xs
xsm
sm
md
lg

สะท้อนประเด็นร้อน! เกิดเป็น “มนุษย์เมีย” อย่าเสียเรื่อง “งานบ้าน”!!? [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“แตงโม” ลูกชายอดีตนักฟุตบอลชื่อดัง ประกาศปิดฉากชีวิตคู่ หลังจับมือ “เฟิร์น” เข้าประตูวิวาห์ได้เพียง 8 เดือน!! ย้ำชัดไม่มีมือที่สาม แต่ที่ไปไม่รอดเพราะเราเข้ากันไม่ได้ แม้ไม่บอกเหตุผลแน่ชัดว่าไลฟ์สไตล์ของทั้งคู่ไม่ตรงกันตรงไหน แต่เทปรายการเจาะปัญหาชีวิตคู่ที่เคยไปให้ปากคำกันเอาไว้ กลับกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ถูกโลกออนไลน์ขุดขึ้นมาวิจารณ์ ซึ่งปัญหาข้อใหญ่ในชีวิตคู่ขณะนั้นก็คือ ฝ่ายชายมองว่า ฝ่ายหญิงไม่มีความเป็น “แม่ศรีเรือน” เอาเสียเลย!!


 

“ให้หาผัวเป็นแท็กซี่” นั่นแค่แซว นอกนั้นมีส่วนจริง!!

“เราคบกัน 2 ปี รู้จักเป็นเพื่อน 15 ปี... ไม่มีใครแต่งแล้วอยากให้อีก 8 เดือนเลิก ถามว่าเหตุผลเพราะอะไร ขออนุญาตจริงๆ อาจไม่ได้พูดถึงรายละเอียด เพราะเฟิร์นไม่เคยว่าแตง แตงไม่เคยว่าเฟิร์น แต่ทางเลือกที่ดีที่สุดของคนสองคนที่ไปด้วยกันจะเป็นแบบไหน 
 
เรื่องการเปลี่ยนสถานะผ่านการพูดคุยมาพอสมควร ปรึกษามาว่าจะแก้ไขยังไง ทุกคู่ไม่มีใครพูดครั้งเดียวแล้วเลิก เราต่างคนต่างปรับ แต่อย่างที่บอก เป็นสามีภรรยาทำให้เห็นว่าแต่ละคนเป็นแบบไหน แต่ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้มีมือที่สาม เรื่องมือที่สาม แตงอยู่กับเฟิร์นทุกวัน ไม่มีแน่นอน
 
“แตงโม-พงษ์พิสุทธิ์ ผิวอ่อน” ลูกชายอดีตนักฟุตบอลชื่อดัง “ตุ๊ก-ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน” ออกมาเปิดใจต่อสื่อมวลชนครั้งล่าสุด หลังถูกกระแสรุมวิจารณ์ยับเกี่ยวกับปมชีวิตคู่ วิเคราะห์สาเหตุที่เลิกกันว่า น่าจะมีมูลเหตุมาจากเรื่องเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึก จากข้อกล่าวหาที่ว่าอดีตภรรยา “เฟิร์น-เกวรินทร์ จิตตั้งตรง” ไม่มีความเป็นแม่ศรีเรือนมากพอ

และนี่คือถ้อยคำบางช่วงบางตอนที่ฝ่ายชายได้ให้ปากคำเอาไว้ ผ่านรายการวาไรตี้ ตัดสินปัญหาความรักที่ใช้ชื่อว่า "คดีสีชมพู" ซึ่งกำลังกลายเป็นคลิปแชร์กันอย่างล้นหลามอยู่ในขณะนี้


“ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลากลับเข้าบ้านมา พอเฟิร์นถอดรองเท้าเสร็จก็จะวางแหมะไว้อย่างนั้น ไม่เก็บเข้าที่ กวาดบ้านเขาก็พอทำได้ (ทำท่าล้อเลียนว่ากวาดแบบเขี่ยๆ) แถมเขายังกลัวไม้ถูพื้นด้วย แค่เห็นก็ไม่ได้แล้ว

