“วุ้นเส้น วิริฒิพา” ชักอยากเห็นหน้าคนเขียน กุข่าวเลิก “ชาคริต” พันเปอร์เซ็นต์ โต้นั่งรถกลับกับสามีแต่ขอลงกลางทาง ซัดแรงเป็นข่าวที่ตอแหล เหน็บสงสัยมาอยู่ใต้เกียร์ ยันถ้าไม่รักจะไม่ทนอยู่ด้วย ไม่ได้ใช้ชีวิตคู่แบบหวานอมขมกลืนสร้างภาพ เพราะไม่ใช่สไตล์ เชิดใส่ไม่สนใครจะรอสมน้ำหน้า เผยแยกเตียงนอนไม่ใช่ปัญหาชีวิตคู่ ส่วนจะนอนกันตรงไหนเป็นเรื่องภายในครอบครัว
หลายคนสังเกต ตั้งแต่มีข่าวครอบครัวมีปัญหาต้องแยกบ้านนอนกับสามี “ชาคริต แย้มนาม” สาว “วุ้นเส้น วิริฒิพา แย้มนาม” ก็ดูจะสวยวันสวยขึ้น กลับมาใช้ชีวิตเซ็กซีนุ่งสั้นเหมือนก่อน ๆ เมื่อถามถึงการกลับมาเข้มแข็ง สาววุ้นเส้นเผยที่ตนกลับมาสดใสได้เพราะตอนนี้ไม่มีเรื่องเครียดให้ต้องกังวลใจแล้วมากกว่า
“อารมณ์ดีก็เลยลงรูปดี ๆ ข่าวต่าง ๆ ที่เข้ามาไม่ได้ทำให้เราเครียด อย่างที่รู้ทุกครอบครัวมันก็มีปัญหา จุดที่เครียดเราผ่านมาแล้ว ตอนนี้เป็นจุดที่ทุกอย่างนิ่ง ๆ เราได้พักผ่อนเยอะขึ้น คิดอะไรน้อยลง ไม่ต้องไปปวดหัวกับเรื่องอะไรบางอย่าง มันก็ดีขึ้น วุ้นว่าคนเราจะดีมันขึ้นอยู่ที่ข้างในไง ถ้าเราได้พักผ่อนไม่เครียดเราก็จะกลับมาโอเคเอง กระแสอะไรทำลายวุ้นไม่ได้ค่ะ”
“โลกโซเชียลตอนนี้มันควบคุมไม่ได้อยู่แล้ว ใครจะเขียนอะไรก็ได้ ยิ่งเราไปอ่านไปอะไรมันยิ่งทำให้เราแย่ มันไม่คุ้มกับงานกับอาชีพเราที่ต้องสร้างความสุขให้คน แล้วเราเองก็เข้มแข็งขึ้นมาแล้วด้วย วุ้นเลยรู้สึกว่าวุ้นไม่สนใจ วันนี้เขียนถึงเราเดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็เขียนถึงคนอื่น แล้ววันหนึ่งคนก็ลืมไป มันเป็นสัจธรรม”
ยันไม่ใช่ความจริงหลังมีเพจออกมาแฉว่าไปทานข้าวเพราะผู้ใหญ่นัดให้ไกล่เกลี่ย หลังทานข้าวเสร็จนั่งรถกลับบ้านคันเดียวกันแต่สุดท้ายตนทนร่วมคันไม่ไหวขอลงกลางทาง
“ไม่มีเลยค่ะ อันนี้ตอแหลมากเลย ไม่มีแบบนั้น ร้านนั้นเป็นร้านอาหารของพี่คริต แล้วก็เป็นร้านของเราด้วย เรามีหุ้นอยู่ บ้านเราก็อยู่ซอยนั้น วันนั้นเดินกลับบ้านนะคะ ไม่ได้ใช้รถเลย เดินกลับคอนโดปกติ ไม่มีอะไร งงมากว่าตอนนี้มันไปได้ขนาดนี้เลยจริงเหรอ เหมือนมานั่งอยู่ใต้เกียร์ หรือว่าขับรถตามมาค่ะ”
“มันไม่ใช่นะ วันนั้นไม่มีใครใช้รถ ก็คิดว่าเราอย่าไปไร้สาระกับพวกเขาเลยเพราะเขาสามารถเขียนอะไรขึ้นมาก็ได้จริง ๆ แต่ถ้าเราทนไม่ไหวเราก็คงจะต้องใช้กฎหมายจัดการกับพวกนี้บ้างถ้ามันมีอะไรที่เกินเราจะรับได้ แต่พอดีว่าวุ้นเป็นคนที่มีความอดทนสูง แต่ถ้ามันถึงจุดที่ไม่ได้จริง ๆ ก็คงจะต้องมีฟ้องมีอะไรกันบ้าง พี่คริตเขาก็ไม่มานั่งเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ เรารู้ว่าเรื่องอะไรที่มันมีสาระและไม่มีสาระ”
