xs
xsm
sm
md
lg

ถ้า Descendants of the Sun คือสุดที่รักของบิ๊กตู่... Flying Colors ก็ควรจะเป็น “วาระแห่งชาติ”!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา

จำได้ว่า ก่อนหน้านั้นหลายวัน... ก่อนที่ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะบอกกล่าวเล่าถึงซีรี่ส์ชื่อดังจากประเทศเกาหลีเรื่อง Descendants of the Sun ... ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์เคเบิ้ลทีวีช่องซูเปอร์บันเทิง “ต่อพงษ์ เศวตามร์” ซึ่งสวมอีกหนึ่งบทบาทในฐานะนักวิจารณ์ภาพยนตร์ทางรายการวิวไฟน์เดอร์ – Viewfinder รายการหนังที่ยังไม่มีใครคิดจะทำตาม – ได้แนะนำภาพยนตร์ญี่ปุ่นไว้เรื่องหนึ่งซึ่งออกฉายเมื่อปี่ที่แล้ว ขณะที่ผมเองก็ปล่อยเวลาให้พ้นผ่านไปนานพอดู กว่าจะมีโอกาสได้ชมหนังเรื่องดังกล่าว และเมื่อได้ดูแล้วก็พบว่า นี่มันคือ “วาระแห่งชาติ” จริงๆ ครับ

โดยสถานะของนักข่าวหรือสื่อมวลชนที่ต้องติดตามเรื่องราวทางสังคมซึ่งถูกกล่าวถึงผ่านหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ทางเว็บไซต์ข่าวบ้าง รวมทั้งสื่ออื่นๆ อย่างสื่อโซเชียล ผมก็เหมือนกับทุกท่านทุกคนที่มีความกังวลกับความเป็นไปของสังคมในหลากหลายด้าน บางคนก่นด่าให้กับจิตสำนึกที่สึกหรอ หลายคนด่าทอการเมืองที่เหมือนจะเป็นเรื่องห่วยแตกทำลายชาติ และก็มีไม่น้อยที่ตั้งคำถามกับความล้มเหลวของการศึกษา ของสถาบันครอบครัว ของอนาคตของชาติอย่างวัยรุ่น ฯลฯ ผมเชื่อว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีมูล เราต่างก็ได้รับรู้รับฟังถึงความเป็นไปอันน่าวิตกเหล่านี้ผ่านข่าวที่นำเสนอครั้งแล้วครั้งเล่า วันแล้วคืนเล่า จนชวนให้รู้สึกว่ามันน่าสิ้นหวังสิ้นดี

แต่เราคงไม่มีความหวัง หากไม่กลับมาตั้งหลัก พร้อมทั้งตั้งสติกันอีกครั้ง... ผมเชื่อว่าอย่างนั้น และหนังอย่าง “ฟลายอิ้ง คัลเลอร์ส” (Flying Colors) ก็เปรียบเสมือนเสียงอีกหนึ่งเสียงซึ่งน่าจะกระตุกกระตุ้นเตือนใจให้เราได้กลับมาตรวจสอบสืบสวนและทบทวนตัวเองอีกครั้ง ซึ่งบางที อาจทำให้เรามองเห็นหนทางแก้ของปัญหาบางประการ...

สำหรับคนที่เป็นแฟนหนังญี่ปุ่น พอได้ยินชื่อ “โนบุฮิโระ โดอิ” คงจำกันได้นะครับว่า ผู้กำกับภาพยนตร์จากเมืองฮิโรชิม่าคนนี้ คือคนที่เคยกำกับหนังซึ่งโด่งดังมากทั้งในญี่ปุ่นและบ้านเราอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ “บี วิธ ยู” (Be With You) หนังรักสุดซาบซึ้งที่ตราตรึงอยู่ในใจของคนดูผู้ชมด้วยเรื่องราวสุดแสนมหัศจรรย์ที่กลั่นเอาน้ำตาจากคนดูและคำชื่นชมไปอย่างล้นหลาม... เท่าที่ดู การทำหนังสำหรับโนบุฮิโระ โดอิ นั้นเป็นความงดงามของชีวิต เล่าเรื่องที่งดงามของชีวิต เพื่อก่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิดที่ดีงามกับชีวิต...

