xs
xsm
sm
md
lg

เปิดซิงนางฟ้ารุ่นเยาว์! "จูน ชลฤดี" : รู้จักตัวตนเร็วก็เจอหนทางที่จะเดินเร็วขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถ้าเป็นการสอบ นอกจากจะ "สอบผ่าน" แล้ว ผลคะแนนที่ออกมาก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกได้ว่าสูงพอสมควรสำหรับงานแสดงครั้งแรกของสาว "จูน ชลฤดี อมรลักษณ์" กับละครเรื่อง “บ่วงรักสลักแค้น" ทางช่อง 8

ถึงตอนนี้เจ้าตัวอาจจะเป็นดาวรุ่งนักแสดงหน้าใหม่แต่กับบทสัมภาษณ์จากนี้ไป "นัดคุย" เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้สึกคุ้นเคยและได้เห็นตัวตนที่ชัดเจนของเธอมากขึ้นอย่างแน่นอน

"จูนเข้าวงการบันเทิงจากการที่ได้รับคัดเลือกให้ไปประกวดดาว-เดือน ของทางมหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งคณะกรรมการที่มาตัดสินในวันนั้น เขามาจากฝ่ายศิลปินที่พัฒนานักแสดงของทางช่อง 8 และพี่เขาก็เลยแนะนำให้ลองมาแคสงานดู และพอจูงมาแคสงานก็ได้รับเลือกให้มาลงละครเรื่องแรกในชีวิต "บ่วงรักสลักแค้น" ซึ่งเรื่องนี้จูงรับบทเป็นนางเอก นับว่าเป็นสิ่งที่กดดันมาก แต่พอได้มาแสดงจริงๆ ได้มาทำงานจริงๆ ก็ผ่านไปได้ด้วยดี"

"ถามว่ารู้ตัวเองว่าชอบการแสดงตั้งแต่เมื่อไหร่ จริงๆ ชอบการแสดงมาตั้งแต่มัธยมปลายแล้ว จูนเป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียน จูนสอบรำเข้าตอนมอต้น แล้วก็เป็นนักเต้นตอนมอปลาย และมาเป็นนักแสดงตอนเข้ามหาลัย เราอยู่ฝ่ายกิจกรรมมาตลอด พอโตมาก็เลยอยากเป็นนักแสดง และจูนเป็นคนที่ชอบดูละครด้วย"

"ครอบครัวสนับสนุนดีมั้ย สนับสนุนมากค่ะ เพราะคุณแม่ชอบเรื่องของการแสดงมาก คือคุณแม่เขาจะสนับสนุนเรื่องของกิจกรรมมาตั้งแต่เด็กแล้ว คุณแม่คอยส่งเสริมผลักดันจูนมาตลอด แม่ไม่อยากให้จูนเรียนอย่างเดียว แม่เขากลัวเราเครียด ก็เลยส่งเสริมให้เราเป็นเด็กกิจกรรม ที่บ้านถ้วยรางวัลจะเยอะมาก แต่พอเราเข้ามหาลัย พอมาเป็นดาว กิจกรรมมหาลัยเราก็หยุดมาสักพัก"

"ครอบครัวก็ไม่ถึงขั้นตีกรอบเท่านไหร่ ถ้าจูนชอบการแสดง เขาก็จะส่งเสริมเราไปทางนี้เรื่อยๆ แต่แม่เขาก็จะไม่ให้จูนทิ้งการเรียนอย่างเด็ดขาด ถามว่าหนักมั้ยเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย จริงๆ มันก็หนักนะ แต่พอดีคิวการถ่ายละครก็จะมีวันพฤหัสบดีถึงวันอาทิตย์ แล้วถ้ามีวิชาที่เรียนตรงกับวันทำงาน จูนก็ทำเรื่องย้ายไปเรียนจันทร์ถึงพุธแทน แต่ถ้านอกคิวหรือตรงกับวันที่เรียนจริงๆ จูนจะส่งใบลาและทำงานส่งอาจารย์ จะคุยกับอาจารณ์ว่างานตอนนี้ถึงไหนแล้วแบบนี้ค่ะ"

คำถามคลาสสิกที่เรามักจะถูกถามตั้งแต่เริ่มจำความได้คือโตขึ้นไป อยากเป็นอะไร หลายคนอยากเป็นหมอ เป็นครู เป็นแอร์โฮสเตส และหนึ่งในนั้นก็มีที่ “อยากเป็นดารานักแสดง” และนี่ก็เป็นคำตอบของ “จูน” ในวันที่คำนำหน้ายังเป็นเด็กหญิง เมื่อถูกถามเรื่องความฝันในวันข้างหน้า...

