Money Come First …..
เรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ ที่มีเรื่องเงินๆ ทองๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ เพราะอย่างนี้จึงมีดรามาบทใหม่ในวงการบันเทิงเกิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ระหว่าง “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” กับ “บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี”
เหตุเกิดเมื่อฝ่ายหลังโพสต์ข้อความผ่านไอจี เรียกร้องว่าลูกค้า Smash Gym ของตัวเอง ไม่ได้รับความสะดวกสบายในเรื่องของที่จอดรถ
"เรียนลูกค้าสแมชยิมทุกท่าน ทางสแมชยิมต้องขออภัยเรื่องที่จอดรถ ในช่วงเย็นและเป็นช่วงคนมาแน่น เนื่องจาก 911 By JT มีนโยบายกันที่ให้ลูกค้าซุมบ้าเข้าจอดเท่านั้น! ส่วนลูกค้าของยิมให้ไปจอดที่อื่น ทางเราพยายามเจรจาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังโดนเหมือนเดิม ส่วนเรื่องคนรับรถที่พูดจาไม่สุภาพ ทางเราไม่ได้เป็นคนจ้างมา เธอเป็นเพื่อนของเจนี่และมาช่วยเท่านั้น นี่คือการชี้แจงความจริง ไม่ต้องการมีเรื่อง เพราะแค่นี้ก็เยอะแล้ว!!! และควรแก้ไขสักที ธุรกิจเสียหายคับ! ป.ล. ใครก็ได้ช่วยบอกเค้าทีว่า การทำธุกิจดีแฟร์ๆ ควรทำแบบไหน? และทำกันขนาดนี้มันสมควรไหม? ไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้ช่วยด้วยคับ"
ประเด็นของข่าวตามที่ทุกคนเข้าใจในเบื้องต้น ก็คือบุ๋มได้เช่าพื้นที่เปิด Smash Gym ในพื้นที่ยิม 911 The Revolution By JT ของเจนี่ พูดง่ายๆ ก็คือเจนี่เป็นคนเช่าพื้นที่ทั้งหมดไว้ แล้วแบ่งช่วงให้คนอื่นมาเช่าต่อ เพื่อตั้งใจทำให้เป็นศูนย์สุขภาพครบวงจร ซึ่งบุ๋มก็ถือเป็นลูกค้าที่มาเช่าช่วงพื้นที่ต่อจากเจนี่ แต่ปัญหามาเกิดในช่วงที่มีลูกค้าหนาแน่น เพราะดูเหมือนว่าทางฝั่งเจนี่กันพื้นที่จอดรถสำหรับลูกค้าของตัวเอง ส่วนลูกค้าของบุ๋มให้ไปหาที่จอดเองตามยถากรรม นั่นคือประเด็นที่ทำให้อดีตนางสาวไทยเกิดความไม่พอใจอย่างแรง จนถึงขนาดต้องออกมาโพสต์ไอจีเพื่อทวงถามถึงความชอบธรรม
ในเวลาต่อมา ทางฝั่งเจนี่ ก็มีการออกมาอธิบายว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะทาง Smash Gym ค้างค่าเช่าพื้นที่ 3 เดือน รวมถึงไม่ยอมจ่ายค่าส่วนกลาง และที่สำคัญยังมีการเปิดคลาสซ้ำซ้อนกับทาง 911 ซึ่งผิดข้อตกลงที่ทำกันไว้ตั้งแต่ต้น ก่อนที่ทางฝั่งบุ๋มจะออกมาสวนกลับด้วยการตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงความจริง ว่าเริ่มต้นดีลกันมาในลักษณะหุ้นส่วน แต่ไปๆ มาๆ กลับต้องมารับสภาพเสมือนเป็นเพียงผู้เช่าพื้นที่เท่านั้น โดยมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาในภายหลัง แต่หลังจากพยายามทวงถามเรื่องสัญญามาหลายครั้ง ก็ยังไมได้รับเอกสารจากฝั่งเจนี่ เป็นเหตุที่ทำให้ไม่สามารถชำระเงินค่าเช่าได้ งานนี้ซือเจ๊ พร้อมสามี “เอก-เอกริน นิลเศรษฐี” งัดหลักฐานเป็นข้อความทวงถามในไลน์มาให้กองทัพสื่อเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่ได้มีเจตนาจะบิดพลิ้วเรื่องการชำระค่าเช่าตามที่ทางฝั่งเจนี่ “เจตนา”ให้ข่าว