โดยเรื่องราวเท่าที่บอกเล่าได้...ฟลายอิ้ง คัลเลอร์ส์ (Flying Colors) เกี่ยวข้องกับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “ซายากะ” เด็กสาวที่ไม่เอาถ่านในการเรียน จนได้รับการขนานนามจากครูบาอาจารย์แทบทุกท่านทุกคนด้วยคำว่า “ขยะ” เรียกว่าเป็นเด็กหลังห้องมาโดยตลอด ไม่มีความหมายในสายตาของใคร และนำไปสู่การไม่มีแม้กระทั่งความหวังในตัวเอง สิ่งนี้ดำเนินไปจนถึงจุดที่ครูต้องสั่งให้พักการเรียนเมื่อตอนอยู่ชั้น ม.5 แต่ทว่าการถูกพักการเรียนครั้งนี้ กลับนำพาซายากะไปสู่ประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล

สรุปสั้นๆ ก็คือ ฟลายอิ้ง คัลเลอร์ส เป็นเรื่องของเด็กนักเรียนที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีอนาคตที่ดีในมุมมองของคนรักดี อย่าว่าแต่โรงเรียนที่ปวดเศียรเวียนเกล้ากับความไม่ได้เรื่องของเธอ แม้กระทั่งผู้เป็นพ่อยังมองด้วยความสิ้นหวัง อย่างไรก็ดี ด้วยเงื่อนไขปัจจัยเช่นนี้ กลับเป็นต้นธารชั้นดีให้เรื่องราวดำเนินไปสู่บทสรุปที่น่าประทับใจ ... เชื่อว่าหลายคนคงเดาออกบ้างนะครับว่าหนังมันจะเดินไปจุดไหนอย่างไร ด้วยชัยชนะแบบไหน แต่ที่น่าสนใจมากยิ่งกว่า เป็นเนื้อหาระหว่างทางที่ต้องยอมรับว่าหนังให้บทเรียนแก่คนดูได้ดีมากครับ

ต้องยอมรับนะครับว่า หนังญี่ปุ่น เวลาที่เขาจะสื่อสารอะไรสักอย่างซึ่งให้ความหวัง ให้พลังบันดาลใจ เขาทำได้แม่นยำมาก โดยเฉพาะกับเรื่องการสร้างคน หรือกระตุ้นให้คนเกิดแรงฮึดสู้กับสภาวะชีวิตที่ไม่เป็นใจและเต็มไปด้วยปัญหาหรือความล้มเหลว ผลงานเชิงมนุษยนิยมคือมีความหวังในตัวของมนุษย์แบบนี้ มีให้ดูอยู่เรื่อยๆ จากดินแดนซามูไร แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “ฟลายอิ้ง คัลเลอร์ส” ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องแต่งนะครับ เพราะมันมีพื้นฐานมาจากเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “คุโด้ ซายากะ” ซึ่ง “โนบุทากะ สึโบตะ” นำมาเขียนเล่าเรื่องในรูปแบบของนวนิยายอีกต่อหนึ่ง ความยอดเยี่ยมของตัวเรื่องก็คือ นอกเหนือไปจากเรื่องราวการต่อสู้อดทนของเด็กคนหนึ่งซึ่งมุ่งมั่นเพื่อให้ตนได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง “ฟลายอิ้ง คัลเลอร์ส” ยังขยายขอบเขตด้านเนื้อหาเข้าไปในอีกหลายมิติ ซึ่งหากสรุปโดยย่นย่อ ก็นับได้สี่มุมมองหลัก ทั้งมุมมองของเด็กวัยรุ่น มุมมองของครู มุมมองของครอบครัว และมุมมองของสังคม

