาวได้
นวนิยายเรื่อง Hotaru no Hata มุ่งนำเสนอด้านเลวร้ายของสงคราม สะท้อนด้านมืดของมนุษย์ ผ่านงานเขียนที่แสนหดหู่ เศร้ารันทด ซึ่งก็ทำให้นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลด้านวรรณกรรมของญี่ปุ่น
เมื่อทาคาฮาตะนำนวนิยายเรื่อง Hotaru no Hata มาทำเป็นแอนิเมชั่น เขาได้ดัดแปลงเรื่องราวจากหนังสือเพียงเล็กน้อย เพราะต้องการคงอรรถรสรสความหดหู่หม่นเศร้าดั้งเดิมเอาไว้
ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องสุสานหิ่งห้อย แม้จะมุ่งนำเสนอด้านความโหดร้ายของสงคราม แต่แอนิเมชั่นเรื่องนี้ไม่ได้มุ่งนำเสนอผ่านภาพความรุนแรงของการทำสงคราม ที่มีผู้คนฆ่าฟัน เครื่องบินทิ้งระเบิด รถถังยิงถล่มกัน แต่หากเรื่องที่จะนำเสนอภาพความโหดร้ายของสงครามผ่านชะตากรรมอันแสนรันทดของสองพี่น้อง คือ “เซตะ”(พี่ชาย-14 ปี) และ “เซ็ตสึโกะ”(น้องสาว-4 ขวบ) ที่ต้องสูญเสียพ่อ-แม่ ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ทั้งคู่ต้องไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของป้า
แรกๆทั้งคุณป้าและครอบครัวต่างก็ดูเหมือนจะดีกับสองพี่น้องคู่นี้ แต่ด้วยความที่เซตะและเซ็ตสึโกะไปอยู่บ้านป้าเฉยๆ กินอาหารไปวันๆ(ท่ามกลางอาหารที่ขาดแคลน) ทำให้คุณป้าเริ่มมองสองพี่น้องคู่นี้เป็นภาระ ก่อนที่คุณป้าจะเอาเปรียบ พูดจากเหยียดหยามถากถางต่างๆนานา
ทำให้เซตะตัดสินใจนำน้องสาวเซ็ตสึโกะ ย้ายออกจากบ้านของป้าไปอยู่ในหลุมหลบภัยร้าง(เข้าทำนองคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก) ใช้ชีวิตเป็นอยู่อย่างลำบากยากแค้น อดๆอยากๆ ต้องไปหาพืชผักของป่าประทังชีวิต เมื่อหาไม่ได้ก็ต้องไปขโมยผักในไร่ของชาวบ้านมากินกับน้องสาว
แม้จะอยู่กับแบบสบายใจสองพี่น้อง ซึ่งในแอนิเมชั่นแม้จะนำเสนอให้เห็นถึงความยากลำบากของเซตะและเซ็ตสึโกะให้เห็น แต่ก็มีภาพของความอบอุ่นน่ารักจากความรักของสองพี่น้องคู่นี้
แต่สุดท้ายเซ็ตสึโกะที่ร่างกายอ่อนแอก็ป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร ขณะที่เซตะนั้นก็พยายามช่วยเหลือน้องสาว หาอาหารต่างๆมาให้กินเท่าที่จะทำได้ จนถึงขนาดต้องยอมเป็นขโมย ไปขโมยข้าวของเสื้อผ้า เมื่อยามที่เครื่องบินมาทิ้งระเบิดผู้คนวิ่งหนตายหาที่หลบภัย แต่เซตะกลับวิ่งสวนเข้าไปตามบ้านๆต่างเข้าไปขโมยข้าวของออกมา เพื่อนำไปขาย นำเงินมาซื้ออาหารให้น้อง
กระทั่งสุดท้ายเขาจำต้องไปถอนเงินก้อนสุดท้ายจากธนาคารเพื่อนำมาซื้ออาหารดีๆให้น้องสาว หลังเซตะพาเซ็ตสึโกะไปหาหมอ แล้วรู้ว่าน้องสาวของเขาป่วยเป็นโรคชาดสารอาหาร
ทว่า...ด้วยชะตากรรมอันแสนเศร้าของสองพี่น้องคู่นี้ เซตะกลับมาไม่ทัน น้องสาวอันเป็นที่รักได้อำลาจากโลกนี้ไป ซึ่งหลังจากนั้นเซตะได้นำศพของเซ็ตสึโกะบรรจุในโลงไม้ และลงมือเผาศพน้องสาวของเขาด้วยมือเขาเองด้วยความรันทดหดหู่
ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงลุกโชนนั้นก็ได้มีภาพของฝูงหิ่งห้อยมาบินวนเวียน เปรียบดังชีวิตที่เกิดใหม่ อีกทั้งยังเป็นตัวนำเข้าไปเชื่อมต่อกับฉากเปิดในต้นเรื่อง