"เมื่อก่อนจูนฝันอยากเป็นนักแสดงอยู่แล้วค่ะ และแม่จูนเองก็ปลูกฝังว่าอยากให้เราเป็นนักแสดงอยู่แล้ว แต่ผู้ใหญ่เขาชอบสอนว่าคิดอะไรควรคิดให้ไกล วันหนึ่งอาจจะเป็นผู้จัดก็ได้นะ (หัวเราะ)"

"มีดาราในดวงใจมั้ยหรอ จริงๆ ชอบพี่ๆ ในวงการหลายคนเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่ไม่เคยเจอดารา แล้วพอมาเจอรุ่นพี่ในละครเรื่อง บ่วงรักสลักแค้น ก็ชอบพี่ "กี้ นิโคล เทริโอ" คือได้มีโอกาสมาแสดงด้วยกันเป็นแม่ลูก พี่เขาสวยมาก ยังหน้าเด็กอยู่แลย แล้วการแสดงของพี่กี้เขาเก่งมากจริงๆ อ่านบทแป๊ปเดียวเขาก็เข้าฉากแสดงได้เลย ถามว่ากดดันมั้ยกับการเข้าฉากกับพี่กี้ โอ้ยย...(ลากเสียงยาว) ตอนแรกกดดันค่ะ แต่กดดันแป๊ปเดียวเอง พี่เขาไม่หยิ่ง เฟรนลี่มากๆ เหมือนเป็นพี่น้องกันเลย"

หลายคนบอก "จูน ชลฤดี" หน้าคล้าย "ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา" รู้สึกอย่างไร?

"ก็ดีใจนะคะ ที่หลายคนมองว่าจูนหน้าเหมือนพี่ลิเดีย เพราะพี่เขาสวยมาก แต่ก็มีคนบอกว่าจูนหน้าก็คล้ายพี่นิโคลเวลาเข้าคู่ในละครที่ต้องเล่นเป็นแม่ลูกกัน ถามว่าส่วนตัวจูนคิดว่าหน้าตัวเองเหมือนใครหรอ น่าจะเหมือนพี่ลิเดีย (หัวเราะเสียงดังมาก) คิดว่าตัวเราเองสวยมั้ย ไม่สวยเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ (ยิ้มและหัวเราะ)"

โลกการแสดงเป็นแหล่งบ่มเพาะ “ทักษะ - ประสบการณ์”

"จริงค่ะ วงการบันเทิงให้เยอะเลยค่ะ คือหนึ่งเลยให้เรื่องของการทำงาน และเรื่องของการแสดง คือเรียนกับชีวิตของการทำงานจริงๆ มันไม่เหมือนกันเลย แถมให้ประสบการณ์ที่หลายคนอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำ แต่เรามีโอกาสได้ทำเราจึงได้เรียนรู้ ตรงนี้สำคัญที่สุดแล้ว อย่างเราไปเรียนเรื่องของวิธีการแสดงมันก็ต้องมีสอบ บางคนบทที่เราคิดว่าทำได้ แต่บางคนทำไม่ได้ เลยทำให้เรารู้สึกว่าพอเรามาใช้ชีวิตในเรื่องของการแสดงละครชีวิตจริง มันทำให้เราเก่งขึ้นกว่าคนอื่นๆ นิดนึง"

ยึดหลักมั้ยว่าต้องโด่งดังเหมือนดาราตัวแม่ของวงการ?

"ที่จริงอันนั้นก็เป็นความฝันหนึ่ง แต่ว่าเราก็ไม่ได้ยึดหลักว่าต้องดังอะไรขนาดนั้น มันก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไปที่เพ้อฝันว่าอยากจะโด่งดัง แต่จูนเองก็จะทำงานไปเรื่อยๆ และตอนนี้จูนก็ต้องเรียนด้วย แต่ถ้าจูนเรียนจบก็จะโฟกัสทีวงการบันเทิงให้เต็มที่ และก็อยากทำงานอยู่เบื้อง คือจูนคิดไว้แล้วว่าถ้างานเบื้องหน้าจูนไม่โอเค ก็อยากไปอยู่เบื้องหลัง เขียนบทละคร เพราะจูนเองก็เรียนทางนี้มาด้วย และก็เรียนเกี่ยวกับกำกับภาพยนตร์ เลยคิดว่าถ้าอนาคตไม่รุ่งหน้าจอก็ขออยู่เบื้องหลังแทน (ยิ้ม)"

