ถึงตอนนี้ คงไม่มีอะไรให้บรรยายมากไปกว่าคำว่า “หนังเรื่องนี้ กระแสดีมาก!” และจากกระแสข่าวก็ระบุว่า ผลงานชิ้นนี้กลายเป็นหนังทำเงินในการเปิดตัวฉายวันแรก ชนะหนังพันล้านอย่าง “พี่มากพระโขนง” ไปแล้วเรียบร้อย
ทุบสถิติใหม่ เรียบร้อยโรงเรียนแจ๊ส!! เขาว่าอย่างนั้น
เมื่อดูบริบท ก็ใช่จะไร้ข้อมูลหรือฟังดูเกินจริง แม้ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า ช่วงวันสองวันที่ผ่านมา “หลวงพี่แจ๊ส 4G” แทบจะประกาศยึดโรงหนังได้สำเร็จ จากโรงฉายและรอบฉายที่มากกว่าใครเพื่อน แต่ทั้งนี้ ข้อนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีที่มา เพราะต้องยอมรับอีกครั้งว่า ในสัปดาห์นี้ หนังที่เป็นกระแสจริงๆ ก็คือหลวงพี่แจ๊ส เดอะ ฮันท์แมนฯ (The Huntsman : Winter's War) อาจจะเป็นหนังฟอร์มใหญ่จากฮอลลีวูดก็จริง แต่ถ้าพูดถึงตัวกระแส ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสำหรับตลาดหนังบ้านเรา หลวงพี่แจ๊สดูดี มีภาษีที่ดีกว่า จากหน้าหนัง จากหนังตัวอย่างที่ยืนยันได้จากยอดคลิกเข้าชมทะลุล้านกว่าวิว ภายในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ปัจจุบันมีคนดูตัวอย่างหนังในยูทูปไปแล้ว 5 ล้านกว่า พร้อมทั้งกดไลค์กดแชร์กันไปอีกเป็นแสนๆ ความจริงข้อนี้ก็คงหนักแน่นเพียงพอที่หนังควรจะได้โรงฉายมากกว่าใครอื่น...
อันนี้มองกันในแง่ของธุรกิจ แบบไม่ต้องไปยึดติดหรือคิดว่า นี่คือหนังซึ่งโรงหนังมีส่วนเกี่ยวด้วย (หลวงพี่แจ๊ส 4G จัดจำหน่ายโดยเอ็มพิคเจอร์ส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือของเมเจอร์เจ้าของโรงหนัง) และพูดก็พูดเถอะครับ ที่ว่ากันว่าหลวงพี่แจ๊สยึดโรงหนังไปหมดนั้นก็ไม่จริงหรอกครับ เพราะเขาก็เฉลี่ยให้ดูสมเหตุสมผลอยู่ อย่างโรงเมเจอร์ ซูพรีม สามเสน ที่ผมไปดู มีทั้งหมด 6 โรงฉาย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลวงพี่แจ๊สได้สองโรง และวันนี้ (วันศุกร์) ขณะที่เขียนบทความ ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งโรง แน่นอนว่า นี่คือเรื่องที่เป็นไปตามวิถีปกติ เพราะกระแสหนังที่ดีมาก คนดูล้นโรง ก็จำต้องเพิ่มรอบเพิ่มโรงเพื่อรองรับลูกค้า
อย่างที่เกริ่นไปครับว่า ตัวอย่างหนังของหลวงพี่แจ๊สนั้น ก่อปฏิกิริยาความอยากดูให้เกิดขึ้นในความคิดของผู้ชมได้อย่างเฝ้ารอ ตัวอย่างหนังนั้นทำได้ดีในแง่ที่โฟกัสตำแหน่งของตัวเองได้เด่นชัดในฐานะของหนังตลก คือเห็นตัวอย่างแล้ว โดนใจไปหลายมุกแล้วในหนังตัวอย่าง ความคาดหวังของคนดูย่อมชัดเจนว่า ถ้าเดินไปที่บ็อกซ์ออฟฟิศแล้วจ่ายตังค์ซื้อตั๋วเข้าไปดู เขาจะได้รับอะไรจากหนังเรื่องนี้ ผมจำไม่ได้แล้วเหมือนกันนะครับว่า นอกจากหนังจีทีเอช (ซึ่งแยกย้ายกันไปแล้ว) มีหนังจากไหนอีกบ้างที่ดูตัวอย่างแล้วมันตลกแบบนั้น (สำหรับคนที่ไม่ตลก ก็นิ่งๆ ไว้ก่อนนะครับ คนตลกน่าจะมีเยอะ) และในฐานะที่ติดตามหนังไทยมาต่อเนื่อง ซึ่งรู้สึกตลกทุกครั้งที่เห็นตัวอย่างหนังตลกที่ไม่ตลก และตลกยิ่งกว่าก็คือ พอเข้าไปดูหนังฉบับเต็มแล้วกลับรู้สึกตลกที่หนังตลกมันไม่ตลก และด้วยเหตุนี้ เมื่อไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่แล้ว ผมจึงอนุญาตให้ตัวเองใช้คำว่า “โอเอซิส” กับหลวงพี่แจ๊ส 4G
