xs
xsm
sm
md
lg

ดูกันชัดๆ Smash Gym ลงทุนกว่า 10 ล้าน โถ !! ขุ่นแม่เจนี่ แค่ 3 ล้าน ยังผ่อนจ่าย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


.....เจอกัน คุยกันสักทีได้ไหม ? ให้แค่สามเดือนจริง ๆ เหรอคะ ? น้องก็รู้เราสร้างกันมาเป็นปี มานั่งตอบสื่อพร้อมกันสักรอบไหม ? เอาหลักฐานมาคุยกัน.....

ข้างต้นคือข้อความที่ “บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” โพสต์คอมเมนต์ใต้ภาพ ที่นางเอกจอมแบ๊ว “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ลงภาพบรรยากาศงานแถลงข่าวปมความขัดแย้งระหว่าง 911 By JT กับ Smash Gym ในไอจี @janienineeleven

นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า การโยนเงิน 3 ล้าน ค่าก่อสร้างอาคารคืนให้บุ๋ม ตามที่เจนี่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก่อนจะ ทิ้งท้ายตามแบบฉบับของนางเอ๊ก นางเอกว่า
“พี่บุ๋มยังเป็นพี่ของเจนี่อยู่ค่ะ ต้องแยกนะคะเรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัว ปัญหาธุรกิจคือปัญหาธุรกิจ และวันนี้เจนี่ก็มาในฐานะตัวแทนของ 911 ค่ะ”

ดูท่าว่าอาจจะไม่ได้จบง่ายๆ แบบที่คิดไว้ซะแล้ว

เจนี่อาศัยความเป็นแต้มต่อ เพราะออกมาพูดทีหลัง ซัดกลับทุกประเด็นของบุ๋มแบบชนิดหนังคนละม้วน ไม่ต้องบอกก็พอจะมองออกว่าการทอดเวลาไปเกือบ 1 สัปดาห์ เพื่อไปเตรียมการ ซักซ้อม และหาทางหนีทีไล่ที่คิดว่าตัวเองรอดที่สุด จึงจะออกมาพูด พร้อมกับพ่วงที่ปรึกษากฎหมายมาด้วย ต่างจากบุ๋ม ที่เกิดเรื่องปุ๊บ เคลียร์ปั๊บ เกิดอะไรขึ้น ก็พูดกันไปตรงๆ ไม่มีการประดิษฐ์ข้อความ แต่งเติมให้ดูน่าเชื่อถือ
อธิบายกันง่ายๆ ให้เห็นภาพ ก็คือบุ๋มใช้ความจริงใจออกมาพูดด้วยภาษาแบบบ้านๆ ตรงข้ามกับเจนี่ที่พูดจาด้วยภาษากฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับเรื่องสัญญาเก่า ที่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นโมฆะตามที่อีกฝ่ายชี้แจงไปเมื่อคราวก่อน แล้วก็ฉลาดตรงที่ไม่ได้เป็นคนอธิบายเองทั้งหมด แต่การพาทนายความ ที่ปรึกษากฎหมายออกมาร่วมชี้แจงด้วย ทำให้ข้อมูลมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ และดูเหมือนจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นได้เปรียบ เพราะอย่าลืมว่านักข่าวสายบันเทิงที่ไปทำข่าวในวันนั้น น้อยคน หรืออาจจะแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ ที่จะรอบรู้ในเรื่องของตัวบทกฎหมาย เรื่องสัญญาเก่าจะโมฆะหรือไม่โมฆะ เอาเข้าจริงๆ นักข่าวก็ไม่ได้มีความรู้พอที่จะไปซักไซ้ไล่เรียงตามล่าหาความจริงแบบเอาเป็นเอาตาย เรียกว่าทนายฝั่งเจนี่พูดอะไรมา นักข่าวก็เออออลงไปตามนั้น (แต่จะเชื่อจริงหรือไม่ อีกเรื่อง)