“ถ้าเราเป็นแค่ผู้เช่าจริงๆ ตั้งแต่แรก เราจะจ่ายค่าก่อสร้างอาคารทำไมอีก 3 ล้านบาทร่วมกับเขา ทั้งหมดที่เห็นทั้งอาคารใช้เงินทั้งหมด 10 ล้านบาททั้งอาคารนะคะ ถ้าบุ๋มเป็นแค่ผู้เช่า แค่มาตกแต่งภายในก็พอ แต่ทำไมต้องมาสร้างทั้งตัวอาคารด้วย นั่นเพราะเราลงทุนร่วมกัน เพียงแต่ตัวสัญญาเราดันยอมเขา ไปเป็นผู้เช่าจากเขาอีกที นี่คือข้อผิดพลาดหนึ่ง พอเจนี่กับหุ้นส่วนอีกคนมีปัญหากัน เจนี่ก็เลยขอซื้อหุ้นคืน แล้วก็ขอทำสัญญาใหม่ เพราะสัญญาเก่าถือเป็นโมฆะ ซึ่งจนบัดนี้ยังไม่ได้สัญญาเลย ตามหลักฐานที่บุ๋มลงในไอจี ทวงสัญญาตั้งแต่เดือนเมษายน จนถึงมิถุนายน ทวงทุกคนจริงๆ จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้สัญญาใหม่ ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากจ่าย แต่ถ้าทำงานบริษัทจะทราบว่า การจ่ายเช็คจะต้องมีสัญญาแนบ คือคนอยากจ่ายเดินไปหาก็แล้ว ไลน์ถามก็แล้ว เดินหาทุกคนเพื่อจะทำให้มันถูกต้อง จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่ได้”
จากเรื่องที่จอดรถ ลุกลามกลายเป็นเรื่อง “ดิสเครดิต” ทางธุรกิจ เพราะทางบุ๋มมองว่าฝั่งเจนี่จงใจปล่อยคลิป ที่ตัดต่อ และดูดเสียงออก พร้อมทั้งให้ข่าวบิดเบือนความจริง ซึ่งถือเป็นการไม่ให้เกียรติกันอย่างรุนแรง ทำให้ธุรกิจของเธอได้รับความเสียหาย และเสียภาพลักษณ์มาถึงตัวเธอเองด้วย
“สิ่งที่เสียใจคือทำไมต้องทำคลิปแบบนี้ออกมา และมีการส่งให้นักข่าว บุ๋มรู้สึกว่าทำไมต้องโกหกนักข่าวขนาดนี้ เนื้อหาในข่าวที่บอกว่าเราค้างค่าเช่า 3 เดือน ไม่จ่ายค่าส่วนกลาง ไม่จ่ายค่าที่จอดรถ ซึ่งจะพิจารณาให้ไม่ต่อสัญญา ถามว่าสัญญาอะไร ทุกวันนี้ยังไม่ได้สัญญา จะไปจ่ายค่าเช่าได้อย่างไร เงินก็เตรียมไว้ตลอด ทวงสัญญาก็ไม่ให้ จริงๆ ต้องบอกว่าการให้ข่าวแบบนี้มันเสียหายต่อธุรกิจของเรา และเสียหายต่อภาพลักษณ์ของเรามากด้วย การให้ข่าวแบบนี้ ทำเพื่ออะไร ทำกันขนาดนี้เพื่ออะไร การทำธุรกิจมันน่าจะช่วยดูแลลูกค้ากันไม่ใช่เหรอ ที่เราตั้งใจตั้งแต่แรกมันคือการทำธุรกิจเพื่อเสริมกันและกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องมามองเป็นศัตรู เป็นคู่แข่ง วันนี้สิ่งที่ต้องการก็คือทำข้อตกลงกันค่ะ สัญญามาเลยก็ได้วินาทีนี้ก็ได้จะจ่ายเงินให้ทันทีทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง
เราถามทวงทุกหนทางจริงๆ จะเดินหน้ากันแล้วไงจะเอาไงว่ามา แต่ ณ วันนี้คุณเล่นปล่อยคลิปออกมาจงใจขนาดนี้ บุ๋มขอยื่นคำขาดเลยว่าขอแค่ค่าก่อสร้างมาเหอะ ขอแค่ค่าก่อสร้างมาเราจะย้ายออก 3 ล้านบาท ค่าตกแต่งเราไม่เอาสักบาท มันอยู่ไม่ได้แล้ว จะมองหน้ากันยังไง จะดูแลลูกค้ายังไง บุ๋มไว้ใจเขา แต่เขาทำแบบนี้มันคืออะไร บุ๋มไม่เข้าใจ”
ต้องถือว่าบุ๋ม “ใจนักเลง” มาก ที่ขอเงินค่าก่อสร้างคืนแค่ 3 ล้านบาท แล้วปิดจ๊อบกันไป แต่ดูทรงแล้ว สงสัยว่าซือเจ๊อาจจะต้องเปลืองน้ำลายเปล่าแน่ๆ
สรุปเรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายทำธุรกิจกันแบบโปร่งใส ตรงไปตรงมา ภายใต้เอกสารสัญญา และเงื่อนไขเวลาที่ชัดเจน
แต่ก็ต้องเข้าใจว่าที่บุ๋มต้องออกมาชี้แจง เพราะธุรกิจของเธอได้รับผลกระทบ อย่ามองว่าปัญหาเรื่องที่จอดรถแค่เป็นเรื่องหยุมหยิม แต่มันคือการอำนวยความสะดวก มันคือการมัดใจลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจประเภทขายบริการ อย่าลืมว่าธุรกิจ Smash Gym ของเธอลงทุนมหาศาล ต่ำๆ ไม่ว่าจะน้อยกว่า 10 ล้านบาท ส่วนใหญ่ทุนจะจมไปกับการซื้อเครื่องออกกำลังกายจากต่างประเทศ มูลค่าต่อเครื่องก็ไม่น้อยทีเดียว และโดยเฉพาะจุดขายของ Smash Gym ที่วางไว้ ก็คือต้องมีเครื่องออกกำลังกายที่เพียงพอสำหรับรองรับลูกค้า โดยไม่ต้องเสียอารมณ์กับการยืนรอเครื่องเหมือนกับฟิตเนสอื่นๆ ที่มักจะเกิดปัญหานี้ นั่นหมายถึงว่าจะต้องมีเครื่องสำหรับออกกำลังกายแต่ละส่วนอย่างน้อย 5-6 เครื่อง บวกลบคูณหารแล้วเงินลงทุนต่ำๆ ก็ไม่น่าจะน้อยกว่า 10 ล้านแน่นอน แล้วไหนจะเงินเดือนค่าเทรนเนอร์ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นระดับแชมป์เพาะกายทั้งนั้น เรียกว่าต้องแบกรับค่าใช้จ่ายประจำในแต่ละเดือนไม่น้อยเลยทีเดียว ขณะที่ค่าสมาชิกต่อปี เฉลี่ยแล้วคนละ 15,000 บาท (ตกเดือนละ 1,000 กว่าบาท หรือถ้ารายครั้ง ค่าบริการก็อยู่ที่ 200 บาทเท่านั้น) ต้องมีสมาชิกกี่คน ต้องดำเนินการกี่ปี !!?? กว่าจะได้ทุนคืน เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่เธอจะต้องสู้ยิบตาเพื่อรักษาฐานลูกค้าของเธอเอาไว้ให้มั่น การเสียลูกค้าเพียงหนึ่งคนอาจจะยังไม่กระทบ แต่ถ้าเมื่อใดที่ลูกค้าหนึ่งคนนั้นใช้วิธี “บอกต่อ” เมื่อนั้นธุรกิจของบุ๋มไปไม่รอดแน่
ขณะที่ 911 ของเจนี่ เน้นให้บริการในรูปแบบของสตูดิโอคลาส เช่นการเต้นซุมบ้าที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แล้วก็โฆษณาว่าเป็นยิมแห่งแรกที่นำไฟแบบแบล็คไลท์มาใช้ แต่เท่าที่รู้มา ความจริงก็คือมียิมอื่นทำมาก่อนแล้ว เจนี่ก็แค่ก๊อปปี้ไอเดียมาทำตาม แล้วก็เคลมว่าตัวเองเป็นต้นแบบ อะไรไม่สำคัญเท่าใช้เงินลงทุนเพียงแค่กั้นห้องสตูดิโอกรุกระจก ปูพื้นให้เหมาะสำหรับการเต้น เบ็ดเสร็จก็ไม่น่าจะเกิน 2 ล้าน ค่าใช้จ่ายประจำต่อเดือนอื่นๆ ก็แทบไม่มี ค่าครูก็จ่ายเฉพาะช่วงที่มีคลาส ตกชั่วโมงละไม่เกินพันบาท แต่เก็บค่าเข้าคลาสต่อครั้ง ต่อคนขั้นต่ำ 400 บาท (บวกค่าสมาชิกอีกปีละ 500 บาท) เรียกว่าลงทุนก็น้อยกว่า แต่โขกค่าบริการแพงกว่าของบุ๋มหลายเท่า แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนเห่อไปใช้บริการกันชนิดต้องจองคิวกันล่วงหน้าทีเดียว เพียงเพื่อให้ขึ้นชื่อว่าได้ไปเข้าคลาสร่วมกับนางเอกตัวแม่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าลับหลังจะโดนเจนี่แอบยี้ใส่รึเปล่า
และถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่าโมเดลธุรกิจของเจนี่ จะเป็นในลักษณะที่ใช้เงินลงทุนแต่น้อย แล้วก็กระจายความเสี่ยงให้ผู้ร่วมทุนรับผิดชอบไป แต่ดำเนินการในลักษณะของการแบ่งปันผลประโยชน์กัน อย่างที่เปิดสตูดิโอมวยไทย ก็มีแหล่งข่าวรายงานว่าควานหาพันธมิตรอยู่หลายราย แต่ตกลงเงื่อนไขกับ “แม่ของเจนี่” ไม่ลงตัว ข่าวว่าก่อนหน้านี้ ไปติดต่อกับยิมมวยแห่งหนึ่ง เพื่อให้มาเป็นผู้บริหารจัดการ วางระบบทุกอย่างให้ พร้อมกับอาศัยชื่อเสียงของยิม และชื่อเสียงของครูระดับที่เป็นนักมวยชื่อดังมาเรียกลูกค้า แล้วก็จะให้เจนี่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้ แลกกับการไม่ต้องจ่ายค่าเฟรนไชส์ แต่โยนค่าบริหารจัดการทุกอย่างให้เดือนละ 2 หมื่นบาท ยิมมวยแห่งนั้นก็เลยปฏิเสธไป กระทั่งสุดท้ายถึงมาลงตัวที่ MTM ACADEMY เปิดเป็น 911 MTM ซึ่งสิ่งที่เจนี่ได้มาก็คือ ภาพรวมที่ดูเสมือนเธอเป็นเจ้าของธุรกิจศูนย์ออกกำลังกายครบวงจรในแบบที่เธอฝันไว้ แต่ใช้เงินของตัวเองลงทุนเพียงนิดเดียว โดยทั้งหมดทั้งมวลนั้น มีแม่ของเธอเป็นกุนซือ หนุนหลัง วางแผนต่างๆ ให้ทุกอย่างแบบ “เขี้ยวลากดิน”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่มีเพียงฝั่งของบุ๋มออกมาเล่าแจ้งแถลงไข แต่คู่กรณีคือเจนี่กลับยังใช้วิธี “นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว” เหมือนเคย ถ้าให้เดา คาดว่าตอนนี้น่าจะอยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูล หรือวางแผนว่าจะดำเนินเกมนี้อย่างไร ? เชื่อว่าเมื่อถึงเวลา ก็คงจะออกมาใช้กลยุทธ์แบบ “ตบทีเดียวอยู่” ตามที่ถนัด เพราะรู้กันอยู่แล้วว่า เจนี่เก่งในเรื่องการใช้กระบวนการ “ใต้ดิน” ทำให้ตัวเองกลับมาเป็นแต้มต่อ บอกเลยว่างานนี้เจนี่พลาดไม่ได้ เพราะมีแต่คนหมั่นไส้รอจะซ้ำอยู่
ขณะที่บุ๋มเป็นคนโผงผาง ตรงไปตรงมา รู้สึกยังไง เจออะไรมา ก็พูดไปตามนั้น ก็ไม่แน่ว่าการตรงไปตรงมา และพูดทุกอย่างหมดเปลือกแบบนี้ อาจจะมีช่องโหว่ให้อีกฝ่ายโจมตีกลับ ทำให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายๆ บางทีท่าทีแบบถึงลูกถึงคนที่เคยใช้กับการต่อสู้ ทวงถามความเป็นธรรมให้กับคนอื่นได้สำเร็จมาหลายครั้งหลายครา อาจจะนำมาใช้กับกรณีนี้ไม่ได้
แต่ไม่ว่าเจนี่จะออกมาพูดหรือไม่พูด มองตามรูปการณ์แล้ว ยังไงบุ๋มก็เสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ เพราะเอกสารสัญญาตามกฎหมายก็ไม่มี อาศัยเพียงความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เพราะฉะนั้นพูดอะไรออกไปก็คงไม่มีน้ำหนัก เอาเข้าจริงๆ จะโดนไล่ที่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ หรือจริงๆ แล้ว อาจจะเป็นการจงใจบีบบุ๋มทางอ้อม เพราะถือว่าตัวเองเป็นต่อในฐานะที่เป็นเจ้าของพื้นที่รวม
สรุปง่ายๆ ก็คือมองยังไงเจนี่ก็ถือไพ่เหนือกว่า เพราะมีแม่เป็นที่ปรึกษาชั้นดี คอยบงการทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือขุ่นแม่บุ๋ม ยังมีแม่เจนี่คุมอยู่อีกที
น่าสงสารซือเจ๊จริงๆ
ที่มานิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 345 25 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2559