xs
xsm
sm
md
lg

เปิดอก “ไอ้จ้อย” สุดหล่อ 6 ปีกว่าจะดัง ชีวิตตกต่ำใช้เงินเดือนละ 3 พัน กินของใกล้หมดอายุ แง้มหัวใจไม่โสดแล้วนะจ๊ะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ไอ้จ้อย” โมสต์ วิศรุต เปิดอก เป็นนักแสดงโนเนมตะกายดาว 6 ปีกว่าจะดัง เคยตกอับ 3 เดือนหาเงินได้ 9,000 กินของใกล้หมดอายุ สารภาพต้องเกาะแม่กิน ถูกครอบครัวกดดันหนักเป็นนักแสดงจะเอาอะไรกิน จนตัดสินใจจะไปตั้งหลักใช้ชีวิตที่อเมริกา ดีใจบุพเพฯ ดังชีวิตเปลี่ยน จากนี้ไปขอทำทุกโอกาสเข้ามาให้ดีที่สุด เผยเรื่องหัวใจมีแฟนแล้วนะแม่นายจ๋า

นาทีนี้นอกจากจะ “พี่หมื่นโป๊ป” จะดังเป็นพลุแตกแล้ว “ไอ้จ้อย” โมสต์ วิศรุต หิมรัตน์ คนสนิทที่ติดตามคุณพี่หมื่นไปทุกที่พร้อมกับไก่ก็ดังไม่แพ้กัน จนได้รับฉายาว่า “#อยุธยาคิวต์บอย” แต่กว่าจะดังแบบนี้โมสต์ต้องตะกายดาวในเส้นทางบันเทิงถึง 6 ปี มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง บางทีหาเงินได้เดือนละ 3000 ต้องขอตังค์แม่ใช้ กระทั่งทางบ้านกดดันให้ออกจากวงการบันเทิงเพื่อหาอาชีพที่มั่นคง เจ้าตัวจึงตัดสินใจจะปักหลักที่อเมริกาเพื่อหาเส้นทางชีวิตใหม่ โชคดีที่ละครบุพเพสันนิวาสดัง แม่นายจ๋าก็เลยได้เห็นหน้าหล่อๆ ของไอ้จ้อยในวงการบันเทิงต่อไป

“ผมไปเรียนภาษาอังกฤษที่อเมริกา เพิ่งกลับมาครับ อยากไปตั้งนานแล้ว พอถ่ายบุพเพฯ เสร็จก็จะไปเลย ก็ไม่ได้ถึงกับจะหันหลังให้วงการบันเทิง ไม่ได้ดรามาอะไรมากมาย ไม่ใช่ว่าทำงานมาตั้งนานแล้วไม่ดังสักทีก็เลยไป ที่ผ่านมาผมแค่อยากทำอาชีพนักแสดงและมีกินเหมือนคนอื่นที่เขาประกอบอาชีพกัน เพราะผมเรียนการแสดงจบมาจาก มศว และผมก็ไม่ได้คิดว่าทำไมไม่ดังสักที ไม่เคยคิดเลย แต่ก็เข้าใจว่าอาชีพนี้มันต้องดังถึงจะอยู่ได้ ก็เลยคิดว่าหลายอย่างมันไม่ลงตัว ผมเลยคิดว่าเราควรหาหลักอะไรที่ทำให้ครอบครัวสบายใจ แต่ผมยังไม่ได้ยอมแพ้นะ แค่คิดว่าเราต้องหาอะไรบางอย่างให้ตัวเองแล้ว ผมตั้งใจจะไปเรียนบริหารเพราะเราไม่เคยเรียนมาเลย จึงตัดสินใจไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มก่อน บวกกับที่บ้านถามว่าเราจะทำอะไร ผมไม่มีคำตอบให้เขา ผมตอบอะไรไม่ได้เลยเพราะตลอดปีที่ผ่านมาเราอยู่กับการแสดงตลอด เลยตอบที่บ้านไม่ได้ว่าเราจะทำอะไรต่อไป บวกกับที่บ้านก็มีธุรกิจ ก็เลยคิดว่าถ้ายังไม่ได้อะไรทำ เราก็คงจะตามรอยทำธุรกิจที่บ้านไปก่อน”

“พอเราจะได้ไปเรียนที่ต่างประเทศ เราก็ยังไม่ให้คำตอบเขานะว่าเราจะไปเรียนต่อที่มหาลัยด้านมาร์เกตติ้ง แต่คือไปเรียนภาษาให้รอดก่อนดีไหม และตั้งใจว่าอยากจะไปอยู่แล้ว ก็เลยไปเรียนด้วยเลยจะได้ไม่เสียเปล่า เพราะพอเราถ่ายบุพเพฯ จบแล้ว เราก็คิดว่าเรื่องการแสดงเราน่าจะพักก่อน ไปหาอะไรอย่างอื่นทำก่อนดีไหม เพราะทำมาตั้ง 6 ปีแล้ว วนอยู่แบบเดิมๆ ทำไมเราไม่คิดว่าเราจะไปหาวิชาชีพใหม่ๆ ผมก็เลยลองพักดูก่อนและไปลองเรียนรู้ใหม่ๆ”