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังพบว่ามีจุดโหว่ของคำชี้แจงที่วกกลับมามัดตัวเองจังๆ ตามที่ทางทนายความพูดถึงเงื่อนไขสัญญาข้อหนึ่ง ที่ระบุว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ทำให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเสียชื่อเสียง ถ้ามีฝ่ายใดทำให้เสียชื่อเสียง อีกฝ่ายสามารถขอยกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่ประเด็นเรื่องการตัดต่อคลิปบิดเบือนข้อเท็จจริง ที่ทางบุ๋มให้การว่าทางเจ้าหน้าที่ 911 เป็นคนปล่อย และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และชื่อเสียงของเธอนั้น ทางทนายฝั่งเจนี่กลับบอกปัดความรับผิดชอบเอาดื้อๆ

“ต้องเรียนก่อนว่าน้องที่เขาไปโพสต์คลิปไม่เกี่ยวกับ 911 อันนั้นคือเรื่องส่วนตัวของเขา น้องแนทเขาเป็นคนที่ทำงานอยู่ที่นี่อยู่แล้ว เขาจะไปดูกล้องวงจรปิดตอนไหนเขาก็ไปดูได้ เท่าที่ทราบเขาไปถ่ายจากจอมอนิเตอร์อีกทีหนึ่ง”

คือต่อให้เจนี่ไมได้เป็นคนปล่อย แต่เป็นฝีมือของพนักงานคนหนึ่งคนใดที่อยู่ในปกครอง ก็สมควรต้องเป็นความรับผิดชอบในฐานะเจ้าของธุรกิจมิใช่หรือ !!?? ไม่ใช่จะว่าโยนกลองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับองค์กรหน้าตาเฉย

สรุป.....จากคำชี้แจงแถลงข่าวของเจนี่ และทนายความที่ปรึกษากฎหมาย ยังมีคำถามมีหลายข้อที่ยังคงค้างคาใจ โดยเฉพาะประเด็นที่เธอยืนยันว่า บุ๋มเป็นเพียงคนเช่าพื้นที่ ไม่ใช่ผู้ร่วมหุ้น !!!??? ซึ่งคนที่น่าจะให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด ก็คือคน ชื่อ “ท็อป” ที่บุ๋มบอกว่าเริ่มต้นธุรกิจมาด้วยกัน และเจนี่เป็นฝ่ายเข้ามาขอร่วมหุ้นทีหลัง

แหละ....หลังจากจ่าย 3 ล้านบาท แลกกับความไว้ใจของบุ๋มที่เสียไป ก็ต้องมาดูกันต่อว่าเจนี่จะทำอะไรกับพื้นที่ในส่วนของ Smash Gym ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่เด็กอมมือก็ตอบถูก ว่าสุดท้ายนางก็คงเปิดยิมเหมือนเดิม จะเปิดเอง หรือหาพันธมิตรมาร่วมทุนก็แล้วแต่ ประเด็นอยู่ที่ไม่ต้องเสียเงินค่าตกแต่งสถานที่ ไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาเรียกลูกค้า เพราะบุ๋มสร้างฐานเดิมไว้ให้แล้ว สรุปงานนี้แค่ทำหน้าแบ๊วๆ ใสๆ ไปมา ก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

แต่ขอโทษที 3 ล้านที่ว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะจ่ายเงินสดเป็นก้อนนะ เพราะระดับขุ่นแม่เจนี่ งานนี้ต้อง “ผ่อนจ่าย” เท่านั้น อพิโธ่ อพิถัง

งานนี้ถามว่าบุ๋มต้องแคร์มั้ย ? บอกได้เลยว่าไม่ เพราะข่าวว่าตอนนี้เล็งหาทำเลแห่งใหม่ ใหญ่กว่าเดิมไว้รอท่าเรียบร้อยแล้ว