เมื่อเด็กสักคนไม่ได้เรื่อง เรามักจะโยนบาปแห่งความไม่ได้เรื่องไปที่ตัวของเด็ก โดยปราศจากการตรวจทานสอบถามถึงต้นสายปลายเหตุ “คุโด้ ซายากะ” ที่เป็นเด็กไม่มีอนาคตในสายตาของครูและผู้ใหญ่ในหนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน เธอคือเด็กที่แม้จะขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว แต่ก็ไม่เห็นวี่แววความหวังว่าจะไปได้ดีทางการศึกษา แน่นอนว่า ถ้ามองแบบผิวเผิน ซายากะก็เป็นเด็กไม่เอาถ่านและมีแต่วันจะตกต่ำเสื่อมโทรม แต่เมื่อรับรู้แบ็กกราวน์ของเธอ เราก็อาจจะเปลี่ยนความคิด

ซายากะเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อให้ความสำคัญกับลูกชายซึ่งเป็นน้องของซายากะ พ่อหมายมั่นปั้นมือมากกับลูกชายคนนี้จนเข้าขั้นที่ว่าไม่เห็นคุณค่าในลูกคนอื่นๆ พ่อทุ่มเทให้กับอนาคตของน้องชายของซายากะในการที่จะเติบใหญ่ไป พ่อของซายากะก็คือผลผลิตแบบหนึ่งของสังคมญี่ปุ่นที่มีการแข่งขันสูงและคิดจะทำการใดก็มุ่งเอาจนกลายเป็นความกดดันบีบคั้น คำหนึ่งซึ่งพ่อของซายากะพูดก็คือ “ถ้าทำ ก็ทำได้” คำนี้ฟังเผินๆ แล้วดี ในแง่ที่เชิดชูความเพียรของมนุษย์ แต่อีกหนึ่งด้านมันก็คล้ายหินก้อนมหึมาที่ทำให้ต้องรู้สึกแบกรับเป็นภาระ โดยเฉพาะกับเรื่องของเด็กวัยรุ่น หากพ่อแม่ไม่ใส่ใจในธรรมชาติของพวกเขา หากโรงเรียนไม่เข้าใจในธรรมชาติของพวกเขา โอกาสที่จะทำลายศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ก็มีอยู่สูง และสุดท้าย วัยรุ่นวัยเรียนเหล่านี้ก็มักจะถูกกีดกันออกไปอยู่อีกซีกหนึ่งของสังคม เป็นพวก “ขยะ” ที่มีแต่จะถูกทิ้งและถูกมองว่าเป็นปัญหาสังคม

เด็กก็คือเด็ก ลูกก็คือลูก แต่พ่อแม่หลายคนก็พลั้งเผลอจนกระทั่งสร้างความผิดพลาดอย่างไม่ควรจะเป็น เพราะเอาความฝันของตนเองไปพาดวางไว้บนบ่าของลูก ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่า พ่อแม่หลายคนมีความคิดในลักษณะที่ว่าลูกคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หรือลูกคือตัวแทนความฝันของพ่อแม่ แต่พูดตามความจริง ถ้าอนุสาวรีย์ดังกล่าวไม่ได้เกิดมาจากรากฐานของตัวมันเอง ก็ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่อนุสาวรีย์นั้นจะพังพาบลงมาสักวัน เหมือนกับที่หนังเรื่องนี้ก็ได้ถ่ายทอดไว้...การทำอะไรสักอย่างเพียงเพื่อสนองความฝันของผู้ให้กำเนิดนั้น ไม่ใช่แค่เพียงไม่ถูกต้อง หากแต่ยังเป็นอันตรายต่อตัวตนของลูกที่จะต้องเติบโตต่อไปด้วย และวิธีคิดแบบที่เห็นลูกเป็นเครื่องมือของพ่อแม่แบบนี้ ก็ทำลายชีวิตเยาวชนมาแล้วไม่น้อย

