โตเป็นสาวเต็มตัวเเถมยังมีใบหน้าสวยหวาน และฉายแววดังตามพ่ออีกด้วย สำหรับ "แองจี้ ฐิติชา สมบัติพิบูลย์" ลูกสาววัย 14 ปี ของศิลปินร็อกรุ่นใหญ่ระดับตำนานอย่าง “โป่ง ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์” หรือ “โป่ง หินเหล็กไฟ” ที่ตอนนี้กำลังเดินตามรอยพ่อในเส้นทางสายดนตรี แต่ทว่าต่างออกไปตรงที่เธอแหวกแนวหันมาโชว์ลีลาเท้าไฟในสไตล์ฮิปฮอป พร้อมทั้งแจ้งเกิดเป็น 1 ใน 18 ศิลปินวัยรุ่นสายเลือดใหม่ในโปรเจ็กต์ Kamikaze Next ของค่าย "กามิกาเซ่" ในเครือ อาร์เอสฯ เรียบร้อยแล้ว
"นัดคุย" ก็ไม่พลาดที่จะคว้าตัวเธอมาร่วมพูดคุยถึงก้าวแรกบนเส้นทางสายดนตรี และหลังจากกล่าวคำทักทายกับท่วงท่าที่มั่นใจของสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม บทสนทนาดังกล่าวจึงเริ่มต้นขึ้น กับประเด็นคำถามที่หนี้ไม่พ้น จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่บทบาทในฐานะศิลปิน แถมยังฉายแววเดินตามรอยพ่ออย่างเชื้อไม่ทิ้งแถว
"จุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้อง ตอนนั้นจี้อายุ 11 ปีค่ะ คือเราไปนั่งดูคอนเสิร์ตพ่อโป่ง และได้เข้าไปข้างหลังเวที และจี้ได้ไปเจอกับครูแหม่ม พัชริดา เขาก็ถามเราว่าร้องเพลงได้มั้ย หลังจากนั้นครูแหม่มเขาก็ชวนมาออดิชั่นที่ค่าย และพอจี้ไปแคสติ้งก็ได้ผ่านเข้ามา"
"จริงๆ จี้ชอบร้องเพลง ฟังเพลง ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็กก็ไม่ได้คิดว่าต้องมาเป็นนักร้องแบบพ่อ และจี้มารู้ตัวเองจริงจังว่าอยากเป็นนักร้อง ตอนนั้นจี้อายุประมาณ 10 ขวบ พอมันมีโอกาสเข้ามาก็รู้สึกตื่นเต้น"
ลูกไม้ใกล้ต้น
ใครหลายคนอาจสงสัยว่าการเติบโตมาในครอบครัวศิลปินด้วยหรือเปล่า เลยทำให้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงและเป็นนักร้องได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสาวน้อยรีบอธิบายให้ฟังทันทีว่ากว่าจะได้เป็นนักร้องและได้มีเพลงเป็นของตัวเอง เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะต้องฝึกร้อง ฝึกเต้น เป็นศิลปินฝึกหัดอยู่นานถึง 2 ปี
“ก่อนหน้านี้จี้ก็เป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ที่อาร์เอส ประมาณเกือบ 2 ปี ระหว่างนั้น จี้ก็ฝึกร้อง ฝึกเต้น ฝึกแอกติ้ง ตลอดเลย ช่วงนั้นถือว่าเป็นอะไรที่เครียดมาก ต้องซ้อมทุกวัน แถมรุ่นพี่ก็ทยอยออกซิงเกิ้ลจนเหลือเราคนเดียว ตอนนั้นไม่มีเพื่อนเลย กลายเป็นความกดดันตัวเอง กลัวจะไม่ได้ออกซิงเกิ้ลเหมือนคนอื่นๆ"