ทางผู้สื่อข่าวผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์เอง ได้พยายามติดต่อกับบุ๋ม เพื่อขอสัมภาษณ์เพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว แต่ทางเจ้าของ Smash Gym ปฏิเสธว่าไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ เพราะเป็นข้อตกลงกันระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ว่าจะไม่มีการสัมภาษณ์ใดๆ เพิ่มเติมอีกแล้ว แม้กระทั่งโพสต์ข้อความในลักษณะพาดพิง หรือแขวะกันก็ไม่ได้ ขนาดว่าตัวเธอจะลงบทกวี เนื่องในวันสุนทรภู่ ยังโดนห้ามเลย ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะร้อนตัวอะไรกันนักกันหนา

อย่างไรก็ตาม ทางผู้สื่อข่าว ก็ดอดเข้าไปสังเกตการณ์ถึงที่ Smash Gym ในช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. ก็พบว่ายังคงมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการตามปกติ มีทั้งลูกค้าประเภทสมาชิกรายเดือน และลูกค้าที่มาใช้บริการแบบรายวัน ค่าสมาชิกรายเดือน อยู่ที่เดือนละ 2,000 บาท (6 เดือน 10,000 บาท , 1 ปี 18,000 บาท ในกรณีที่สมัครพร้อมกัน 2 คน ค่าบริการรายปี 15,000 บาทต่อคน)

โดยพื้นที่ชั้นล่าง เป็นโซนต้อนรับลูกค้า และเครื่องออกกำลังกายประเภทเวทเทรนนิ่งอยู่เต็มพื้นที่ ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ก็หมดไปกับส่วนนี้นั่นเอง เท่าที่ผู้สื่อข่าวสอบถามเจ้าหน้าที่ต้อนรับ ได้ความว่าที่นี่ลงเครื่องออกกำลังกายไว้มากพอที่จะรองรับลูกค้า ตั้งแต่เปิดให้บริการมา ยังไม่เคยมีปัญหาที่ลูกค้าต้องมายืนรอเครื่อง แม้จะเป็นช่วงเวลาที่พีกที่สุดก็ตาม ส่วนพื้นที่ชั้นสอง เป็นโซนของลู่วิ่ง และห้องคลาส ที่เป็นหนึ่งในข้อถกเถียงกันอยู่ว่าซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ระหว่าง 911 กับ Smash Gym ซึ่งลูกค้าของ Smash Gym สามารถใช้บริการได้ทั้งในส่วนของเวทเทรนนิ่ง และห้องคลาส โดยไม่มีการเก็บค่าบริการเพิ่ม ยกเว้นในกรณีที่จะจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัว ก็จะคิดค่าบริการตามเรต คือ 12 ครั้ง 16,000 บาท (ภายใน 1 เดือน) , 30 ครั้ง 36,000 บาท (ภายใน 3 เดือน) , 60 ครั้ง 60,000 บาท (ภายใน 6 เดือน) , 100 ครั้ง 90,000 บาท (ภายใน 1 ปี) และ 150 ครั้ง 120,000 บาท (ตลอดชีพ) ซึ่งที่ Smash Gym มีเทรนเนอร์ระดับที่เป็นแชมป์นักเพาะกายอยู่ 7 คน

ส่วนห้องอาบน้ำ ห้องแต่งตัวนั้น เป็นการใช้พื้นที่รวม แต่มีการแบ่งแยกล็อกเกอร์อย่างชัดเจน โดยมีป้ายประกาศติดไว้ด้านหน้าว่า

..... เรียนลูกค้า Class เต้น ใช้ล็อกเกอร์ที่มีสติ๊กเกอร์ของ Zumba เท่านั้นนะคะ ถ้าใช้ผิดจะโดนปรับคนละ 200 บาท.....