“ตอนนั้นก็ปลงแล้วนะครับ คือเข้าใจมันมากกว่าและยอมรับความจริง ก่อนหน้านั้นอาจจะมีบ่นบ้าง ทำไมมันไม่ประสบความสำเร็จสักที ผมไม่รู้หรอกว่ามันต้องดังแค่ไหน เพราะผมแค่คิดว่าเราทำอาชีพนี้ได้อย่างสบายใจ ที่บ้านไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความมั่นคง และช่วงหลังๆ งานก็เริ่มมีบ้าง ไม่มีบ้าง ชีวิตเริ่มไม่ปลอดภัย มันฟุ้งซ่าน บ้านเราก็ทำธุรกิจก็พอมีอันจะกินแต่ไม่ได้มีให้เรากินตลอดไป เขาก็สอนให้เราทำมาหากินเอง เขามีให้เรากินคือเขาเหนื่อยมากเลยนะ และวันหนึ่งที่เขาเหนื่อยมาก แล้วเราจะกินอะไร ไม่ต้องเกี่ยวว่าจนหรือรวย แต่ด้วยอายุขนาดนี้ เรียนจบแล้ว มันควรจะทำอะไรสักอย่างได้แล้ว แต่เราคิดใหม่ว่าเราต้องหาหลักประกันให้ชีวิตก่อน พอทุกอย่างมันโอเค เราจะได้ไม่ต้องมาพะวงเรื่องการกินอยู่ ถามว่าถ้ามันดัง มันก็ดี มันคือกำไร แต่ผมแค่ต้องการทำในสิ่งที่ผมรักและเรียนมาเท่านั้นเอง”

ฝันเป็นนักแสดง ไม่ได้อยากดัง แค่อยากมีกิน เผยชีวิตตกต่ำไม่มีงาน 3 เดือนหาเงินได้ 9,000 ต้องใช้เงินแม่กินเป็นปี

“ที่บ้านกดดันเป็นเรื่องธรรมดา เราเป็นลูกคนจีนด้วย และนี่ก็ผ่าเหล่ามากนะ (ยิ้ม) มาทำอาชีพนี้ และเขาก็ไม่เห็นว่ามันจะมีรายได้ที่มันจะเข้ามา ยิ่งช่วงปีหลังๆ ผมยืมเงินแม่ทั้งปีเลยนะ และเขาก็จะถามเราว่าจะทำอะไรดี ช่วงนี้มันขึ้นหรือมันลง เพื่อนก็ถามว่าช่วงนี้เราจะมีผลงานอะไรให้ดูบ้าง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตั้งใจมากดดันเราหลอก แต่เราก็เริ่มคิดแล้วว่าหนทางนี้มันไม่สมูทแล้ว เราต้องช่วยพยุงตัวเองให้มันดี ไม่ใช่จะมาคิดว่าเราต้องทำเพื่อความฝัน และผมพูดจริงๆ ว่าเพื่อนผมเรียนจบการแสดงมาแต่มีไม่กี่คนที่ได้ทำในสิ่งที่เรียน”

“ผมได้เห็นความจริงแล้วว่าเส้นทางมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เราคิดไว้ เพราะย้อนกลับไปเราก็เคยคิดนะว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราก็จะเลือกเรียนสาขานี้ แต่เราก็คิดอีกว่าถ้าเราเรียนบริหาร เราจะออกมาเป็นยังไง แต่พูดเลยว่าการแสดงให้อะไรกับเรามาเยอะมาก มันพลิกชีวิตผมเอามากๆ ก่อนหน้านี้แทบจะไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร การเรียนการแสดงเหมือนทำให้ชีวิตเราได้เกิดใหม่ ตอนสบอติดที่บ้านก็ว่าครับ นี่อุตส่าห์สอบตรงติดเลยนะ แต่เขาก็ถามกลับมาเบาๆ ว่าจบมาแล้วทำอะไรล่ะลูก (หัวเราะ) ก็ยอมรับว่าเราตอบอะไรไม่ได้เลย”