การสร้างคน การเข้าใจในธรรมชาติของคน ... คือสิ่งที่หนังใส่เข้ามาพร้อมๆ กับเรื่องราวเชิงจิตวิญญาณของการเป็นครู ตัวละครครูสอนพิเศษ “สึโบตะ” อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นบุคลากรครูระดับอุดมคติ... ถ้าได้ดูนะครับ เชื่อว่าทุกคนจะคิดคล้ายๆ กันว่า อยากให้โลกนี้มีคุณครูแบบนี้เยอะๆ เป็นคุณครูที่เปี่ยมด้วยความเป็นครู เป็นผู้สอนที่เข้าใจในธรรมชาติของผู้ที่ตนกำลังสอน มีจิตวิทยาในการหว่านล้อมโน้มน้าวจิตใจของนักเรียนให้เกิดแรงฮึดและความเพียรที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ วิธีพูดของครูสึโบตะมีทั้งความจริงใจและพลังความคิดที่จะถ่ายทอดสู่ลูกศิษย์ให้มีแรงก้าวเดินต่อไปในทางที่หวัง ครูแบบนี้ไม่เพียงต้องมีหัวใจที่เปิดกว้าง หากแต่ความรู้ก็ต้องกว้างขวางจริงๆ ครับ

ครูสึโบตะนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับคำที่เขาสอน เป็นครูสอนที่อยู่ในวิถีของครู บางครั้งเขาพูดว่า คนเราต้องมีความรู้มากๆ เพราะเมื่อมีความรู้มากพอแล้ว โลกก็จะเปิดกว้างขึ้น ... ความรู้ของครูสึโบตะนั้นกว้างขวางเพียงใด ไม่เพียงดูได้จากความเชี่ยวชาญในวิชาการที่สอน หากยังรวมไปถึงศิลปะอีกหลายแขนง ทั้งการ์ตูน ภาพยนตร์ หนังสือ หรือเรื่องชีวประวัติของคนที่ครูสึโบตะสามารถหยิบยกขึ้นมาสาธกยกเป็นตัวอย่าง สร้างคติสอนใจให้แก่เด็กนักเรียนได้มีพลังเสมอๆ และเหนืออื่นใดก็คือ การมีความรู้กว้างขวางเช่นนั้นเอง น่าจะมีส่วนในการทำให้ใจเปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย เฉกเช่นสีสันอันมากมายในโลกนี้ เพราะฉะนั้น ครูสึโบตะจึงไม่สิ้นหวังแม้แต่กับคนที่ถูกสังคมตราหน้าว่า “ขยะ”

“...ผมว่าไม่มีเด็กคนไหนไม่ได้เรื่องหรอกครับ
มีก็แต่ผู้สอนเท่านั้นที่ไม่ได้เรื่อง...”


อย่างน้อยครั้งหนึ่ง ครูสึโบตะได้พูดไว้แบบนี้ ขณะที่ถ้าจะถามถึงความหมายแห่งการเป็นครูในแบบสึโบตะ คำพูดของซายากะก็อาจจะเป็นคำอธิบายได้แจ่มชัดที่สุด... “ครูคือคนที่พยายามอย่างสุดชีวิต เพื่ออนาคตของคนอื่น”

เรื่องราวของครูสึโบตะชวนให้ฉุกคิดว่า ที่เราก่นด่า “อนาคตของชาติ” บางทีเราก็อาจกำลังด่าตัวเอง เพราะเอาเข้าจริง อนาคตของชาติจะสามารถหรือไม่สามารถ จะเป็นขยะหรือดวงดาวที่วาววาม มันก็มีคนที่เป็นปัจจุบันของชาตินี่เองที่เป็นส่วนสำคัญทำให้มันเป็น...