สำหรับห้องเต้นของเจนี่นั้น อยู่ถัดจากห้องแต่งตัว ส่วนเวทีมวยอยู่ลึกเข้าไปด้านใน บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยรูปของเจนี่ แม้กระทั่งผนังในส่วนของ Smash Gym เองก็ตาม ชนิดที่ถ้าไม่ได้ตามข่าวแบบเกาะติด ก็ชวนให้เข้าใจว่าเจนี่คือเจ้าของธุรกิจนี้ทั้งหมด และบุ๋มเป็นเพียงคนมาเช่าพื้นที่เพื่อเปิดยิมเท่านั้นอย่างที่มาดามยืนยันเสียงแข็งจริงๆ

ส่วนแม่ของเจนี่ ที่ดูเหมือนจะถูกคาดเดาว่าเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังกรณีพิพาทในเรื่องนี้ นั่งบัญชาการอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับในโถงด้านหน้า ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่เกิดเหตุ กรณีคลิปหลุดนั่นเอง
ทิ้งท้ายด้วยคำพูดของเจนี่ที่บอกว่าเข็ดแล้วกับการทำธุรกิจร่วมกับคนอื่น....
คำถามคือ.....ระหว่างบุ๋มกับเจนี่ ใครสมควรจะ “เข็ด” มากกว่ากัน !!!???

เส้นทางหายนะ เริ่มต้นจาก “เอก-ท็อป” สุดท้ายมาดามฮุบหมด

ลำดับต่อจากนี้ มาย้อนดูเส้นทางกว่าจะมาเป็นคดีพิพาทที่สะท้านสะเทือนวงการ เพราะคู่กรณีมีดีกรีเป็นถึงระดับ “ขุ่นแม่” ทั้งคู่

จุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้ เริ่มมาจาก “เอก-เอกริน นิลเศรษฐี” สามีของ “บุ๋ม-ปนัดดา” กับนักแสดงชื่อ “ท็อป-ณฐกร ไตรกิศยเวช” ที่จะเริ่มหุ้นกัน โดยฝั่งท็อปเป็นคนที่เจอทำเลที่ตั้งเป็นคนแรก ซึ่งในวันที่บุ๋มตั้งโต๊ะแถลงข่าว ก็พูดถึงประเด็นนี้ไว้อย่างละเอียด

“ต้นกำเนิดของสถานที่นี้ จริง ๆ มีบุ๋ม กับรุ่นน้องบุ๋มชื่อท็อป นักแสดงเรื่องอังกอร์ นั่นคือจุดเริ่ม และเจนี่มาขอร่วมหุ้นที่สาม เลยทำให้ตอนแรกคุยกันว่าจะเป็นหุ้นส่วนสามคน ฝั่งท็อปอยากเปิดสอนเทควันโด เจนี่เปิดมวย เราเปิดยิม โดยติดต่อผู้เช่า เคลียร์สัญญาเช่า

ขั้นแรกเป็นฝั่งเรากับท็อป ตกลงกันว่าเทควันโด มวยใช้พื้นที่เยอะ เราเลยบอกว่าเช่าพื้นที่ใหญ่ไป บุ๋มบอกตรง ๆ อุปกรณ์ไป 10 กว่าล้าน ของท็อปและเจนี่มีแต่ห้องเปล่าและเวทีมวย ลงทุนน้อยกว่าบุ๋ม เอาเงินส่วนหนึ่งถ้าจะให้แฟร์ ๆ เอาไปจ่ายค่าเช่าที่ ส่วนเราลงเครื่อง จะทำงานร่วมกัน แต่กลายเป็นว่าท็อปกับเจนี่ เป็นผู้ต่อสัญญาเช่าที่ ซึ่งขั้นตอนแรกเรามีสัญญาเก่า เป็นสัญญาเช่าเก่า ระหว่าง Smash Gym กับท็อปและเจนี่ ซึ่งมีลายเซ็นสามฝ่าย และเราได้ชำระมัดจำค่าเช่าไปแล้วสามเดือน ซึ่งเป็นการตอบคำถามที่หลายคนถามว่า ถ้าไม่มีสัญญาแล้วบุ๋มกล้าลงทุนได้อย่างไร 10 กว่าล้าน เรามี ไม่ใช่ไม่มี ไม่ได้ทำอะไรผิดขั้นตอนเด็ดขาด ทุกอย่างเรามีหุ้นส่วน มีที่ปรึกษาทางกฎหมาย