เคยทะเลาะกันถึงขั้นร้องไห้เพราะเรื่องล้างจาน ก็เลยตกลงกันว่า ให้เขามีหน้าที่ล้างจาน มันก็เลยโอเคขึ้น และเขาก็เป็นคนที่ล้างได้ดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยเจอมาเลย คือสามารถเอาข้าวเก็บไว้กินได้อีกมื้อหนึ่งเลย เพราะจะเหลือข้าวตามขอบจาน-หลังจานให้ บางทีมีซอสเหลือให้ด้วย

บางครั้ง เขาต้องบินไปทำงาน 3 วัน ผมซักผ้า 2-3 รอบ กวาดบ้าน ถูบ้านเสร็จ พอเขากลับมา ไม่มีเลยนะที่จะชมว่าบ้านสะอาดจัง มาถึงก็เดินขึ้นไปนอนเลย

ที่เป็นปัญหามากคือ เรื่องเก็บข้าวของไม่เป็นระเบียบ เราจะมีโต๊ะเป็นบาร์ยาวๆ เอาไว้ให้วางพักของชั่วคราว ให้วางสักแป๊บก็พอ แต่เขาจะชอบเอากระเป๋า เสื้อผ้า เอาอะไรต่อมิอะไรไปวาง ไม่รู้เอาไปวางทำไม

หรืออย่างเรื่องเสื้อผ้าก็ไม่แยก ผมซื้อตะกร้ามาแยกผ้าให้ ผ้าสี ผ้าขาว ผ้าดำ เขาก็ไม่สามารถจะแยกมันลงถังได้ หลังๆ เลยแยกผ้าเป็นตะกร้าของเขากับของผม เขาไม่แยกไม่เป็นไร เราไม่อยากจะไปจุกจิกมาก แต่ปรากฏวันรุ่งขึ้น นอกจากจะไม่แยกแล้ว ยังเอาผ้ามาใส่ตะกร้าเราอีก แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องแยกผ้าแล้วครับ ที่เขาต้องแยกมีอย่างเดียวคือ... แยกกับกูเลยเนี่ยแหละ!!"

ถึงแม้คำให้การทั้งหมดจะเป็นไปเพื่อความสนุกสนานตามรูปแบบของรายการ และลักษณะคำพูดของฝ่ายชายจะดูเสียดสีประชดประชันไปมาก แต่ก็เป็นไปเพื่อการสร้างสีสันและความบันเทิงให้แก่ผู้ชมเท่านั้น รวมถึงประเด็นที่แก้ต่างถึงสาเหตุที่ไม่ทำหน้าที่ไปรับ-ไปส่งอดีตภรรยา ที่ถูกหยิบมาวิจารณ์เละว่าเป็นคำพูดที่ไม่แมนเอาเสียเลย


“เรื่องไปรับ-ไปส่ง เวลาที่เขาบินกลับมาลงสนามบิน ผมตกลงกับเขาตั้งแต่ก่อนคบแล้วครับว่า ถ้าอยากจะคบแล้วให้ผมไปรับ คุณต้องหาผัวเป็นแท็กซี่!! เพราะถ้าเขาต้องลงเครื่องตอนตี 3 แล้วผมต้องออกไปทำงานตอนตี 5 เหตุและผลของการไปรับคืออะไร”

ยิ่งหลังจากคลิปรายการ “คดีสีชมพู” ซึ่งเคยออกอากาศครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 21 เม.ย.ปีที่แล้ว ถูกนำมาโพสต์และแชร์ต่อๆ กันไป ยิ่งทำให้เหล่านักสืบไซเบอร์หยิบมาโยงเรื่องปัญหาชีวิตคู่ของทั้งสองคนหนักเข้าไปอีก

โดยเฉพาะกองเชียร์ฝ่ายหญิงที่ซัดหนักว่า “อดีตสามีมือใหม่” รายนี้ตัดสินคำว่า “แม่ศรีเรือน” สำหรับผู้หญิงยุคใหม่คับแคบเกินไป เพราะยุคปัจจุบันเรื่องการบ้านการเรือน เป็นเรื่องที่ทั้งสามีและภรรยาต้องช่วยกันแล้ว ไม่ใช่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใครคนหนึ่ง ถ้าฝ่ายชายไม่ยอมรับ-ส่งฝ่ายหญิง อ้างว่า “ให้ไปหาผัวเป็นแท็กซี่” ฝ่ายหญิงก็มีสิทธิจะไม่ทำงานบ้าน แล้วอ้างว่า “ให้ไปหาเมียเป็นคนใช้” ได้เช่นกัน!!





