xs
xsm
sm
md
lg

"แหม่ม เอเอฟ1" กับเรื่องเล่าจากโลกเงียบ...

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จะเป็นอย่างไรถ้าเด็กคนหนึ่งต้องเติบโตมาในโลกแห่งความเงียบ ภายใต้การเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่เป็นใบ้-หูหนวก? ที่สำคัญจะมีเด็กสักกี่คนกันที่มีความคิดอยากจะเป็นนักร้อง ทั้งๆ ที่ตนเองเติบโตมาในครอบครัวที่ยังต้องใช้ภาษามือในการสื่อความหมายกันอยู่เลย?

หากจินตนาการไม่ออก ลองฟังเรื่องราวจากปากของเธอคนนี้ "แหม่ม ภัทรวดี (วัชรินทร์) จินะมุสิ" ที่บางคนอาจจะพอคุ้นชื่อและหน้าของเธอบ้างในฐานะอดีตหนึ่งในสมาชิกจากบ้านอะคาเดมี แฟนเทเซียซีซันแรก
...
พอจะเล่าให้ฟังได้มั้ยว่าอาการหูหนวกเป็นใบ้ของคุณพ่อ - คุณแม่เป็นมาอย่างไร?
"คือคุณพ่อมีพี่น้อง8 คนค่ะ ก็มีคนโตคือคุณลุงคนเดียวเท่านั้นที่พูดได้ นอกนั้นหูหนวกเป็นใบ้หมด ส่วนทางคุณแม่ คุณยายมีลูก 4 คน คุณแม่เป็นคนที่ 4 แล้วก็เป็นคนเดียวที่หูหนวก เหมือนกับว่าคุณยายท่านมีคุณแม่ตอนอายุมาก แล้วตอนเด็กแม่ก็ป่วย ซึ่งด้วยความที่ครอบครัวค่อนข้างจะยากจน ก็ไม่รู้จะรักษายังไง คือตัวร้อนก็คือว่าเป็นไข้ก็รักษากันไป จนเริ่ม 2-3 ขวบพูดไม่ชัดก็เริ่มสงสัย แล้วก็ไม่พูด ก็ชัวร์แล้ว"

คุณพ่อ-คุณแม่เคยบอกให้ฟังมั้ยว่ามาพบกันได้ยังไง?
"คุณแม่เรียนโรงเรียนเศรษฐเสถียรค่ะ ส่วนพ่อเนี่ยเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ก็มาเจอกันในกลุ่ม เพราะคนหูหนวกเขาจะมีกลุ่ม มีสังคมของเค้าอยู่ คุณพ่ออายุห่างจากแม่ 9 ปี คือพ่อเนี่ยเป็นต้นแบบในเรื่องของกิจกรรรมให้แหม่มเลย บ้านท่านจะอยู่ริมแม่น้ำปากเกร็ด เค้าจะว่ายน้ำ ชกมวย ทำนั่นทำนี่ พอโตขึ้นมาก็ค้าขาย ซึ่งเป็นอาชีพปกติของคนหูหนวก แล้วก็เป็นนักมวยด้วย จนก็มาเจอคุณแม่ก็ชอบ รู้จักกันมาสักพักนึงแล้วค่อยคบกันเป็นแฟนกัน"

ทันทีที่รู้ว่ามีเราขึ้นมาท่านทั้งสองกังวลว่าเราจะเป็นแบบท่านหรือเปล่า?
"คนที่กังวลมากคือคุณยาย ก็ลุ้นกันแหละจะเป็นกรรมพันธุ์มั้ย เพราะสมัยก่อนเค้าก็ไม่รู้หรอกว่าการเป็นคนหูหนวกแบบนี้มันจะเป็นโรคกรรมพันธุ์หรือเปล่า เสียวๆ เหมือนกัน แล้วตอนเด็กยายเล่าว่าแหม่มเลี้ยงง่าย ไม่ค่อยร้อง ตกเตียงก็ไม่ร้อง ตีก็ไม่ร้อง จนเค้าโมโห ตบไม้กระดานแล้วยายอีกคนก็หลุดคำหยายออกมา ปรากฏว่าเราพูดตาม คือคำแรกเป็นคำหยาบเลย (หัวเราะ) ทุกคนก็รู้สึกว่า(อี)นี่โตขึ้นปากจัดแน่เลย"