“โอเอซิส” ในความรับรู้และเข้าใจง่ายๆ ก็คือดินแดนแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งชุ่มชื่นอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะพวกคนที่เดินทางข้ามทะเลทรายมายาวนาน ขาดน้ำขาดอาหาร เจอโอเอซิสสักแห่งนี่ มันเหมือนชีวิตเกิดใหม่เลยทีเดียว...ในทำนองคล้ายๆ กันนั้น หลวงพี่แจ๊ส 4G ก็เหมือนบ่อน้ำแห่งความตลกที่แห้งแล้งมานานพอควรแล้วจากหนังตลกบ้านเรา
จึงไม่เป็นที่แปลกใจแต่อย่างใด กับสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของผมเมื่อไปดูหนังเรื่องนี้ พ่อแม่พี่ป้าน้าอาจูงลูกผูกหลานไปดูหนังในโรง พูดตามประสาคนที่ดูหนังไทยในโรงมาจนบอบช้ำ ผมกล้ากล่าวได้ว่า นี่คือหนังไทยที่ผมเข้าไปดูในโรงแล้วไม่รู้สึกโหวงเหวงเลยแม้แต่น้อย อาจจะหงุดหงิดน้อยๆ เสียด้วยซ้ำจากพวกเด็กน้อยหนูน้อยที่ผู้ปกครองพามา แต่โดยรวมถือว่าน่าดีใจสำหรับหนังไทย ที่เขาบอกว่า “หนังไทยเดี้ยงแล้ว” ไม่น่าจะจริง คนไทยยังดูหนังไทย แต่ที่หนังเดี้ยงหนังตาย ก็คงว่ากันไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละเรื่อง...
ณ จุดนี้ มานั่งคิดอีกที ผมคิดว่าพลานุภาพของนักแสดงนำอย่าง “แจ๊ส ชวนชื่น” นั้น น่าจะมีผลพอสมควรกับการที่พ่อแม่ตัดสินใจพาลูกเล็กๆ ไปดู หรือคุณน้องคุณหนูก็อยากดูหนังที่น้าแจ๊สลุงแจ๊สแสดงนำ เพราะอย่าลืมนะครับว่า แจ๊ส ชวนชื่น นี่ระดับซูเปอร์สตาร์ของเด็กๆ ก็ว่าได้ เพลงร้องของเขา “หนุ่มฟ้อ หล่อเฟี้ยว” นี่เด็กน้อยรู้จักหมด มีงานโรงเรียน มีงานอะไร จะต้องมีการร้องหรือเปิดเพลงนี้...อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับ ที่พักผมอยู่ใกล้มัสยิด ช่วงวันเด็กที่ผ่านมา มัสยิดจัดงานวันเด็ก ก็เปิดเพลงนี้วนไปวนมา รอบแล้วรอบแล้ว เพื่อบิลด์ความสนุกสนานของน้องๆ หนูๆ ส่วนผมก็ฟังจนหูชาไป
แม้ว่าในเวลาต่อมา... “แจ๊ส ชวนชื่น” อาจจะเซเสียหลักไปบ้างจากเพลงๆ หนึ่งซึ่งถูกต่อต้านอย่างหนัก แต่ด้วยความที่ไม่ดื้อไม่รั้นและยอมรับความจริง ก็ทำให้แจ๊ส ชวนชื่น ยังเป็นที่ชวนชอบสำหรับเด็กๆ ได้ดังเดิม...แจ๊ส ชวนชื่น จึงถือเป็นอีกหนึ่งแรงส่งให้กับหนัง นั่นยังไม่ต้องพูดถึงว่าเพลงประกอบของ “หลวงพี่แจ๊ส 4G” ก็ดูจะกวักมือเรียกคนดูได้ดีเช่นเดียวกัน
“แจ๊ส ชวนชื่น” มาในบทบาทของหลวงพี่...ต่อจากหลวงพี่เท่ง และหลวงพี่น้อย วงพรู...หลวงพี่แจ๊สมีฉายาในทางพระว่าอย่างไรไม่ปรากฏ แต่ได้ฉายาว่า “หลวงพี่ 4G” ตามชื่อหนัง...ท่ามกลางโลกที่วุ่นวายด้วยหญิงสาวรายล้อม “หนุ่มแจ๊ส” ตัดใจหนีไปบวชที่วัดป่าบนยอดดอย ด้วยความหวังว่าชีวิตใต้ผ้าเหลืองจะช่วยให้สงบจิตสงบใจลงได้บ้าง แต่ด้วยเหตุผลด้านการศึกษาในทางปริยัติ หลวงพี่แจ๊สซึ่งเป็นพระใหม่จึงถูกหลวงตาส่งไปศึกษาหาความรู้อยู่วัดในเมือง ซึ่งกลายเป็นที่มาของเรื่องราววุ่นๆ กวนใจพระวัยสะรุ่นที่ต้องข่มจิตข่มใจ และเป็นที่มาของเรื่องราวหลากหลายที่ทั้งน่าเจริญพรและไม่น่าเจริญพร