ไม่เคยใช้เพื่อนเป็นเครื่องมือยืมลงรูปสร้างภาพว่ารักกลับมาหวาน ลั่นตนด้วยซ้ำที่บอกเพื่อนไม่ต้องลงหรอก
“อันนี้ไม่มีเลย ยังถามเพื่อนเลยว่าเอาลงทำไม เพื่อนที่ไปด้วยเขาเอาไปลงซึ่งวุ้นเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะลง วุ้นก็บอกเขาไปแล้วว่าอย่าลงเลย เรารู้อยู่แล้วว่าถ้าลงไปแล้วคนจะเอาไปพูดว่าอะไร เราจะลงไปเพื่อให้คนมานั่งด่าเล่นทำไม เรารู้อยู่แล้วว่าโลกโซเชียลมันเป็นยังไง เราก็ไม่อยากจะไปยุ่งอะไรมาก วุ้นไม่อยากอยู่ในเกมของโลกโซเชียล หลัง ๆ เราก็บอกเพื่อนเราว่าไม่ต้องลงหรอก ให้ดูกันเป็นส่วนตัวดีกว่า”
“เพื่อนเองเขาก็หวังดีไง ไม่ได้คิดอะไรเยอะ เขาเห็นว่าน่ารักดี นาน ๆ ทีจะมีภาพแบบนี้ เขาก็ลงเอาใจช่วย เราก็ไปว่าเขาไม่ได้ด้วย”
ซัดอยากเห็นหน้าคนเขียน กุข่าวเลิก “ชาคริต” พันเปอร์เซ็นต์ เหน็บสงสัยมาอยู่ใต้เกียร์
“อยากเห็นหน้าคนเขียนเลยเนอะ (หัวเราะ) วุ้นก็คงไปว่าอะไรเขาไม่ได้หรอก เขาก็มีสิทธิ์ เขาอาจจะดูตามเกมของแต่ละคน เดาตามไลฟ์สไตล์หรือไอจีต่าง ๆ แต่วุ้นแค่รู้สึกว่าคนมาดูไอจีวุ้นแล้วเห็นว่าไม่มีรูปคู่ หรือวุ้นอยู่แต่กับเพื่อน ถามหน่อยแล้วจะให้วุ้นอยู่คนเดียว ร้องไห้อยู่ใต้เตียงหรือยังไง คนเราก็ต้องเลือกที่จะมีความสุขกันได้นะ ถามหน่อยตอนเราเศร้าใครจะมานั่งถ่ายรูปดรามาลงไอจี ถ้าเป็นแบบนั้นทุกคนคงรู้กันนานแล้ว”
“อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหม่ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องที่เกิดนานแล้วแต่เพิ่งมีคนรู้ เราเองก็วางตัวอย่างที่เราต้องการมาตลอด มันก็เรื่องส่วนตัวเนอะ ถ้าวันนั้นมันมีเรื่องนี้ออกมาเราเองก็ไม่ได้จะปฏิเสธอะไร”
ย้ำไม่ได้ใช้ชีวิตคู่แบบหวานอมขมกลืน จะเลิกก็เลิกไม่ได้เพราะแคร์กระแสสังคมที่ยังอยากจะให้รักกัน
“คือถ้าวุ้นยังรักอยู่วุ้นก็อยู่ แต่ถ้าวุ้นไม่รักแล้วอะไรก็ฉุดวุ้นไว้ไม่ได้ ถ้าไม่ไหววุ้นก็คงทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องเอาตัวเองเป็นหลัก ฉันจะไปจากคน ๆ หนึ่งแล้วโลกนี้จะแตกเหรอ วุ้นว่ามันไม่ใช่ แต่วุ้นแคร์ตัวเองว่าเราจะเป็นอะไรรึเปล่าถ้าเราเกิดทนไม่ไหวขึ้นมา”
“ถามว่าวุ้นแคร์คำพูดคนที่เคยพูดว่าอีกไม่นานเดี๋ยวคู่เราก็เลิกกันหรือเปล่า ตอนแต่งงานเลยยังทนอยู่วุ้นไม่แคร์นะ ไม่ใช่ว่าวุ้นเชิดใส่หรืออะไรนะ วุ้นเชื่อว่าคนที่เขาเชื่อในความจริงหรือคนที่เขามีวิจารณญาณในการเสพข่าวเขาจะรู้ว่าถ้าจริงเดี๋ยวดาราเขาก็ออกมาบอกเอง มันจะเสียเวลาไปคบกันทำไม คบกันก็ยิ่งแก่ขึ้นเรื่อย ๆ อีก จะมาสร้างภาพกันทำไม แต่คนที่เขาอยากจะคิดแบบนั้นเราก็ให้เขามโนไป ถ้ามโนแล้วมีความสุขก็ให้เขาทำไปเถอะค่ะ”