ตอนเด็กๆ ใครเลี้ยงเราเป็นหลัก?
"จริงๆ คุณแม่คุณพ่ออยากเลี้ยงเอง แต่คุณยายเป็นห่วงพัฒนาการในการพูด แล้วมันก็มีเรื่องที่ว่าถูกขโมยเป็นขอทานด้วย คือเรื่องนี้มันเป็นจุดเปลี่ยนเลยนะ จำได้ว่าตัวเองคลานๆ อยู่ (จำได้ขนาดนั้นเลย) เออ แม่ให้กินปลาเยอะหรือเปล่า (หัวเราะ) ก็จำได้ว่าคลานๆ แม่ก็ซักผ้าอยู่ หันมาอีกทีหาแม่หาลูกไม่เจอแล้ว ตอนนั้นพ่อไปขายของข้างนอก ทีนี้พอรู้เรื่อง ทั้งวันก็พลิกแผ่นดินหากันเลย เกณฑ์พวกนักมวยมา แม่ก็ร้องไห้"
(ภาพจากเฟซบุ๊ก Pattaravadee Jinamusi)
"หาไปหามาจนเริ่มเย็นๆ ก็มีคนมาบอกว่ามีเด็กมอมแมมๆ นั่งขอทาน โหเงินเต็มเลย น่าจะใช่นะ พ่อก็วิ่งไปดู แล้วบังเอิญตอนนั้นโจรมาเก็บตังค์พอดี พ่อกับเพื่อนก็ใส่ยับเลย นั่นเป็นจุดที่ทำให้ยายเอากลับมาเลี้ยงที่กรุงเทพฯ แหม่มก็เลยพูดได้เหมือนคนปกติทั่วๆ ไปแล้วก็ได้เรียนรู้ภาษามือไปด้วย จำได้ว่าภาษามือคำแรกที่แม่สอนก็คือว่าอย่าใส่พริกลงในก๋วยเตี๋ยว เดี๋ยวมันเผ็ด (ทำท่าให้ดู)"

สรุปก็คือเรียนรู้ภาษามือจากในบ้านเป็น?
"ไม่ได้เรียนจริงจังแบบว่าไปเทกคอร์สหรือว่าอะไร อย่างแรกเรียนรู้กับแม่กับยาย อย่างที่สองไปเรียนกับสมาคมคนหูหนวกประเทศไทย ตอนนั้นก็ประมาณ 8 - 9 ขวบ นอกจากนี้แม่ก็เอาหนังสือมาให้แล้วก็คู่มือวิดีโอแม่ก็นั่งเปิดสอน คำนี้เป็นคำนี้อ่ะ หมุนมือแบบนี้นะ พอเราดูปุ๊บเราก็เริ่มสังเกตว่าภาษามือเป็นภาษาภาพ ก็เป็นภาษาดั้งเดิมของมนุษย์แหละ เป็นความเข้าใจง่ายๆ พอจำก็เอามาใช้"

"ซึ่งไม่ต้องหาโอกาสใช้เลยเพราะเราใช้ทุกวันกับแม่อยู่แล้ว(หัวเราะ) เอาเข้าจริงๆ คือเหมือนเป็นภาษามือเถื่อนน่ะ (หัวเราะ) เพราะคนที่เค้าเป็นล่ามภาษามือแต่ละคนเค้าไปเรียนจริงจัง ซึ่งจริงๆ แม่อยากให้เป็นล่ามภาษามือมาก แต่เราก็คิดแบบเด็ก โหแม่ รวยตายเลย (หัวเราะ) เมื่อไหร่จะได้บ้านได้รถกันเนี่ย"

ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่เป็นแบบนี้ มันทำให้เรารู้สึกแตกต่างจากคนอื่นมั้ย?
"ก็รู้สึกบ้างนะ เราก็อยากให้พ่อแม่มารับแล้วก็พูดกับเรา อยากแบบสื่อสารธรรมดาบ้าง เพราะภาษามือบางครั้งมันก็ยากนะที่จะเข้าใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น แน่นอนว่าเพื่อนล้อ ลูกไอ้ใบ้ โน่นนั่นนี่ โกรธมั้ย โกรธ โมโหแบบ ด่าไม่ทันแปรงลบกระดานก็เขวี้ยงเลย (หัวเราะ) ก็เด็กๆ ก็ล้อกันไปตามประสาแหละ"

"แต่ถามว่าขาดมั้ย ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไรขนาดนั้นนะ กลับรู้สึกว่าเท่อีกต่างหาก เพราะในขณะที่คนอื่นๆ พูดได้ภาษาเดียว แต่เราพูดภาษามือได้ เราได้สัมผัสอีกโลกนึง ซึ่งโอเคมันอาจจะเงียบ แต่ถ้าสังเกตมันก็ไมได้ต่างอะไรจากเราหรอก เราได้รู้จักสังคมอีกสังคมนึงเป็นกำไรชีวิตด้วยซ้ำ"

"แล้วคุณยายก็จะปลูกฝังว่าความสามารถพิเศษที่เรามีมันจะช่วยคนอื่นๆ ได้ จะช่วยเหลือสังคมได้ ก็เลยไม่รู้สึกว่าเป็นข้อด้อย แถมรู้สึกว่าเป็นข้อเด่นเสียอีกที่พ่อแม่เสียสละความสามารถทางการได้ยินเพื่อให้เรามีความสามารถพิเศษตรงนี้เสียด้วยซ้ำไป"
เมื่อครั้งประกวดเอเอฟซีซั่นแรก (ภาพจากเฟซบุ๊ก Pattaravadee Jinamusi)
อยู่ในบ้านเงียบๆ ใช้ภาษามือคุยกันเงียบๆ เวลาออกมาข้างนอกเรารู้สึกว่าโลกมันช่างอึกทึกครึกโครมมั้ย?
"จริงๆ อยู่กับพ่อกับแม่ไม่ได้สงบนะ (หัวเราะ) มันจะโอ๊ะๆ อ๊าๆ ตลอด หรืออย่างวันเกิดแหม่มเนี่ย พ่อแม่จะเกณฑ์คนพาเพื่อนๆ มากันเพียบเลย แล้วมือจะขวักไขว่มาก คือถ้ามีเสียงนี่มันคงจะล้งเล้งน่าดู (คนหูหนวกเค้าเคยบ่นกันมั้ยว่าหนวกหูจังเลย) มี พูดมากจังเลย รำคาญ น่าเบื่อมาก (ทำมือประกอบ)"

"บางทีก็จะแซวกับแม่ว่า แม่ เนี่ย เราคงเป็นคนใบ้ที่พูดเสียงดังพูดมากที่สุดในโลกแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งบางทีมันก็เป็นข้อดีนะ อย่างแม่กำลังจะกลับบ้านแล้วอยู่ถนนอีกฟาก ถ้าจะตะโกนให้แม่ซื้อขนมมาฝากก็ไม่ได้ยิน เราก็แค่ส่งภาษามือให้ หรืออย่างบางทีก็แอบนินทาคนอื่นๆ ด้วยภาษามือก็มี(หัวเราะ)"