"ถามว่าเหนื่อยมั้ย ก็เหนื่อยนะค่ะ แต่หลังๆ เริ่มชินแล้ว และบวกกับตัวจี้เองได้มาเจอเพื่อนๆ ในกามิกาเซ่ เน็กซ์ พวกเขาก็เฮฮากันทุกคน มันเลยรู้สึกไม่เหนื่อยแล้ว ซึ่งวันนี้จี้ก็ทำได้แล้ว รู้สึกดีใจกับตัวเองที่ไม่ได้ยอมแพ้ในวันนั้น"
"(หัวเราะ) เอาจริงๆ เลยนะ ถ้าหนูใช้เส้นพ่อเข้ามา หนูคงไม่ต้องไปนั่งฝึกนานถึง 2 ปีหรอกค่ะ 3 เดือนหนูก็ออกเพลงได้แล้ว ถามว่าการที่เราก้าวมาเป็นศิลปินเต็มตัวคุณพ่อคุณแม่รู้สึกอย่างไร เขาก็ภูมิใจในตัวจี้นะค่ะ แต่คุณพ่อจะไม่ค่อยแสดงออก ไม่ค่อยชมจี้เท่าไหร่หรอก จะออกแนวช่วยแนะนำมากกว่า ว่าอย่าเพิ่งหลงตัวเองนะ อยากให้เราทำหน้าที่อย่างเต็มที่"
"ส่วนเพลงเป็นแบบสไตล์ที่จี้ชอบค่ะ เป็นป็อป ฮิปฮอป อันนี้จี้เลือกเองค่ะ เพราะปกติจี้ก็ชอบฮิปฮอปอยู่แล้วค่ะ เริ่มจากจี้ชอบศิลปินที่แบบฮิปฮอปก่อน แล้วเหมือนชอบการแต่งตัวสไตล์ฮิปฮอปก็เลยชอบค่ะ ทำไมถึงไม่ชอบร็อคแบบพ่อ จริงๆ ก็ชอบนะค่ะ แต่จี้ว่าเพลงฮิปฮอบเป็นอะไรที่ตรงกับจี้มากกว่า"
เปิดบ้าน....ครอบครัวเพลง
เราจะเห็นได้ว่าสาวน้อย "แองจี้" เป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นเลย เพราะนอกจากจะหลงรักในเสียงดนตรีแล้วนั้น เรียกได้ว่าเธอได้เลือดศิลปินของคุณพ่อมาเต็มๆ แถมสาวแองจี้ยังบอกความรู้สึกอีกว่า โชคดีไม่น้อยที่ได้เกิดมาในครอบครัวศิลปินที่แสนอบอุ่น แถมพ่อและแม่ก็ไม่เคยบังคับให้เธอต้องทำในสิ่งที่เธอไม่ชอบ
"การที่จี้เติบโตมาในครอบครัวที่เป็นศิลปินอยู่แล้วนั้น จี้ถือว่ามันดีมากนะค่ะ อย่างเวลาที่จี้สงสัยหรือมีปัญหาอะไรจี้สามารถปรึกษาคุณพ่อได้เลย ซึ่งตัวจี้เองก็คลุกคลีกับเพลงมาตั้งแต่ตอนเด็กเลย จี้ไม่เคยบอกพ่อเลยค่ะ ว่าตัวเองอยากเป็นนักร้อง แต่เคยร้องเพลงให้คุณพ่อฟัง ซึ่งพ่อก็ไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มๆ ถามว่าตีกรอบชีวิตมั้ย ไม่ค่ะ พ่อกับแม่จะให้อิสระกับหนูเลย คือถ้าจี้ชอบทำอะไร อยากทำอะไรเขาจะโอเคหมดทุกย่าง เขาจะคอยแนะนำให้คำปรึกษามากกว่า"
"และการที่เราเดินตามรอยพ่อในการเป็นนักร้อง จนหลายคนจับตามอง เอาจริงๆ ตอนแรกจี้เองรู้สึกกดดันมาก จี้คิดว่าเราต้องทำให้ได้ ต้องแสดงศักยภาพของตัวเราออกมาให้ทุกคนได้เห็นว่า เห้ยเราทำได้นะ และการที่มีชื่อพ่อโป่งติดตัวเราไปในที่ต่างๆ เราก็คิดว่าจะทำยังไงดี หลายคนจะมองยังไงกับงานของเรา มันทำให้จี้ก็มองย้อนกลับไป คือเราไปเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้หรอก ว่าแต่ละคนจะคิดยังไง เพราะยังไงแล้วเราก็เป็นลูกของพ่อโป่งอยู่ดี"
"เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยมีใครรู้นะว่าจี้เป็นลูกพ่อโป่ง แต่พอข่าวออกไปก็รู้สึกตกใจเหมือนกัน ถามว่าพ่อโป่งดุมั้ย (หัวเราะ) ไม่ดุเลยค่ะ คือเพื่อนที่โรงเรียนก็จะทักว่า พ่อดุมั้ย (หัวเราะ) แล้วจี้บอกว่า ที่เห็นหน้าตาพ่อนิ่งๆ แบบนั้น ไม่ใช่เลย พ่อเป็นคนที่ชิวๆ บางครั้งก็มีฮาๆ ด้วยนะ พ่อโป่งเป็นคนที่หน้ารักมากค่ะ (ยิ้ม) แถมพ่อก็ไม่เจ้าชู้เลยค่ะ พ่อหนูรักแม่คนเดียว (หัวเราะ)"
ยาก! แต่คิดว่าต้องทำให้ได้
สำหรับเด็กอายุ 14 แล้ว มันไม่ง่ายนักกับการทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย อาจจะยากเกินตัวเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่าสาวน้อยแองจี้เองกลับมีมุมมองที่ต่าง เธอบอกว่ามันไม่ยากเกินตัวหรอก เหมือนเป็นการท้าทายในชีวิต และตัวเองก็เป็นคนที่ชอบทำงานอยู่แล้ว
"หนูเคยมองเพื่อนที่โรงเรียนนะ ช่วงแรกๆ หนูไม่ค่อยชิน ก่อนที่เราจะเข้าไปเป็นศิลปินฝึกหัด เราก็เล่นกับเพื่อน เรียนหนังสือ และกลับบ้าน แต่พอเรามาอยู่ตรงนี้ก็เหมือนมีอะไรหลายอย่าง ยอมรับช่วงแรกไม่ชินเลย แต่พอเวลาผ่านไปก็รู้สึกว่ามันสนุกดี เป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเรา และเหมือนเป็นงานที่เราชอบ ซึ่งเราก็อยากทำมานานแล้ว เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขด้วย ก็แฮปปี้ที่ได้ทำมากกว่า ตัวจี้เองเป็นคนที่ชอบทำงาน ซึ่งตัวหนูเป็นคนที่ขยันมากค่ะ (หัวเราะ)"
"ท้อมั้ย ก็มีท้อบ้างนะค่ะ ถามว่ามองข้ามยังไง จี้จะไม่มองข้ามนะ คือจี้เป็นคนที่คิดมากอยู่แล้ว เป็นคนที่ชอบเก็บเรื่องราวนั้นๆ เอามาคิด ถ้าจี้อึดอัดมากก็จะไปหาพ่อกับแม่เพื่อเล่าระบายเรื่องราวต่างๆ ให้เขาฟัง ว่าเหนื่อยอย่างนั้นอย่างนี้ ช่วงที่จี้เป็นเด็กฝึกอารมณ์แบบนี้จี้จะเป็นบ่อยมากค่ะ คิดว่าเมื่อไหร่เราจะมีผลงานเหมือนคนอื่นๆ จี้ก็เลยเลือกที่จะระบายให้คนที่เรารักฟัง (ยิ้ม+น้ำตาปริ้มๆ)"
"แรงบันดาลใจที่ทำให้จี้มายืนตรงนี้ได้ ก็มาจากพ่อค่ะ คือการที่จี้ท้อ จี้จะมองไปวันแรกที่เราเข้ามา จี้ไม่เคยเรียนร้องเพลงเลย ไม่เคยเรียนเต้นเลย (ร้องไห้น้ำตาไหลออกมา) แล้วมองคนที่ออกเพลงไปแล้ว ซึ่งคิดว่าทำไมเราถึงไม่ได้ออก คือมันก็มีบ้างที่แข่งขันกันเองข้างใน และหนูเต้นไม่เป็นเลย ซึ่งเพื่อนใหม่ที่เข้ามาเขาเต้นกันเป็นหมดเลย และตัวหนูเป็นคนเดียวที่เต้นไม่ค่อยเป็น มันเลยกดดัน มีพี่ๆ ผู้ชายเขาก็บอกให้เราสู้ๆ และแม่ก็จะบอกให้เราสู้ๆ ไม่เคยร้องไห้ให้พ่อเห็นนะ ถ้าร้องจริงๆ จะไปร้องกับคุณแม่ค่ะ (น้ำตาไหล)"
เปิดมุมมองของคนเป็นลูก!