ทั้งนี้ ล่าสุด ฝ่ายชายได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณียิงมุกเรื่อง “หาผัวเป็นแท็กซี่” แล้วว่า ไม่ได้มีเจตนาหมายความอย่างที่พูดออกไปในรายการ แต่ที่ทำไปเพราะแค่ต้องการสร้างสีสันในรายการตามปกติของรูปแบบวาไรตี้เท่านั้นเอง

“ตัวรายการทุกรายการต้องทำข้อมูลขึ้นมา เป็นเรื่องพูดคุยในรายการ สุดท้ายแล้ว ในรายการต้องมีความสนุก แตงคุยกับเฟิร์นว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่เฟิร์นไม่ได้เป็นคนพูดเก่ง มันเป็นเรื่องแล้วแต่คนจะคิด แต่แตงกับเฟิร์นไลฟ์สไตล์อยู่ด้วยกัน ก็อยู่แบบนี้ และแตงก็ไม่เคยพูดว่าเธอไปนั่งแท็กซี่สิ มันแค่เป็นอรรถรสในรายการครับ

กลับบ้านไปก็ไม่ได้ทะเลาะกันเลย ยังนั่งขำอยู่ ถามว่ามีความจริงซ่อนอยู่ในเนื้อหาไหม ก็มีอยู่ แต่ขอร้องว่าไม่ใช่เฟิร์นไม่ทำ(งานบ้าน) อาจเป็นผมก็ได้”



ไลฟ์สไตล์ไม่ตรง ปรับไม่ลงมีแต่เลิก!!

“ผมเป็นคนนอนเร็ว เพราะต้องอ่านข่าวกีฬาช่วงเช้า ประมาณ 7 โมงครึ่ง ส่วนเขาตื่นไม่สายมาก 11 โมง (ประชด) ถ้าวันไหน เขาถึงบ้านตี 5 หรือบินลงมาถึงเที่ยงคืน ผมจะไม่ยุ่งกับชีวิตเขาเลย เพราะเขาทำงานมาแล้ว แต่มีเวลาพัก 4 วัน เขาตื่น 11 โมงทุกวันเลย

บางที ผมอยากจะไปทำบุญวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะผมชอบเข้าวัดทำบุญ ก็ทะเลาะกันอีก เพราะผมอยากทำบุญเช้า ผมอยากตักบาตร เขาบอกขออีกแป๊บนึง พระบ้านไหนจะรอแกตื่น ไม่มีพระที่ไหนรอ

และเวลาทำงานกลับมา ผมไม่ว่าเลยนะครับจะ "เจ็ตแล็ก (jet lag)" ยังไงก็ตาม แต่เรื่องทำงานแล้วไม่ให้ "เจ็ต" ด้วยเลยนี่สิ นี่แหละครับที่เป็นปัญหา!!”


แม้จะเป็นคำพูดทีเล่นทีจริงที่ออกมาจากปากของฝ่ายชายในรายการวาไรตี้ที่เน้นความบันเทิง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องราวทั้งหมดล้วนกลั่นมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงระหว่างใช้ “ชีวิตคู่” ร่วมกัน เช่นเดียวกับคำให้การของฝ่ายหญิงที่พูดถึง “ความเยอะ” ของฝ่ายชายเอาไว้อยู่เหมือนกัน สะท้อนให้เห็นว่าทั้งสองคนมีมุมมองชีวิตที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ

“เวลาไม่ได้ทำงาน เขาจะถามว่าพรุ่งนี้ไปไหน ทำอะไร สมมติว่าจะไปเยี่ยมพ่อแม่ที่สระบุรี เขาก็จะบอกว่าเขาจะเสร็จโมง 4 โมงครึ่ง ถึงบ้านไม่เกิน 5 โมงครึ่ง เหมือนเป็นคำบอกเล่าเบาๆ ว่า เราต้องกลับบ้านไม่เกิน 5 โมงครึ่งนะ