เห็นว่าเป็นคนบ้าการประกวดมาก?
"ตั้งแต่เด็กๆ เลย คือมันเป็นเรื่องของการอยากพิสูจน์ตัวเองด้วย อยากประกวดว่าเราเก่งมั้ย อยากรู้ว่าเราฉลาดพอมั้ย ถ้าเรารู้สึกว่าเค้าทำได้ เราก็ต้องทำได้ คือตั้งแต่ม.1 มีคนบอกว่าต้องทำพอร์ตโฟลิโอ้ (Portfolio) จะทำให้เราเอนฯ ติด เราก็ประกวดทุกอย่างเลยที่มีในโรงเรียน จนเพื่อนตั้งฉายา 11 กิจกรรม ก็ทุกประเภท กีฬา ภาษา ยกเว้นคณิตศาสตร์ไม่เก่ง"

"อย่างสายบันเทิงถ้าจริงจังเวทีแรกคือแฮก (HACK) อายุประมาณ 15 แต่ตอนนั้นกลับบ้านมานอนไม่หลับเลยนะ เพราะเราชินกับการชนะมาโดยตลอด ไม่หนึ่งก็ต้องสอง ต้องสาม อันนี้ก็ติด 1 ใน 10 เหมือนกัน แต่เรารู้เลยว่าเราเตรียมการมาไม่พอ เรารู้เลยว่าต้นทุนที่ต่างกันมันเป็นยังไง"

"เพราะแต่ละคนเค้าเรียนกันมาในแต่ละสายอย่างจริงจัง รำไทยเราก็รำเป็นแต่ไม่สวยเท่าเค้า ร้องเพลงเราก็ร้องได้แต่ไม่เก่งเท่าเค้า ทุกคนไปเรียนมาหมด คือโลกในโรงเรียนกับโลกภายนอกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง"

แต่ก็ยังประกวดอยู่อีกหลายเวที รวมถึง "ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย" ซีซันแรกที่ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น
"จริงๆ อันที่เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ก่อนหน้านั้นก็คืออีลิท โมเดล อันนี้เป็นการประกวดที่เหมือนชุบชีวิตเลยนะ ก็ติดหนึ่งในสิบ แล้วก็ได้มาประกวดเอเอฟ ก็ถือว่าเป็นการประกวดที่ตัดสินใจถูกแล้วในชีวิต เพราะได้เรียนกับปรมาจารย์แต่ละคนที่ต้องถือว่าสุดยอด เพียงแต่เสียดายอยู่ที่ว่าอยู่ได้แค่ 3 อาทิตย์ไม่ได้อยู่เรียนต่อ (คุณพ่อคุณแม่ได้ไปเชียร์มั้ย?) ไปค่ะ แต่ตอนนั้นเราก็ไม่อยากให้มาโฟกัสหรือว่าเอาตรงนี้มาเป็นจุดขายอะไรมากมาย"

ไม่คิดหรือว่ามันจะทำให้พ่อแม่คิดว่าเอ๊ะลูกคนนี้มันยังไง รู้ทั้งรู้ว่าชั้นหูหนวกแต่มาประกวดร้องเพลงซะงั้น?
"จริงๆ ก็เสียดายนะ คืออยากให้เค้าได้ยินเหมือนกัน คือรวมๆ แต่จริงๆ เค้าก็ไม่ได้เสียใจที่ไม่ได้ฟังเสียงลูกสาวอะไรหรอก อาจจะมีแบบเออ คืออยากฟังเหมือนกันเนาะ แต่มันก็ไม่ได้ไปถึงขนาดย่ำยีความรู้สึกอะไร เพราะที่ผ่านมาพ่อแม่ก็จะรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนชอบร้องเพลง ก็เคยร้องให้พ่อฟัง เพราะพ่อพอจะได้ยินอยู่บ้างเวลาที่ท่านใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งเวลาเราร้องเพลงให้ฟัง พ่อก็จะยิ้มๆ"
(ภาพจากเฟซบุ๊ก Pattaravadee Jinamusi)
คนส่วนใหญ่มีความบันเทิงอยู่ที่การดูหนัง ฟังเพลง คนที่มีปัญหาตรงนี้เค้าหาความบันเทิงในรูปแบบไหนกัน?
"เหมือนกัน อย่างพ่อกับแม่เนี่ย ขอเมาท์หน่อยเถอะ อย่างพ่อกับแม่เนี่ยทิ้งลูกไปเที่ยวผับค่ะ (หัวเราะ) แต่ก่อนเที่ยวผับเต้นกันยับเลย อันนี้แม่เล่าให้ฟัง คือเค้าได้ยินนะคะถ้าเสียงมันดังมากๆ เค้าจะได้ยินเป็นจังหวะ เป็นรึทึ่ม ตึ้บๆๆ ซึ่งแค่นี้ก็เร้าอารมณ์แล้ว แล้วก็น้องหูหนวกบางคนเค้าเต้นลีลาศได้เลยนะ เพราะเค้าจับจังหวะเสียที่ดังจากลำโพง"