เพียงแต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหลังเราเซ็นสัญญาอันนี้แล้ว ทางท็อปกับเจนี่เขามีปัญหากัน ซึ่งเราจะไม่แตะเรื่องนั้น ต้องไปถามเจนี่เอาเอง เพียงแต่ว่าพอมีปัญหากัน เจนี่เลยซื้อหุ้นของทางท็อปกลับคืนมาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งถ้าเราเป็นแค่ผู้เช่าจริง ๆ ตั้งแต่แรก เราจะจ่ายค่าก่อสร้างอาคารทำไมอีก 3 ล้านบาทร่วมกับเขา ทั้งหมดที่เห็นทั้งอาคารใช้เงินทั้งหมด 10 ล้านบาท นั่นเพราะเราลงทุนร่วมกัน เพียงแต่ตัวสัญญาเราดันยอมเขา ไปเป็นผู้เช่าจากเขาอีกที”

โดยเอกสามีของบุ๋มก็ได้ขยายความเพิ่มเติม ว่า

“เริ่มจากท็อปมาเจอสถานที่ ก็เลยมาสอบถามผมว่าสนใจไหม ซึ่งผมก็เห็นด้วย เลยส่งทนายไปช่วยพูดคุยเพื่อทำการขอเช่า จากนั้นทางเจนี่ก็เข้ามาร่วมหุ้นด้วย”

แหละ.....ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ยังไม่มีปัญหากัน ระหว่าง 911 กับ Smash Gym บุ๋มก็เคยให้สัมภาษณ์ถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้ไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม ความว่า

“เราตกลงกันคือว่า บุ๋มลงทุนเครื่องเยอะมาก อย่างที่เห็น 10 กว่าล้าน มันไม่น้อยเลยนะ เราลงทุนแค่นี้พอ เพราะมันหนักแล้ว งั้นเราตกลงกันอย่างนี้ เจนี่ดูแลพื้นที่รวม จ่ายค่าเช่าที่ล่วงหน้า ส่วนบุ๋มลงทุนเรื่องเครื่องออกกำลังกาย เจนี่คือคนเซ็นสัญญาเช่าที่ เราร่วมกันทำมาตั้งแต่ต้น แต่ในส่วนของพื้นที่สัญญาโดยรวมเจนี่เป็นคนดูแล เราก็เช่าเป็นรายเดือนไปแล้วกัน ให้เจนี่ออกหน้าคนเดียวดีแล้ว”

เป็นอันว่าข้อมูลที่บุ๋มให้สัมภาษณ์ทั้ง 2 ครั้งนั้น คือเริ่มต้นธุรกิจนี้ในลักษณะของ “หุ้นส่วน” ไม่ใช่ “ผู้เช่าพื้นที่”

ขณะเดียวกัน ในวันที่เจนี่เปิดแถลงข่าวเอง ก็ยอมรับว่าตัวเองเข้ามาร่วมธุรกิจเป็นลำดับสุดท้าย แต่ไม่ได้ลงในรายละเอียดว่าเหตุไฉนจึงกลายมาเป็นเสมือนเจ้าของพื้นที่แต่เพียงผู้เดียว ส่วนคู่กรณีเป็นเพียงผู้เช่า

“เจนี่มาทีหลังค่ะ แต่ด้วยอะไรก็แล้วแต่ กลับกลายเป็นว่าเจนี่มาเช่าพื้นที่ตรงนี้คนเดียว 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนพี่บุ๋มก็เป็นผู้เช่า ไม่ใช่ผู้ถือหุ้น”

ขณะที่นักแสดงหนุ่มที่ชื่อท็อป อดีตผู้ถือหุ้น ที่ถูกระบุชื่อถึงตั้งแต่แรก มีดีกรีเป็นถึงแชมป์เทควันโดทีมชาติ และผันตัวเองเข้ามาสู่วงการบันเทิง โดยส่วนใหญ่จะแสดงละครแนวบู๊แอ็คชั่น โดยนำความสามารถในเรื่องของเทควันโดมาประยุกต์ใช้กับการแสดง มีผลงานละครผ่านตาทางช่อง 3 หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหัวใจรักข้ามภพ,เหนือเมฆ ฯลฯ และที่เตรียมจะออนแอร์ ก็คือเรื่องอังกอร์ รับบทเป็น “คำปัน” ได้รับฉายาว่า “ดาวร้ายหน้าสวย”