“ในส่วนของรายได้มันก็มีเข้ามานะ เพราะถ้าจนก็จนจริงๆ อย่างปีหนึ่งไม่มีงานเข้ามาเลย แต่งานมันก็มีเข้ามาบ้างจากการคนที่ติดตามเราในไอจี และยอดมันไปตรงกับการที่เขาจะจ้างเราโพสต์เพื่อรีวิวสินค้า แต่มันไม่ใช่การแสดง และพูดถึงปีนั้นมันน้อยมากเกี่ยวกับงานแสดง ก็มีเล่นละครเวทีบ้าง ก็ทำงาน 3 เดือนได้ 9,000 บาท คิดว่าจะมีกินไหมล่ะ แต่ก็ยังโชคดีได้คุณแม่เลี้ยงดู และตอนแรกที่เราเล่นละครเวทีเรื่องนี้ตอนแรกจะไม่ได้เอาตังค์เลย เพราะคนที่คิดจะทำละครเวทีเตรียมตัวเจ๊งได้เลย แต่ที่เราตัดสินใจไปเล่นก็เพราะเราได้พัฒนาตัวเองไปอีก เราเก่งขึ้นไม่ต้องไปเสียเงินเรียนการแสดง แต่ถามว่าเราท้อไหม มันก็มีบ้าง เพราะเราก็ตั้งคำถามให้กับตัวเองว่าเราจะทำอะไรได้ต่อ ผมเรียนการแสดงมาก็เพื่อยึดถือเป็นอาชีพไม่ได้จะมากอบโกย แค่ขอให้มันอิ่มๆ ก็พอ”

ตัดสินใจหันหลังให้วงการ บินไปเรียนภาษาที่อเมริกาเพื่อหาเส้นทางใหม่ของชีวิต

“และพอเราได้ไปถึงที่นั่นจริงๆ เราไปเพื่อจะทำให้สมองเราเคลียร์ๆ ไม่ต้องคิดอะไรตลอดเวลา ก็ขอที่บ้านไปพักผ่อนเพื่ออยากไปดูโลก อยากไปเปิดหูเปิดตา และพอไปอยู่ที่นั่นจริงๆ เราได้หยุดสิ่งที่เราได้คิดในเมืองไทยไปทั้งหมดเลย เราใช้ชีวิตเที่ยวเล่นสนุกอย่างเดียว ได้คิดทบทวนว่าทำไม เราถึงไม่ได้สิ่งที่เราอยากได้ และสิ่งต่างๆ ที่เราตั้งใจไว้ทำไมถึงไม่เป็นตามที่เราคิด เราก็เลยเข้าใจว่าอะไรหลายๆ อย่างเรายังมีข้อบกพร่องอยู่ ไม่ใช่ว่าเล่นได้แล้วจะเล่นเป็นเลยนะ มันมีอะไรมากกว่านั้น”

อยู่เมืองนอกผอมโซ ใช้เงินประหยัด ต้องรอซุปเปอร์ใกล้ปิดค่อยไปซื้อเผื่อมีของเซลส์ของใกล้หมดอายุ

“พอได้ไปใช้ชีวิตจริงๆ เราเพิ่งเข้าใจว่าโฮมซิกมันเป็นแบบนี้นี่เอง ตอนนั้นอยากจะกลับบ้านมาก (หัวเราะ) มันเป็นการใช้ชีวิตที่ยากลำบากมาก ไม่รู้จะหาเพื่อนยังไง ถ้าย้อนกลับไปตอนทำวีซ่านั่นคือฟิตมาก เราคิดถึงบ้านอยู่เกือบ 5 เดือน แต่พอเดือนที่ 6 ก็เริ่มปรับตัวได้ แต่ก็ต้องกลับเมืองไทยแล้ว ซึ่งก็เคยมีญาติเคยบอกกับผมว่าโมสต์ไป 6 เดือนมันไม่พอหรอกเพราะมันแค่เป็นการปรับหู มันต้องไปสักปีหนึ่ง มันก็จริงอย่างที่เขาพูดทุกอย่างเลย (ชีวิตที่ต้องอยู่คนเดียว มันต้องดำรงอยู่ยังไง? ให้มันอยู่รอด) คือมันก็ไม่ยากหรอก เราแค่เอาเงินไปซื้อของ แต่ของแพงมาก ผมผอมมากเพราะอยู่ที่นั่น และราคาสินค้า 7 เหรียญคือถูกมากสำหรับที่นั่น ใครจะกินข้าวกล่องนึงราคาเกือบ 200 กว่าบาทไทย ผมไม่ได้ตั้งตัวมา (หัวเราะ) ผมผอมมากเลย ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการซื้ออาหารมาทำเอง หรือบางทีอาจจะไปซื้อตอนใกล้ซูเปอร์ฯ ปิดอาจจะมีของเซลล์ที่ใกล้หมดอายุ”