แอนิเมชั่นเรื่องนี้นอกจากจะรันทดหดหู่และจบลงอย่างสุดเศร้า ชนิดที่เรียกน้ำตาคนดูได้มากมายทั้งเรื่องและตอนจบแล้ว ยังมีใจความหลักมุ่งนำ ความโหดร้ายของสงครามที่นอกจากจะทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย บ้านเรือนเสียหายพังพินาศแล้ว ยังได้ทำลายจิตใจของผู้คนให้มีความโหดร้ายตามสงคราม ทั้งนี้ก็เพื่อความพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดของพวกเขา ซึ่งแอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็ได้สะท้อนถึงความพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของมนุษย์ให้เห็นอีกด้วย
สำหรับภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Grave of the Fireflies หรือ สุสานหิ่งห้อยนั้น ต่างได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์สงครามที่ดีที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่งของโลก ซึ่งผมต้องขอคารวะแด่ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ ผู้ล่วงลับ(ด้วยวัย 82 ปี) ที่สามารถสร้างสรรค์แอนิเมชั่นเรื่องสุสานหิ่งห้อยออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นอมตะ ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเรียกน้ำตาจากคนดูได้ทั่วโลก
อย่างไรก็ดีสำหรับแอนิเมชั่นเรื่องสุสานหิ่งห้อยนี้ ผมพยายามที่จะไม่ดูซ้ำหลายๆครั้ง
เพราะเวลาดูแอนิเมชั่นเรื่องนี้ทีไร เป็นต้องเสียน้ำตาทุกทีไป
5 เมษายน ค.ศ. 2018(พ.ศ.2561)
วงการภาพยนตร์โลกต้องสูญเสียบุคคลสำคัญไปอีกผู้หนึ่ง นั่นก็คือ “อิซาโอะ ทาคาฮาตะ”(Isao Takahata)ปรมาจารย์แห่งแอนิเมชัน 1 ใน 2 บุคคลสำคัญ ผู้ร่วมก่อตั้ง “สตูดิโอ จิบลิ”(Studio Ghibli) สตูดิโอผลิตแอนิเมชั่นชื่อก้องโลก ซึ่งได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในญี่ปุ่น
อิซาโอะ ทาคาฮาตะ เกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1935 ที่เมือง อุจิยามาดะ (ปัจจุบันคือ อิเสะ) และจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ในสาขาวรรณกรรมภาษาฝรั่งเศส
เมื่อเรียนจบทาคาฮาตะได้มีโอกาสเข้าไปฝึกงานที่ “สตูดิโอ โตเอ”(Toei Animation) และได้พบกับ “ฮายาโอะ มิยาซากิ”(Hayao Miyazaki)ในปี 1963 ที่ต่อมาทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนรักกัน และต่างก็มีฝันที่ต้องการจะสร้างสตูดิโอผลิตการ์ตูนคุณภาพขึ้นในญี่ปุ่น
หลังจากนั้น 20 กว่าปีผ่านไป ฝันของทั้งคู่ก็เป็นจริงขึ้นมาเมื่อได้ร่วมกันก่อตั้ง สตูดิโอ จิบลิ ขึ้นในปี 1985 ผลิตผลงานคุณภาพชื่อดังเป็นในระดับอมตะออกมามากมาย จนได้รับการยกย่องจากทั้งผู้ชมและคนทำหนังทั่วโลก
สำหรับบทบาทของ ทาคาฮาตะ นอกจากจะเป็นหนึ่งในสองผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ จิบลิ ร่วมกับมิยาซากิแล้ว เขายังเป็นทั้งโปรดิวเซอร์ คนเขียนบท และผู้กำกับ ให้กับแอนิเมชั่นหลายเรื่องของสตูดิโอ จิบลิ