แจงการใช้ชีวิตคู่สามีภรรยาจะนอนด้วยกันหรือแยกห้องนอนนั้นมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละครอบครัว สำหรับคู่ตนตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาชีวิตคู่
“เรารู้แต่แรกแล้วว่าพี่คริตเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย คิดเยอะ เหมือนเราเองจะเป็นผู้ชายแล้วเขาจะเป็นผู้หญิงเสียมากกว่าเราก็บอกเดี๋ยวก่อน ถึงเราจะแมนกว่าแต่เราก็เป็นผู้หญิงนะ ให้โอกาสฉันได้อ่อนแอเหมือนคนอื่น ๆ เขาบ้าง ไม่ใช่จะให้ฉันสตรองอย่างเดียวก็ไม่ไหวนะ บางทีฉันก็มีช่วงที่สตรองไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ก็โอเคค่ะ ถ้ายังทำได้อยู่ก็ทำ”
“ถามถึงความสัมพันธ์เราตอนนี้ทุกอย่างมันก็ดีขึ้น แต่เรื่องบางอย่างเราก็ไม่สามารถมานั่งเล่าได้ แต่ละวันมันก็มีเรื่องของมันแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าเราจะคุยอะไรกัน โดยรวมคือมันดีขึ้น เราเองก็ใช้ชีวิตอยู่บ้านเดียวกันตลอด แต่จะมีแค่บางช่วงที่เรามีปัญหาเราก็อยากจะเงียบ ๆ ไป ซึ่งที่ผ่านมาเราเองก็ไม่ได้นอนเตียงเดียวกันอยู่แล้ว พี่คริตเขาจะนอนที่โซฟา เขาจะเป็นคนที่นอนดึกถึงเกือบเช้า แล้วเขาก็จะหลับไปเอง”
“เราเองนอนเร็วกว่าเขา ผู้ชายเขาอยากจะนอนตรงไหนก็นอน วุ้นไม่ได้ซีเรียสเรื่องตรงนี้ ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาชีวิตคู่ เอาที่สบาย วันไหนจะนอนไหนมันก็เป็นเรื่องของคนในครอบครัวป่ะ เอาจริง ๆ มันเรื่องของครอบครัวใครครอบครัวมัน ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วกัน”
เผยแม่หนุ่ม “ชาคริต” ไม่ได้อาการน่าเป็นห่วงมาก ส่วนบ้านของตนไม่มีปัญหากับข่าวต่าง ๆ ที่ถาโถมมา
“แม่เขาไม่น่าเป็นห่วงอะไรนะวุ้นว่า แม่เขาดีขึ้นแล้ว เรื่องข่าวกับแม่เขาวุ้นว่ามันไม่ได้อยู่ที่แม่เขาหรอกแต่อยู่ที่คนเอาไปบอกมากกว่า แม่เขาไม่รู้เรื่อง สมองเขาจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว วุ้นไม่รู้ว่าใครเอาไปบอกแม่เขา แต่นั้นก็เป็นหน้าที่ของพี่คริตเพราะเป็นฝ่ายญาติเขา วุ้นไม่ไปยุ่งมาก”
“แค่บอกว่าไม่ต้องกลัวสื่อหรอก สื่อไม่ได้เขียนอะไรรุนแรง น่าจะใครมาบอกปากต่อปากรึเปล่า แม่เขาไม่เล่นมือถือด้วยซ้ำ ส่วนบ้านวุ้นเองก็ไม่มีอะไร พ่อแม่วุ้นแข็งแรงมาก ใครมาถามมาพูดอะไรพ่อแม่วุ้นตอบได้หมด เขาก็จะตอบเท่าที่เขาอยากจะตอบ เป็นครอบครัวที่ไม่กดดันอะไรลูกเลย บ้านวุ้นเองรู้ปัญหาครอบครัววุ้นมาตลอด แต่เขาก็ไม่ได้อะไร เอาว่าชีวิตจริงเราสตรอง ข่าวหรือใครจะพูดอะไรมันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก วุ้นเองผ่านจุดที่แย่มาแล้วไง กว่าจะมาพูดมาเป็นอย่างนี้ได้วุ้นก็ผ่านจุดที่ไม่มีใครเคยเห็นนะ”