"ความบันเทิงก็คือไปดูหนังที่มันมีซับ ไปเที่ยว ไลฟ์สไตล์ไม่แตกต่าง เพราะว่ามันเป็นพิการทางการได้ยิน ส่วนการเคลื่อนไหวอื่นๆ เค้าปกติหมด จริงๆ ถามว่าดีมั้ยก็ดี แต่ข้อเสียก็คือตรงนี้มันเป็นความพิการที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน อย่างเดินๆ มาเนี่ยเราจะไม่รู้ว่าคนนี้เค้ามีปัญหาทางการได้ยินเลย ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้มีปัญหาเหมือนกัน"

"ที่สำคัญมันเป็นเรื่องของการพิการทางการสื่อสารน่ะ มนุษย์เราสำคัญสุดคือเรื่องการสื่อสาร อยากได้อะไรก็บอกได้ไม่เต็มร้อย คนรับฟังก็อาจจะไม่เต็มร้อย คือถ้าน่าสงสารก็คือน่าสงสารตรงนี้่ไม่สามารถสื่อสารอะไรได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แม้ในเรื่องของความละเอียดอ่อน แง่คิดต่างๆ หรือบทกวีเค้าอาจจะไม่เข้าใจตรงนี้"

อย่างคุณพ่อคุณแม่นี่ท่านอ่านออกเขียนได้มั้ย?
"คุณแม่สามารถอ่านเขียนหนังสือได้ แล้วก็พอพิมพ์ภาษาอังกฤษโต้ตอบได้เพราะเค้าจะมีเพื่อนคนหูหนวกทั่วโลกเลย แต่อย่างคุณพ่อไม่ได้เรียนหนังสือ ก็เลยอ่านไม่ได้ ก็เขียนได้แต่ชื่อตัวเอง แต่เค้าก็สามารถฟังและโต้ตอบภาษาอังกฤษได้นะ พอจะงับได้เป็นคำๆ เพราะคุณพ่อเค้าจะขายของกับคนฝรั่ง"

"คือแม่แหม่มเคยบอกว่าส่วนหนึ่งของคนหูหนวกที่ยังไม่มีมาตรฐานหรือมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ก็เพราะความรู้ เนื่องจากการเข้าถึงความรู้ยากที่สุด ตาบอดก็มีหนังสือเสียง มีอักษรเบล ซึ่งมีไวยกรณ์เหมือนคนปกติ แต่คนหูหนวกมันไม่มีอะไรที่แบบว่าให้เค้าได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็กำลังคิดอยู่กับแม่ว่าเออ ทำยังไงดีนะที่จะอธิบายเรื่องความรู้ให้กับคนหูหนวกได้"
บทบาทการเป็นพิธีกร (ภาพจากเฟซบุ๊ก Pattaravadee Jinamusi)
นอกเหนือจากการมีบริษัทอีเวนท์ เรียลเอสเตท, เป็นนายหน้าค้าที่, จัดการกองทุน ฯ ถึงตอนนี้หญิงสาวคนนี้ก็ยังปรากฏผ่านหน้าจอให้ได้เห็นอยู่บ้างกับบทบาทของการเป็นพิธีกรช่อง "ทรูสปอร์ต" รวมถึงการรับหน้าที่เป็นพิกร Thai Deaf TV สถานีโทรทัศน์เพื่อคนหูหนวกแห่งแรกในประเทศไทยที่ก่อตั้งโดย อ.ศิวนารถ หงษ์ประยูร มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยออกอากาศทางโทรทัศน์รัฐสภาช่อง 10 ซึ่งการทำหน้าที่ดังกล่าวเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นอะไรที่ภูมิใจมากๆ

