“โฉมฉาย” นักแสดงรุ่นใหญ่เครียดวัยทองเล่นงาน จู่ๆ ความจำหดหาย จำบทไม่ได้ดีเหมือนเดิม โต้ข่าวเป็นอัลไซเมอร์จนต้องออกจากวงการ เผย ยังรับงานแสดงอยู่แต่ขอบทพูดที่น้อยลงไม่ใช่ 4 - 5 หน้า
เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมาหลายสิบปี แต่จู่ๆ “โฉมฉาย ฉัตรวิไล” นักแสดงมากฝีมือก็หายไปจากวงการ ท่ามกลางกระแสข่าวป่วยเป็นอัลไซเมอร์จำบทละครไม่ได้ จำต้องลาวงการบันเทิง ด้านเจ้าตัวก็ยอมรับว่า จำบทไม่ได้ดีเหมือนเดิม เมื่อก่อนอ่านแล้วก็เข้าใจ แต่ตอนนี้ต้องเอาบทเป็นไปท่องเครียดเป็นภาระให้คนอื่น ก็เลยขอเบรกงานและเลือกรับงานที่มีบทพูดน้อยลง
“ถ้าถามว่าเราอ่อนแอถึงขนาดทำอะไรไม่ได้ไหม มันไม่ใช่ เพียงแต่ว่าเรารู้สึกว่าเมื่อก่อน การที่เราได้เล่นละครทำงานอยู่ในวงการนี้ เรามีความสุขมาก เรามีความกระตือรือร้นในการทำงาน ขนาดตอนที่เป็นเมโนพอส (โรควัยทอง) เรายังรู้สึกกระตือรือร้นมากกว่านี้ แต่ตอนนี้เรากลับรู้สึกว่า เหมือนเรากำลังเป็นโรควัยทองตอนอายุ 66 ปี เราเลยรู้สึกว่า เฮ้อ...ไม่ได้มีความรู้สึกในการทำงานเหมือนเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้รับละครนะ เพียงแต่ว่าอย่าส่งบทละครที่ยาว 3 - 4 หน้า มาให้เราเล่น เราแค่รู้สึกว่าอยากเล่นสบายๆ บ้าง”
“ย้อนกลับไปเมื่อก่อน เราเป็นคนที่ไม่ค่อยจะรับเล่นบทรับเชิญนะ เรารู้สึกว่าถ้าบทไม่เยอะ เราจะไม่ค่อยอยากเล่น แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าขอความกรุณาผู้จัดว่าให้เราเล่นบทรับเชิญเถอะ คือความรู้สึกตอนนี้เหมือนเรามาเป็นโรควัยทองตอนนี้ทั้งที่น่าจะเป็นตั้งแต่ตอนอายุ 50 ปี ความรู้สึกมันหมดเรี่ยวหมดแรงที่จะเล่นละคร แต่ถ้าให้เราไปออกรายการหรือทำอะไรที่ง่ายๆ เรายังทำได้ มันอาจเป็นความรู้สึกของการอิ่มตัวด้วย เมื่อก่อนนี้ เวลาที่เราอ่านบทละคร อ่านแป๊บเดียวเราจำได้หมดเลย ทุกอย่างอยู่ในหัวหมด แต่เดี๋ยวนี้ถ้าสมมติว่าต้องมีถ่ายละครในตอนเช้าอีกวัน ขอโทษนะเราจะต้องนอนท่องบททั้งคืน ซึ่งเราไม่เคยเป็นแบบนี้ เราเลยมีความรู้สึกเหมือนเสียความมั่นใจ”
“ตลอดเวลาที่อยู่ในวงการเรารู้สึกว่าเราไม่เคยเป็นภาระใคร ถ้าไปถ่ายละครแล้ว แล้วถูกสั่งให้เทคอยู่ตลอดเวลาไม่เคยเป็นเลย ทุกอย่างจะต้องเป๊ะ แต่เดี๋ยวนี้เราต้องมานั่งท่องจำบท เรากลัวว่าถ้าต้องเล่นแล้วเทคบ่อยๆ ในกอง เป็นการถ่วงเวลาของคนอื่น ซึ่งนักแสดงแต่ละคนก็จะบอกว่า แม่ไม่เป็นไรเลย คนอื่นไม่เป็นไร แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นมาก แค่โดนเทคครั้งเดียว เราก็รู้สึกว่าเสียกำลังใจไปหมดแล้ว เพราะเมื่อก่อนเราไม่เป็นเพิ่งมาเป็นปีนี้ เมื่อสักประมาณ 5 - 6 เดือน ช่วงประมาณกลางปีเพราะตอนต้นปียังจำได้อยู่เลย แต่อยู่ดีๆ ก็เป็นขึ้นมาเฉยเลย ยิ่งพอมีข่าวว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต เรายิ่งรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไปหมดเลย”