ไม่หวั่นหากดัง และมีภาพหลุดที่สร้างภาพลักษณ์ให้เสียหาย

"ก็กลัวนะค่ะ แต่เราก็ไม่ได้ทำเรื่องเสียหายอยู่แล้ว เพราะเราคุ้มตัวเองได้ ปกติแล้วแม่ไปรับไปส่งที่มหาลัยตลอด ก็จะไม่ค่อยได้ไปไหน และส่วนใหญ่ไไหนก็จะไปกับแม่อยู่แล้ว กับเพื่อนก็มีบ้างนิดหน่อยเวลากินข้าว ขนาดนี้จูนขอแม่ไปนอนบ้านเพื่อน แม่ยังห้ามเลย แม่ห่วงและหวงมาก ก็จะไม่ค่อยมีเรื่องอะไรอยู่แล้ว และคุณแม่จะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยสมัยนี้ เดี๋ยวนี้อันตรายมันก็เยอะ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จูนเลยเลือกที่จะไม่ไปไหน และอยู่กับแม่ดีกว่า"

ยอมรับศัลยกรรม จมูก และเพิ่มไซต์หน้าอก
"จูนศัลยกรรมจมูกค่ะ เสริม และตัดปลายปีกที่จมูกออก แล้วก็มีทำหน้า และทำหน้าอกหลังจากที่เข้าวงการบันเทิงคะ ยุคนี้ใครๆ เขาก็ทำนะ มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว มีเงินเขาก็ทำกัน"

มุมมองความรักของนางเอกสาวคนนี้ "จูนเป็นคนที่ชอบผู้ชายที่มีเสน่ห์มากกว่าหล่อ และก็ชอบผู้ชายที่ขาวกว่าตัวจูน ชอบสูงตี๋ๆ หน่อยค่ะ หนุ่มๆ ในวงการเข้ามาจีบบ้างมั้ย ตอนนี้ก็ไม่มีค่ะ ถ้าให้เลือกสเป็กผู้ชายในวงการบันเทิง จูนชอบพี่ชาคริต แย้มนาม พี่เขาแสดงละครเก่งมาก เป็นธรรมชาติมากๆ ดูพี่เขาเล่นไม่เหมือนเป็นบล็อก คุยสนทนาปกติมาก"

ปิดท้ายอยากให้แง่คิดกับเด็กๆ หรือคนที่อยากโด่งดังในโลกโซเชียลอย่างไรบ้าง และนิยามคำว่า "สังคมก้มหน้า"

"จริงๆ ตัวจูนเองไม่ค่อยเล่นโซเชียลเท่าไหร่ แต่โซเชียลมันเป็นแหล่งที่ทำให้เรารู้ข่าวเร็ว และไปไวมาก แต่อีกมุมจูนก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนเสพข่าวทางโซเชียลมาก เพราะบางอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง อยากให้ทุกคนไปดูข่าวจากการสัมภาษณ์ดาราคนนั้นๆ มากกว่า"

"และสมัยนี้จูนว่าเปลี่ยนจากการเล่นโซเชียล คุยกันผ่านแอพ หันหน้ามาคุยกันดีกว่า หรือไม่ก็ไปกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา เราก็จะมีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น คือโซเชียลเสพเพื่อนำความรู้ได้ แต่ควรเสพไปในทางที่ถูกที่ควร บางเรื่องเรารู้ว่าอะไรดีไม่ดี เรารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว"

"อีกอย่างอยากให้ทุกคนใส่ใจคนรอบข้าง บางคนห่างจากพ่อแม่ คือจูนมีเพื่อนคนนึงแล้วเขาออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กๆ ทุกวันนี้เขาก็มาเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง เรียนไม่จบ เที่ยวเล่น อันนี้จูนไม่ได้ว่าเขานะ แต่พอดีรู้จักกับคนใกล้ชิด เราก็มีเตือนเขา แต่เขาไม่ฟังย้ายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ มันก็เป็นชีวิตของเขานะเพราะเราเตือนแล้วเขาไม่เชื่อ แต่ถ้าเราอยู่ใกล้กับพ่อแม่ น่าจะดีที่สุดเพราะว่าเขาจะสอนเรา และพาเราไปในทางที่ดี แต่บางคนอาจจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่เขาก็มีความรับผิดชอบนะ"










กำลังโหลดความคิดเห็น