หากจะกล่าวถึงผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนแต่อ้อมแขนของเขาก็อบอุ่นเสมอ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่บุคคลในฝันที่พร่ำเพ้อแต่ก็เป็นยอดมนุษย์ในดวงใจใครหลายๆคน ยามใดที่ทุกข์ท้อกำลังใจมากมายเขามีให้ ผู้ชายที่รักเราด้วยหัวใจ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ใคร เขาคือผู้ชายที่เราเรียกว่า “พ่อ” และในหยดน้ำตาที่ไหลริน สาวแองจี้เล่าด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า เคยคิดอยากให้พ่อเลิกเป็นนักดนตรี เพราะอยากให้เวลาทุกนาทีพ่อได้อยู่กับตนและครอบครัว
"พ่อเปรียบเสมือนฮีโร่ของหนูเลยค่ะ พ่อเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน เสียสละ (ร้องไห้) พ่อเป็นคนที่ทำงานหนักมาก และเวลาพ่อทำงานเขาก็จะกลับบ้านดึกๆ บางครั้งจี้ก็ไม่เจอหน้าพ่อเป็นอาทิตย์ๆ เลย มันถือว่านานมากนะค่ะ สำหรับจี้ตอนนั้น (เสียงสั่น น้ำตาไหลมาก) เมื่อก่อนหนูเคยคิดนะว่าอยากให้พ่อเลิกเป็นนักร้อง ไม่อยากให้พ่อต้องไปทำงาน อยากให้พ่อมาอยู่บ้าน อยู่กับหนู และครอบครัว (ร้องไห้)"
"เวลาที่พ่อไปแสดงคอนเสิร์ตที่ต่างๆ เราก็มีไปบ้างเป็นบางงาน คือเมื่อก่อนหนูอยู่ภูเก็ตค่ะ ก็เลยไม่ได้ตามพ่อไปเพราะมันไกล และบางงานพ่อก็ไปเล่นที่ต่างประเทศด้วย ซึ่งเขาก็ไม่เคยมาบ่นเลยนะว่าเขาทำงานมาเหนื่อย และการที่หนูมาทำงานตรงนี้ก็เพื่ออยากแบ่งเบาภาระของพ่อด้วย (ยิ้มและร้องไห้)"
"การที่จี้เข้ามาในวงการบันเทิง หนึ่งเลยคืออยากให้พ่อรับงานน้อยลง ซึ่งหนูก็เข้าใจว่ามันเป็นงานของพ่อ (ร้องไห้) แต่จี้ก็อยากให้พ่อพักผ่อนบ้าง พ่อก็เริ่มแก่แล้ว (หัวเราะ) ก็อยากให้พ่อดูแลสุขภาพ และเวลาที่พ่อเป็นอะไรเขาจะไม่ค่อยบอก เวลาที่พ่อไปทำงานจี้รู้ว่าพ่อเขาเหนื่อย แต่พ่อก็ไม่เคยพูดเลย อย่างบางงานเสียงพ่อมีปัญหา พ่อจะพูดว่าวันนี้เขาทำได้อยู่แล้ว สบายมากแค่นี้เอง (ร้องไห้หนักมาก)"
"ถามว่าพ่อโป่งหวงและห่วงเราขนาดไหน บอกเลยว่าห่วงมากค่ะ คือถ้ามีหนุ่มๆ เข้ามาพ่อบอกจะเอาปืนยิ่ง (หัวเราะ) และเวลาที่จี้ไปเดินเที่ยวห้างกับเพื่อนๆ พ่อเขาจะเดินตาม และจะคอยถามว่าลูกกลับกี่โมง หรือไม่ก็จะบอกว่าพ่อมารอรับแล้วนะ จริงๆ สนิทกับคุณพ่อคุณแม่ทั้งคู่นะค่ะ แต่ก็จะไปคนละทาง อย่างแม่จะปรึกษาเรื่องของการแต่งตัว ช็อปปิ้ง ส่วนพ่อก็จะเป็นเรื่องของแนวเพลง"