ท็อปดูจะเป็นความหวังสุดท้าย ว่าจะเป็นผู้ไขปริศนาว่าเบื้องลึก-เบื้องหลังของธุรกิจนี้ จริงๆ แล้วมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ก็กลับไม่ได้ให้ความกระจ่างใดๆ เท่าที่ควร ลักษณะเหมือนพยายามพูดแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ให้เรื่องโยงใยมาถึงตัว

“กับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมทราบเรื่องพร้อมกับทุกคนนะ ผมก็ได้คุยกับทางพี่บุ๋มแต่ก่อนหน้านั้นนะ คือเหมือนว่าพี่บุ๋มก็ไม่ไหว แต่ทางฝั่งพี่เจนี่ไม่ได้คุย เหมือนกับว่าพี่เขาติดถ่ายละคร ถ้าถามผมนะ ในเรื่องพื้นที่การจอดรถยังไงมันไม่พอหรอก คลาสซุมบ้า ก็มีคนเล่นเยอะ ฟิตเนสของพี่บุ๋มมีลูกค้าเยอะมาก แล้วไหนจะมีร้านตัดผมของพี่นานา (นานา ไรบีน่า) อีก ผมเชื่อว่าถ้ามีการหมุนเวียนมันพอนะ แต่มันเป็นปัญหาของทุกที่นะ ต่อให้เป็นห้างใหญ่ ๆ หรืออเวนิวใหญ่ๆ ก็ตาม ที่จอดรถมันสำคัญมากๆ แค่ว่าตอนนี้มันยังไม่ได้จัดระบบให้ลงตัว เท่านั้นเอง

ธุรกิจนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นของพี่เจนี่ เพราะเป็นคนซื้อหุ้นผมไป แล้วพี่บุ๋มเช่าพื้นที่ของพี่เจนี่ ส่วนที่ว่าผมกับพี่เจนี่มีปัญหากัน มันเป็นเรื่องของการขัดแย้งภายในนิดหน่อย แล้วก็เคลียร์กันจบไปนานแล้ว แล้วผมก็ออกมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว”

แต่ถามใจคนส่วนใหญ่ที่ติดตามข่าวนี้มาตั้งแต่แรก โดยมากจะปักใจเชื่อคำพูดของบุ๋มมากกว่า ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะคุณงามความดี วีรกรรมต่างๆ ที่เธอสร้างให้กับสังคมตามที่ปรากฏอยู่หลายครั้งหลายครา ประกอบกับบุคลิกลักษณะที่เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ประดิษฐ์เสแสร้งแกล้งทำ ก็ไม่แปลกใจที่คะแนนความเห็นใจจาก #ทีมบุ๋ม จะถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน

เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างเดียวเลย สุดท้ายธุรกิจที่เริ่มต้นมาเองแท้ๆ กลับโดนฮุบไปหน้าตาเฉย ลงทุนไปเป็น 10 ล้าน ได้คืนมาแค่ 3 ล้านแบบผ่อนจ่าย

สำหรับบุ๋ม คำว่า “เข็ด” อาจจะยังน้อยไปด้วยซ้ำ !!
ที่มานิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 346 2 - 8 กรกฎาคม 2559






แม่ของเจนี่ นั่งบัญชาการอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า
ห้องแต่งตัว มีการแบ่งแยกล็อกเกอร์อย่างชัดเจน
ผนังในส่วนของ Smash Gym เองแท้ๆ   แต่กลับมีรูปของเจนี่ปูอยู่เต็ม
ลายกราฟฟิตี้ที่เจนี่ชอบถ่ายรูปโพสต์ลงไอจี ก็เป็นพื้นที่ผนังในส่วนของ Smash Gym



กำลังโหลดความคิดเห็น