โดยผลงานกำกับแอนิเมชั่นเด่นๆซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังนั้นก็มี “Only Yesterday” แอนิเมชั่นโรแมนติกที่มีเนื้อหาร่วมสมัย “Pom Poko” ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวที่อ้างอิงตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น เพื่อสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม “My Neighbors the Yamadas” แอนิเมชั่นที่เล่าเรื่องขบขันเกี่ยวกับครอบครัวชาวญี่ปุ่น และล่าสุด “Tale of the Princess Kaguya” ที่ดัดแปลงมาจากตำนานพื้นบ้าน ซึ่งหนังยังได้ชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมด้วย
นอกจากนี้ทาคาฮาตะยังมีผลงานที่สร้างชื่อให้กับเขามากที่สุดและสร้างกับตราตรึงให้กับคนทั้งโลกก็คือ“Grave of the Fireflies”
Grave of the Fireflies หรือ Hotaru no Hata หรือชื่อ“สุสานหิ่งห้อย”ในภาษาไทย สร้างขึ้นในปี 1988 โดยดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อ “Hotaru no Hata” จากผลงานการประพันธ์ของ “โนซากะ อากิยูกิ”(Nosaka Akiyuki) ที่เขียนนวนิยายเรื่องนี้ขึ้นเพื่ออุทิศแด่น้องสาวของเขาที่ต้องเสียชีวิตลงในช่วงสงครามด้วยโรคขาดสารอาหาร โดยที่เขาไม่สามารถปกป้องดูแลน้องสาวได้
นวนิยายเรื่อง Hotaru no Hata มุ่งนำเสนอด้านเลวร้ายของสงคราม สะท้อนด้านมืดของมนุษย์ ผ่านงานเขียนที่แสนหดหู่ เศร้ารันทด ซึ่งก็ทำให้นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลด้านวรรณกรรมของญี่ปุ่น
เมื่อทาคาฮาตะนำนวนิยายเรื่อง Hotaru no Hata มาทำเป็นแอนิเมชั่น เขาได้ดัดแปลงเรื่องราวจากหนังสือเพียงเล็กน้อย เพราะต้องการคงอรรถรสรสความหดหู่หม่นเศร้าดั้งเดิมเอาไว้
ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องสุสานหิ่งห้อย แม้จะมุ่งนำเสนอด้านความโหดร้ายของสงคราม แต่แอนิเมชั่นเรื่องนี้ไม่ได้มุ่งนำเสนอผ่านภาพความรุนแรงของการทำสงคราม ที่มีผู้คนฆ่าฟัน เครื่องบินทิ้งระเบิด รถถังยิงถล่มกัน แต่หากเรื่องที่จะนำเสนอภาพความโหดร้ายของสงครามผ่านชะตากรรมอันแสนรันทดของสองพี่น้อง คือ “เซตะ”(พี่ชาย-14 ปี) และ “เซ็ตสึโกะ”(น้องสาว-4 ขวบ) ที่ต้องสูญเสียพ่อ-แม่ ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ทั้งคู่ต้องไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของป้า
แรกๆทั้งคุณป้าและครอบครัวต่างก็ดูเหมือนจะดีกับสองพี่น้องคู่นี้ แต่ด้วยความที่เซตะและเซ็ตสึโกะไปอยู่บ้านป้าเฉยๆ กินอาหารไปวันๆ(ท่ามกลางอาหารที่ขาดแคลน) ทำให้คุณป้าเริ่มมองสองพี่น้องคู่นี้เป็นภาระ ก่อนที่คุณป้าจะเอาเปรียบ พูดจากเหยียดหยามถากถางต่างๆนานา
ทำให้เซตะตัดสินใจนำน้องสาวเซ็ตสึโกะ ย้ายออกจากบ้านของป้าไปอยู่ในหลุมหลบภัยร้าง(เข้าทำนองคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก) ใช้ชีวิตเป็นอยู่อย่างลำบากยากแค้น อดๆอยากๆ ต้องไปหาพืชผักของป่าประทังชีวิต เมื่อหาไม่ได้ก็ต้องไปขโมยผักในไร่ของชาวบ้านมากินกับน้องสาว