“ตอนที่เป็นช่วงแรกๆ คิดจะออกเลยนะ เพราะว่าหนึ่งเรารู้สึกว่าหมดเวลาของเราแล้ว เราคงต้องพักแล้ว เหมือนเราเคยวิ่งออกกำลังกายได้ แต่อยู่มาวันหนึ่งเราก็วิ่งไม่ไหว ทำให้เรามีความรู้สึกว่าไม่อยากฝืนตัวเอง ไม่อยากฝืนศักยภาพของตัวเองด้วย แล้วเราเป็นคนที่เวลาทำงาน ทุกอย่างต้องเป๊ะ เรารักษาเวลาและมีวินัยดีมาก แต่พอเราเป็นแบบนี้ เรารู้สึกไม่อยากเป็นภาระให้กับใคร ตอนนี้ก็ปรึกษาหมอตลอด ตอนนี้หมอก็ให้ทานวิตามินบำรุงสมอง วิตามินตั้งแต่ A - Z (หัวเราะ)”
ยังไม่ลาออกจากวงการบันเทิง แต่ขอรับบท ที่ไม่ต้องพูดยาวๆ เป็นหน้าๆ
“เราจะกลัวทำไม ในเมื่อการรับงานขึ้นอยู่กับเรานัดสินใจ ถ้าเราพักแล้วเรามีความรู้สึกว่า ตอนนี้เราเริ่มเหงาแล้วนะ เราก็กลับมาทำได้ ตอนนี้มีคนมาถามว่าเราจะไม่เล่นละครแล้วเหรอ เราก็บอกว่าไม่ใช่ ยังไม่ได้ทิ้ง เพียงแต่ถ้าบทยาวๆ เราก็ไม่ไหว แต่ทุกวันนี้เรื่องการปรับตัวต่างๆ ของเราก็ดีขึ้น เพราะเรื่องแอ๊คติ้งเราไม่มีปัญหาเลย เรายังสามารถเป็นนักแสดงได้ เพียงแต่มีปัญหาเรื่องการจำบทยาวๆ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราก็มีวงเล็บกับทางผู้จัดว่า อย่าให้เราพูดเยอะนะ ต่อให้เป็นบทถลกผ้าถุงมาด่าเราก็ทำได้ เพียงแต่ว่าอย่าให้ต้องมาด่าบทยาวเป็นหน้าๆ”
“ก็คุยกับทุกคนในวงการที่วัยเดียวกัน ทุกคนก็จะบอกว่า อย่าไปคิดมาก แค่เรายังมีความรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำอะไรที่เกี่ยวกับการกุศล ยังรับงานต่างๆ ได้อยู่ไม่ถึงขนาดเก็บเนื้อเก็บตัว ยังไม่ถึงขั้นลาออกจากวงการ แต่อยากพักละครที่บทยาวๆ เพราะว่าระยะที่ผ่านมาเดือนสองเดือน ด้วยเหตุที่เรามีเรื่องเศร้ากันด้วย แล้วงานทุกอย่างก็จะต้องหยุดหมด และหลังจากที่หมดช่วงเวลานี้ไปแล้ว ทุกคนก็ถามแม่จะออกเหรอ เราก็บอกไม่ออก แต่ให้แม่เล่นน้อยๆ ละกันนะ”
“ก็ต้องกราบขอบพระคุณทุกคนมากๆ เป็นอย่างสูงเลยค่ะที่อยากให้เราทำงานในวงการ เพียงแต่ว่าแม่เป็นคนที่รักษาคุณภาพการแสดงมากๆ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ติดตัวมาชั่วชีวิตของแม่คือจะเป็นนักแสดงที่ไม่สร้างภาระหรือสร้างปัญหาให้ผู้จัดหรือผู้ร่วมงานทุกคน ถ้าใครจ้างแม่แล้วต้องได้คุณภาพ 100% มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่ว่ากลัวเขาจะไม่จ้างนะจริงๆ ไม่เคยคิดว่าจะอยู่นานขนาดนี้ แต่ความที่เราอยู่มาขนาดนี้ อยู่มาจนบัดนี้ เมื่อก่อนพยายามเรียนหนังสือ ทำงานโรงแรม เขาให้เราไปเป็นรีเซปชั่น แต่งานเราเยอะ ทำทุกอย่างไม่ใช่แค่เล่นหนัง แต่เล่นละครทีวี ละครก็ชอบ แฟชั่นก็เดิน ลิเก ลำตัด เพราะคำว่านักแสดงไม่ได้จำกัดแค่เธอจะต้องแสดงละครอย่างเดียว อะไรที่เป็นศิลปะเราต้องทำให้ได้ แล้วเราโชคดีตรงที่ว่าอะไรที่ไม่เคยทำอย่างลำตัด หมอลำ พอเราได้ฟังแล้วเราก็ทำได้ ถึงได้อยู่มาขนาดนี้ ที่ทำเพราะอยากอยู่ในวงการเหรอ ไม่ใช่นะ เรารักที่จะทำทุกอย่างในวงการนี้ แต่ว่าถ้าคนเขาไม่ยอมรับเรา ผู้จัดเขาไม่ยอมรับเรา เราจะไปหน้าด้านอยู่ได้ยังไง”
ไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์แค่ขยันลดลง
“ไม่ถึงขั้นอัลไซเมอร์แค่ความขยันลดลงกับการที่เราจะต้องท่องบท มันจำได้แต่ต้องท่อง ซึ่งเมื่อก่อนเราแค่อ่านก็จำได้แล้ว ตอนนี้พอเราต้องเริ่มท่องสมมุติพรุ่งนี้เราต้องไปถ่ายคืนนี้เราต้องเริ่มท่องแล้ว ต้องเป๊ะๆ เพราะเราเป็นคนที่ห่วงเรื่องคุณภาพการแสดงของเรามาก”