ตื่นเต้นกับความสำเร็จ ภูมิใจสิ่งที่ตั้งใจทำออกดอกออกผลแม้จะช้าก็ตาม เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าบินกลับมาอยู่เมืองไทยไม่ไปแล้วอเมริกา จากนี้มีงานไหนเข้ามาก็จะตั้งใจทำอย่างเต็มที่

“ในส่วนของละครที่มันออนแอร์ไปแล้ว มันจะได้รับความนิยมขนาดนี้ไหม มันก็เหมือนอารมณ์ของนักแสดงคนนึงที่ละครจะออนแอร์ก็อาจจะมีความตื่นเต้นบ้าง ก็คาดหวังบ้าง มันก็คงมีกระแสบ้างเนอะ และนี่ถือว่าเป็นละครยาวของช่อง 3 เรื่องแรก เราก็โปรโมตบ้าง แต่สุดท้ายแล้วใครจะรู้เนอะ (ยิ้ม) อย่างตอนได้อ่านบทของจ้อยก็เป็นบทใหม่ๆ ถามว่ายากไหม ก็ยากนะ คนอื่นอาจจะดูว่ามันน้อย แต่กว่าน้อยจะออกมาได้แบบนี้มันต้องเล่นเยอะมาก(ยิ้ม) เพราะพี่ผู้กำกับเขาให้ตัวจ้อยเป็นตัวแทนสายตาของคนดูทีวีว่าเขารู้สึกยังไงเวลาได้ดู เพราะจ้อยจะอยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้น เป็นตัวแทนความรู้สึกว่าคนแถวนั้นคิดยังไง และแค่พูดคำว่า ขอรับ ยังยากเลย เพราะมันไม่ใช่คำพูดที่เราใช้เป็นประจำ”

“ก็ภูมิใจนะครับกับคำว่าอยุธยาคิวต์บอย ก็เขินนะครับ ดีนะที่มีคนนิยามให้เรา เพราะผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนพูดถึงตัวเราเลย และเราก็คิดว่างานนี้มันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง อย่างเวลาทำงานผมจะกลัว การเล่นละครนอกจากเป็นละครยาวเรื่องแรกของผมแล้ว แต่การได้เจอเพื่อนร่วมงาน ซึ่งแต่ละท่านคือมากฝีมือกันทั้งนั้น ก็ดีใจครับคือถ้าละครออนแอร์ไปแล้ว และไม่มีคนพูดถึงผมเลย ผมก็คงไม่เก็บเสื้อผ้าจากที่โน่นกลับมาที่นี่หรอกครับ (ยิ้ม) ก็เลยยกหีบกลับมาพระนครเลย (ตอนนี้รับกับความดังยังไง?) ไม่รู้เลยครับ เพราะไม่เคยดังมาก่อน ก็ไม่รู้จะรับมือยังไง มีอะไรเข้ามาก็จะทำให้ดีที่สุด และขอบคุณตัวเองที่แบบว่าที่แต่ก่อนตั้งใจและเราทำดีที่สุด และถึงแม้จะมันไม่เห็นผลมาช่วงหนึ่ง แต่พอคนได้เห็นเราได้รู้จักเรา เขาก็จะกลับไปตามหางานเก่าๆ ที่เราเคยทำเอาไว้นั่นแหละคือสิ่งที่อยากจะขอบคุณตัวเอง และแม้มันจะออกดอกออกผลช้าไปหน่อยก็ตาม และพ่อแม่เขาก็น่าจะภูมิใจ เพราะกระแสก็ได้พิสูจน์ให้เขาได้เห็นว่าที่เราได้ทำมา ไม่ได้ทำไปเปล่าๆ นะ เขาสบายใจกันมากขึ้น ส่วนแผนการเรียนที่เมืองนอกก็น่าจะเปลี่ยนแผนมาเรียนที่เมืองไทยแทนได้ไหม จะได้ไม่ต้องเสียค่ากินมื้อละ 200-300 บาท (ยิ้ม)”

พี่จ้อยไม่โสดซะแล้ว

“ตอนนี้เรื่องหัวใจก็ยังว่างนะครับ แต่ด้วยความที่เราอายุ 25 ปีแล้วมันก็ต้องมีคุยๆ บ้างเนอะ คนเราต้องถูกหล่อเลี้ยงด้วยความรัก ให้มีกุ๊กกิ๊กบ้าง เพราะก่อนจะจริงจังเราก็ต้องมีคนคุยก่อนเนอะ (ยิ้ม) ก็เป็นคนไทยนี่แหละ ส่วนเรื่องคุยก็อาจจะคุยแบบพิเศษกว่าคนอื่นหน่อย ก็จิ๊จ๊ะไปเลย”

(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)








กำลังโหลดความคิดเห็น