พ่อเป็น rock icons เห็นด้วยไหม?...."เห็นด้วยนะค่ะ หนูเห็นพ่อเป็นเหมือนไอดอลอีกคนหนึ่งค่ะ ตอนแรกที่รู้สึกอยากเป็นนักร้อง อยากขึ้นไปอยู่บนเวทีก็เพราะพ่อเลย พอเห็นพ่อเขายืนอยู่บนเวทีเขาดูเท่ห์มาก และก็คิดในใจว่าสักวันหนึ่งเราจะเป็นแบบนี้ให้ได้ อยากจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวเป็นของตัวเอง อยากไปยืนอยู่ในจุดที่พ่อเคยยืน อยากขึ้นคอนเสิร์ตกับพ่อสักครั้ง ซึ่งหนูก็เคยไปขอพ่อโป่งนะว่า อยากขึ้นคอนเสิร์ตกับพ่อ ซึ่งพ่อเขาก็ยิ้มๆ"
"เรื่องเทคนิคการร้องเพลง คุณพ่อไม่เคยสอนร้องเพลงเลยค่ะ สอนแค่การออกเสียง เวลากลับบ้านไปเคยไปร้องให้คุณพ่อฟังนะคะ คุณพ่อก็เงียบๆ ฟังแต่ไม่ได้ชมหรือติอะไรเลย เวลาเราร้องให้พ่อฟังพ่อก็จะบอกแค่ว่า ตรงนี้ต้องแก้นะ คือจี้เป็นคนที่ชอบร้องเพลงแบบบ้าๆ บอๆ ร้องไปเรื่อยๆ พ่อก็จะบอกว่าร้องตรงนี้ผิดนะ พ่อโป่งก็จะช่วยแก้ให้ตลอดค่ะ"
"ถ้าสมมติเกิดวันหนึ่งที่จี้ไม่ได้เป็นนักร้อง จี้ฝันอยากทำงานเบื้องหลัง ด้วยการแต่งเพลง จี้เห็นพ่อแต่งเพลงจี้รู้สึกว่ามันเท่ห์มาก เหมือนเราได้ทำเพลงเองด้วย ที่บ้านจี้ก็จะมีห้องอัดอยู่แล้ว เราจะเห็นพ่อนั่งแต่งอยู่ในห้องทั้งวัน เห็นพ่อทำเลยอยากทำบ้าง ตอนนี้ก็ศึกษาหาความรู้อยู่ค่ะ เพราะถ้าวันหนึ่งที่เราทำเพลงเองได้ก็รู้สึกภูมิใจนะ และจี้คิดว่าในอนาคตน่าจะมีชิ้นงานเพลงเป็นของตัวเองค่ะ ตอนนี้ขอฝึกก่อนค่ะ (ยิ้ม)"
หลังจากที่นั่งคุยมาได้สักพักใหญ่ ก่อนจากกันน้องแองจี้กล่าวทิ้งท้ายถึงผลงานเพลงชิ้นแรกว่า เธอคาดหวังกับซิงเกิ้ลแรกเป็นอย่างมาก เพราะเธอใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดทำมันออกมาอย่างเต็มที่ และหวังว่าคนฟังจะชอบแล้วมีความสุขไปกับมันเหมือนที่เธอเป็นเท่านั้นเอง
"การเป็นนักร้องในยุคนี้ถ้าไม่เก่งจริง ไม่โดดเด่นจริง จะอยู่ในวงการบันเทิงได้นาน จี้อยากตั้งใจทำผลงานออกมาให้คนจำได้ แบบเห้ยคนนี้เก่งนะ จี้ก็อยากอยู่วงการนานๆ และวันนี้มันก็เหมือนเป็นก้าวแรกของจี้ ซึ่งจี้ยังต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ พ่อโป่งบอกจี้ตลอดว่ามันเพิ่งเป็นก้างแรก อย่าหลงตัวเองไป อย่างซิงเกิ้ลแรกจี้คาดหวังอยากให้ทุกคนเข้าใจในสไตล์ของหนู เพราะว่าเพลงแรกของจี้มันเป็นชีวิตจริง อยากให้คนเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น"
"สุดท้ายนี้จี้อยากขอบคุณทุกๆ คนที่ติดตามมาตลอดตั้งแต่ตอนเป็นเด็กฝึก ที่ไม่รู้ว่าจะได้ออกเมื่อไหร่ พอมาถึงวันนี้ก็มีหลายคนที่ยังติดตามจี้อยู่ ก็อยากฝากขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้จี้มาโดยตลอด สัญญาว่าจะทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้แฟนๆ ที่รอเรามานานต้องผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ (ยิ้ม)"