แม้จะอยู่กับแบบสบายใจสองพี่น้อง ซึ่งในแอนิเมชั่นแม้จะนำเสนอให้เห็นถึงความยากลำบากของเซตะและเซ็ตสึโกะให้เห็น แต่ก็มีภาพของความอบอุ่นน่ารักจากความรักของสองพี่น้องคู่นี้
แต่สุดท้ายเซ็ตสึโกะที่ร่างกายอ่อนแอก็ป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร ขณะที่เซตะนั้นก็พยายามช่วยเหลือน้องสาว หาอาหารต่างๆมาให้กินเท่าที่จะทำได้ จนถึงขนาดต้องยอมเป็นขโมย ไปขโมยข้าวของเสื้อผ้า เมื่อยามที่เครื่องบินมาทิ้งระเบิดผู้คนวิ่งหนตายหาที่หลบภัย แต่เซตะกลับวิ่งสวนเข้าไปตามบ้านๆต่างเข้าไปขโมยข้าวของออกมา เพื่อนำไปขาย นำเงินมาซื้ออาหารให้น้อง
กระทั่งสุดท้ายเขาจำต้องไปถอนเงินก้อนสุดท้ายจากธนาคารเพื่อนำมาซื้ออาหารดีๆให้น้องสาว หลังเซตะพาเซ็ตสึโกะไปหาหมอ แล้วรู้ว่าน้องสาวของเขาป่วยเป็นโรคชาดสารอาหาร
ทว่า...ด้วยชะตากรรมอันแสนเศร้าของสองพี่น้องคู่นี้ เซตะกลับมาไม่ทัน น้องสาวอันเป็นที่รักได้อำลาจากโลกนี้ไป ซึ่งหลังจากนั้นเซตะได้นำศพของเซ็ตสึโกะบรรจุในโลงไม้ และลงมือเผาศพน้องสาวของเขาด้วยมือเขาเองด้วยความรันทดหดหู่
ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงลุกโชนนั้นก็ได้มีภาพของฝูงหิ่งห้อยมาบินวนเวียน เปรียบดังชีวิตที่เกิดใหม่ อีกทั้งยังเป็นตัวนำเข้าไปเชื่อมต่อกับฉากเปิดในต้นเรื่อง
แอนิเมชั่นเรื่องนี้นอกจากจะรันทดหดหู่และจบลงอย่างสุดเศร้า ชนิดที่เรียกน้ำตาคนดูได้มากมายทั้งเรื่องและตอนจบแล้ว ยังมีใจความหลักมุ่งนำ ความโหดร้ายของสงครามที่นอกจากจะทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย บ้านเรือนเสียหายพังพินาศแล้ว ยังได้ทำลายจิตใจของผู้คนให้มีความโหดร้ายตามสงคราม ทั้งนี้ก็เพื่อความพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดของพวกเขา ซึ่งแอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็ได้สะท้อนถึงความพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของมนุษย์ให้เห็นอีกด้วย
สำหรับภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Grave of the Fireflies หรือ สุสานหิ่งห้อยนั้น ต่างได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์สงครามที่ดีที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่งของโลก ซึ่งผมต้องขอคารวะแด่ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ ผู้ล่วงลับ(ด้วยวัย 82 ปี) ที่สามารถสร้างสรรค์แอนิเมชั่นเรื่องสุสานหิ่งห้อยออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นอมตะ ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเรียกน้ำตาจากคนดูได้ทั่วโลก
อย่างไรก็ดีสำหรับแอนิเมชั่นเรื่องสุสานหิ่งห้อยนี้ ผมพยายามที่จะไม่ดูซ้ำหลายๆครั้ง
เพราะเวลาดูแอนิเมชั่นเรื่องนี้ทีไร เป็นต้องเสียน้ำตาทุกทีไป