"ช่องเดฟทีวีออกอากาศมา 2 ปีแล้ว ตอนนี้พักอยู่ คือรายการมันจะเป็นซีซันค่ะ ปีแรกที่ทำก็คือเป็นรายการเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ต่อมาก็เป็นรายการพลเมืองดี ก็คือมีปีละครั้ง ครั้งละประมาณ 3 เดือน ส่วนซีซันใหม่กำลังจะมีต่อไป ก็คือเร็วๆ นี้ ซึ่งเอาจริงๆ นะตอนเป็นเอเอฟฯ คนก็อาจจะรู้จักพอควร แต่พอทำรายการนี้คนหูหนวกรู้จักแหม่มเต็มเลย คือดีใจมากที่มีรายการขึ้นมา"

"เพราะว่าเราอยู่กับคนหูหนวก เราอยู่กับพ่อกับแม่ เราอยากให้เค้ารู้ว่าละครมันพูดถึงอะไร บางทีรายการนี้มันดีมากเลยนะ แต่มันไม่มีภาษามือ มันไม่มีแม้กระทั่งซับ หนูว่ามันเป็นปัญหาใหญ่เลย อย่างหนูมีเพื่อนเป็นคนหูหนวกเขาบอกว่าเขาดูหนังฝรั่งอย่างเดียว ไม่ดูหนังไทย เพราะมันไม่มีซับ จริงๆ อยากให้ทุกช่องเลย เอาแค่เรื่องละครก็ได้ได้ค่ะ ไม่รู้จะยากไปหรือเปล่า แต่อยากให้มันขึ้นซับข้างล่างน่ะ อาจจะละครเทิดพระเกียรติหรือสารคดีก็ได้"

"หรือถ้ามีช่องล่ามอยู่ก็ขอที่มันใหญ่หน่อย ไม่ต้องเอาเท่าออสเตรเลียดก็ได้ เพราะของเค้านั้นแบบว่าจอเท่ากัน แต่ขอใหญ่กว่าเดิม คือทุกหน่วยงานแหละ แค่เพิ่มพื้นที่ตรงนี้ให้เค้าคุณก็เพิ่มความสุขเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้เค้าแล้ว แล้วก็ถ้าทำรายการหรือมีช่องสำหรับคนพิการไม่ว่าจะลักษณะแบบไหน อย่าไปตีแผ่ชีวิตหรือไปมองคนพิการว่าเป็นคนชายขอบ ดูแบบน่าสงสารอะไรเลย หรือบางรายการก็ไปยกยอปอปั้นให้เลอเลิศเกินมนุษย์ ไม่ใช่"

"เอาความเป็นจริงเค้าก็เป็นคนเหมือนเรา มีความสามารถเหมือนกัน ที่สำคัญคืออย่าทำออกมาน่าเบื่อ (หัวเราะ) จริงๆ อันนี้ฟีดแบกจากคนหูหนวกขอเลยนะคะ คือพอเป็นรายการคนพิการปุ๊บ ตั้งความหวังเลยว่าความเซ็ง 99.99 เปอร์เซ็นต์ แบบว่าบางอันก็วงเวียนชีวิตเกินไป เฮ้ย ไม่ใช่ ก็เป็นไลฟ์สไตล์ของเค้าก็ได้ เคยเห็นชีวิตคนหูหนวกจริงๆ หรือเปล่า เค้าไปเที่ยวกันนะ เค้าแบบเฮฮากัน"