แรกๆ เขาก็จะบอกให้กลับเลยเถอะๆ จะได้ไปกินข้าวกันต่อ จนตอนหลังมีทะเลาะกัน หนูก็เลยบอกว่าไปหาพ่อแม่ยังจะต้องกำหนดเวลากลับด้วยเหรอ ไม่ได้ไปไหนเหลวไหลเลยนะ เขาก็อึ้งๆ ไป พอตอนหลังก็ตามใจเราให้กลับกี่โมงก็ได้

หรืออย่างเรื่องที่เขาบอกว่า เราวางของไม่เป็นระเบียบ อันนี้ขออธิบายค่ะ คือปกติแล้ว ผู้หญิงทุกคนต้องมีกระเป๋าถือ 1 ใบ หนูกลับมาก็วางไว้ที่บาร์ตรงนั้น เพราะยังไม่ได้ขึ้นห้อง ยังไม่ได้เอาของไปเก็บ เขากลับมา คำแรกที่เขาทักเลยคือ "กระเป๋าอะไรเนี่ย วางไว้เกะกะ มาวางอะไรไว้ตรงนี้" เชื่อไหม ทุกวันนี้นั่งดูทีวี หนูแทบจะเอากระเป๋าห้อยคอไว้อยู่แล้ว

ส่วนเรื่องล้างจาน ตัวเขาเองก็ไม่ล้าง ล้างแค่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคือหนูล้าง มีอยู่วันหนึ่ง หนูไปค้าง 1 คืนกลับมา จานกองเต็มเลย หนูก็ต้องมานั่งล้าง หนูเลยบอกเขาว่า วันไหนเราไม่อยู่บ้าน บี๋ช่วยล้างจานแทนหน่อยได้ไหม เขาก็ตอบว่าทำไมล่ะ หนูก็เข้าใจแล้วว่า เป็นคำตอบว่าไม่ล้าง


เคยถึงขั้นทะเลาะกันจนร้องไห้เลยนะคะเรื่องล้างจาน เขาก็ร้องไห้เหมือนกัน เขาบอกว่าเขาก็ไม่ถนัดทำงานบ้านจริงๆ แต่งานนอกเขาจะรับผิดชอบให้ดี จะไม่ให้ต้องลำบากเลย แต่เรื่องล้างจานนิดๆ หน่อยๆ ก็ช่วยเขาหน่อยแล้วกัน หนูก็เลยทำใจยอมรับว่า ในเมื่อเขาไม่ช่วย ก็ต้องปรับที่ตัวเองว่า ต่อไปหนูคงต้องล้างจานแบบนี้ไปตลอดชีวิต

ท้ายที่สุด อดีตภรรยาอย่าง “เฟิร์น” ก็ไม่จำเป็นต้องล้างจานไปตลอดชีวิตอย่างที่เคยบ่นเอาไว้ในรายการอีกต่อไปแล้ว เพราะทั้งคู่แยกทางกันเดินในฐานะ “คู่ชีวิต” เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงคำอธิบายตบท้ายที่ “แตงโม” ฝากเอาไว้แก่สื่อมวลชน

“ผมขอบคุณทุกกำลังใจ แต่พูดตรงๆ ชีวิตคู่มีอะไรเยอะแยะ ผมคุยกับเฟิร์น เราน่าจะคิดเหมือนกัน (เสียงสั่น) การได้รู้จักกัน ไม่เคยคิดว่ามีอะไรผิดพลาด (ร้องไห้) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป ก็ไม่มีใครควบคุมได้ ไม่มีใครรู้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมา เราสองคนไม่โทษกัน เพราะเราเสียใจกันทั้งคู่

ผมไม่ได้คิดเรื่องรักครั้งใหม่อะไรเลย ผมคิดเรื่องเดียวว่าจะเป็นแบบไหนต่อไป ที่เหลือก็ปล่อยว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา สุดท้ายไม่เกิดวันนี้ วันหน้าก็ต้องเกิด หลีกเลี่ยงไม่ได้

[ลูกผู้ชายหลั่งน้ำตา เมื่อครั้งออกมาชี้แจงเหตุจบชีวิตคู่ครั้งล่าสุด]



ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
 




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น