นอกเหนือจากเรื่องราวหลักๆ อันว่าถึงคุณครูผู้เป็นสุดยอดแห่งแบบอย่าง “ฟลายอิ้ง คัลเลอร์ส” ยังแต่งแต้มเรื่องราวอีกหลากสี ด้วยตัวละครอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแม่ของซายากะที่จะว่าไป ก็เป็นสุดยอดคุณแม่อีกเหมือนกัน ความหมายของคำว่าแม่ แผ่รังสีที่สวยสดงดงามผ่านตัวละครแม่ของซายากะ คนที่จะอยู่เคียงข้าง คนที่พร้อมจะรับฟังทุกปัญหาของลูก และคนที่ไม่ว่าลูกจะสำเร็จหรือล้มเหลว แม่ก็จะยังเป็นแม่ ไม่ทอดทิ้งเมื่อลูกล้ม และชื่นชมเมื่อสำเร็จ ... ขณะเดียวกัน ในมุมมองของเพื่อนๆ ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดคุณเพื่อน เพราะเพื่อนที่เห็นเพื่อนกำลังมุ่งมั่น ย่อมเสริมส่งอย่างเข้าใจในสถานการณ์ของกันและกัน เฉกเช่นกับเพื่อนของซายากะ

... ฟลายอิ้ง คัลเลอร์ส์ ในฐานะของภาพยนตร์ มันคือผลงานที่มีความดราม่าสูงมาก พูดสั้นๆ ว่า ถ้ามีผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษซับน้ำตาไว้ข้างๆ ตอนรับชม ก็จะดียิ่งครับ อย่างไรก็ดี ในเชิงคุณค่าสาระ อาจกล่าวได้ว่า นี่คือหนังสร้างคนหรือกระทั่งสร้างชาติได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปบังคับบีบคั้นให้คิดและเชื่อตาม แต่เพราะความดีงามของตัวเรื่อง จะสะกิดสะเกาให้เราตระหนักคิดและมีสติกับชีวิตเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและพัฒนา

สุดท้าย ถามว่าใครควรดู?
พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรดู
เด็กวัยรุ่นวัยเรียน ก็ควรดู
คนเป็นครู ยิ่งสมควรต้องดู
และที่จริง ก็ทุกๆ คนนั่นล่ะครับที่ควรดู
ถ้าหากอยากเห็นอะไรที่เป็นความงดงาม

เวลาราวๆ สองชั่วโมง เราเอาไปทำอย่างอื่นอะไรไม่รู้ได้ตั้งมากมาย จริงไหมครับ ดังนั้น เราก็น่าจะสามารถเอาเวลานั้นมาดูหนังเรื่องนี้สักเรื่องหนึ่งได้

สองชั่วโมงแห่งการได้ดู มันอาจเป็นสองชั่วโมงที่เปลี่ยนชีวิตและความคิดของใครสักคนไปตลอดกาล เหมือนกับที่เรื่องราวในหนังได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวละครไปตลอดกาล และเหนืออื่นใด คือเป็นสองชั่วโมงที่จะส่งผลต่อพวกเราในการที่จะร่วมกันประคับประคองสังคมของเราให้ก้าวเดินไปอย่างเข้มแข็งและมั่นคงได้ อีกยาวนาน...


ป.ล.หนังเรื่องนี้ยังไม่มีผู้นำเข้ามาฉายในเมืองไทยนะครับ ทั้งที่เป็นหนังซึ่งดีมากๆ สำหรับผู้สนใจ ก็ต้องเรียนตามความสัตย์จริงว่า สามารถหาดูได้ทางออนไลน์ครับ

ยอดละครเกาหลีที่ “บิ๊กตู่” ดูแล้วฟิน : Descendants of The Sun #ทหารหล่อบอกด้วย #หมอสวยก็เช่นกัน





ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
กำลังโหลดความคิดเห็น