"แล้วบางอันถ้าความรู้หนักๆ เค้าก็ไม่เอาเหมือนกัน อย่างกฏหมายโน่นนี่นั่น คือต้องทำออกมาให้สนุก อย่างตอนเดฟทีวีที่เป็นซีซันท่องเที่ยว คนดูเยอะมาก เที่ยวตามกันสุดๆ เพราะเป็นความบันเทิงที่เค้าสัมผัสได้ง่ายสุด แล้วมันก็ไม่ได้ไปจ้ำจี้ใจดำว่าเป็นคนหูหนวกเป็นคนพิการ เราแค่สื่อสารเรื่องธรรมดาของคนธรรมดาในอีกภาคนึงเท่านั้น"

เคยให้สัมภาษณ์ใน "เจาะใจ" 2 ปีที่แล้วว่าอยากเปิดร้านซักรีดให้คุณพ่อ อยากตั้งสมาคมให้คุณแม่ ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหน?
"ร้านซักรีดสรุปพ่อไม่เอา แต่ว่าของแม่เริ่มทำบ้างแล้วเกี่ยวกับสมาคมช่วยเหลือสตรีหูหนวกและเด็ก ปัญหาอย่างนึงที่แม่เจอก็คือการทำร้ายร่างกายเด็กและสตรีคนหูหนวกเยอะมาก แม่เค้าทำที่อยุธยาก็ก่ออิฐถือปูนขึ้นมา เป็นห้องเล็กๆ ก็จะมีตู้ฟ้าไว้รับเรื่องร้องเรียน หรืออยากจะจองล่าม คือเวลาที่คนหูหนวกไปไปโรงพยาบาลหรือไปแจ้งความ ล่ามภาษามือมีความสำคัญมาก นี่คือภาระกิจหลักของเม่เค้า"

สุดท้ายมีอะไรที่คนหูหนวกเค้าอยากจะฝากมาถึงคนหูปกติบ้างมั้ย?
"อย่างหนึ่งที่อยากฝากคือให้สังคมทั่วไปให้เข้าใจว่าคนพิการไม่ว่าจะพิการอะไรว่าเค้าไม่ได้แปลกแยก ให้มองเค้าเป็นคนธรรมดาปกติ นั่นล่ะค่ะคือสิ่งที่เค้าต้องการ แล้วก็อยากจะฝากถึงคนพิการว่าจริงๆ แล้วคุณมีศักยภาพเหมือนคนทั่วไปนะ หรือบางทีคุณมีข้อได้เปรียบด้วยซ้ำ เพราะเมื่อคุณด้อยอย่างหนึ่งคุณต้องเด่นอย่างหนึ่ง ธรรมชาติมักสร้างมาอย่างนี้"

"สิทธิเศษที่คุณได้คุณใช้ให้เต็มที่ แต่อย่าเรียกร้องให้เกินความพอดี บางคนก็จะเรียกร้องความเท่าเทียม บางทีเท่าเทียมก็แล้วก็จะเอามากกว่าเพราะรู้สึกว่าตัวเองพิการ จริงๆ ไม่ว่าจะพิการหรือไม่พิการความรู้สึกในความเท่าเทียมในความยุติธรรมมันมักจะเกิดขึ้นเมื่อมันถูกใจเรา คือสิ่งเหล่านี้มันจะมีก็เมื่อคุณคิดว่ามันมี ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ไม่เกี่ยวกับเสียง ไม่ใช่ร่างกาย อยู่ที่ใจ..."


กำลังโหลดความคิดเห็น