...กล่าวโดยภาพรวม “หลวงพี่แจ๊ส” อาจเทียบกับ “หลวงพี่เท่ง 1” ไม่ได้ ในแง่ของความเป็นหนังที่เล่าเรื่องได้รื่นไหลและมีความสมูธในการปะติดปะต่อฉากต่อฉากได้เรียบเนียนกว่า ขณะที่หลวงพี่แจ๊ส เราจะเห็นจังหวะที่หนังโดดๆ อยู่หลายฉากหลายตอน พูดง่ายๆ คือความต่อเนื่อง (Continue) ระหว่างฉากกับฉาก ยังน้อยกว่า (รวมถึงตรรกะของเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ “สุดแสนสตรองงง...ซะเมื่อไหร่?) แต่โดยอารมณ์ขันนั้น ไม่มีอันใดต้องติติง และจริงๆ ผมว่าพจน์ อานนท์ ผู้กำกับ นับว่าให้เกียรติกับต้นทางของหนังแฟรนไชส์ชุดนี้และความเป็นหนังพระตลก เนื่องจากมุกตลกในหนัง 99 เปอร์เซ็นต์ดูสะอาดปราศจากมลพิษ แบบเดินคนละทิศกับหนังอย่าง “หอแต๋วแตก” ที่หลายคนคุ้นเคย...อย่างไรก็ตาม ต่อให้ตัวเรื่องตัวฉากไม่ได้เนี้ยบในความต่อเนื่องรื่นไหล แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะคนตั้งใจจะไปขำอยู่แล้ว และพร้อมจะละเลยความเรียบรื่นของบทหนังที่ต่อให้กระโดดไปกระโดดมา (ถ้าไม่น่าเกลียดเกินไปนักจนยากจะยอมรับได้) แต่หากจุดที่กระโดดไปนั้น มันจะนำไปสู่มุกตลกอีกมุกสองมุกหรือหลายๆ มุกให้ได้หัวเราะ ให้ได้ฮา มันก็เป็นเรื่องที่ผมเชื่อว่าคนดูหนังส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับเรื่องความเนี้ยบหรือไม่ได้มองผ่านแว่นตากรอบหนาๆ ของวิชาการภาพยนตร์ รูโหว่รอยรั่วจึงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ และให้อภัยหรือมองข้ามได้ เพราะหัวใจไปผูกไว้กับความเฮฮาเรียบร้อยแล้ว
“หลวงพี่แจ๊ส 4G” เป็นหนังบันเทิงที่ดูง่ายๆ ย่อยง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีสมาร์ทโฟนติดไม้ติดมือหรือเล่นสื่อโซเชียลกันตลอดเวลา น่าจะอินกับสิ่งละอันพันละน้อยที่หนังแตะนิดต้องหน่อยไปเรื่อยๆ หลายเรื่องราว...ยุคสมัยซึ่งขับเคลื่อนด้วยข่าวคราวเรื่องราวในโซเชียลที่คนสามารถรับรู้ได้เหมือนๆ กันนี้ นับเป็นปัจจัยอย่างมากในการสร้าง “ความรู้สึกร่วม-ระลึกร่วม” ไปกับหนังได้ เพราะหนังหยิบเอาหลากหลายเหตุการณ์เรื่องราวที่เคยดังเกรียวกราวในโลกสื่อโซเชียลมาพูดถึง ตั้งแต่เรื่องคนไปจนถึงเรื่องพระ เป็นเหตุการณ์เรื่องราวที่คนดูก็ต่อติดกับหนังได้สบายๆ เพราะเป็นเรื่องที่เคยเห็นเคยรู้กันอยู่แล้ว อันที่จริง พจน์ อานนท์ เคยหยิบเอาปรากฏการณ์ร่วมสมัยที่ปรากฏเป็นข่าวมาทำหนังแล้ว หรือแม้แต่เอาเรื่องราวทางสังคมนั่นนี่มาหยอดใส่ไว้ในหนังอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว เพียงแต่ผมรู้สึกว่า ใน “หลวงพี่แจ๊ส 4G” มันมีความเป็นเอกภาพมากกว่า
การมองสื่อสมัยใหม่อย่างเฟซบุ๊กหรืออะไรต่อมิอะไร ในหนังของพจน์ อานนท์ อาจไม่ได้ซีเรียสเครียดเคร่งแบบต้องเกร็งปัญญาไปดูไป ผมว่าเขาพูดถึงการอยู่ร่วมกับสื่อได้อย่างเข้าใจง่ายๆ พร้อมกับอาศัยคำสอนทางพระมาสรุปบทเรียนพอเป็นพื้นฐาน เช่น การพูดถึงกรณีของ “ดีเจเบ่ง” (ในหนัง) ที่ถอยรถปิ๊กอัพวีโก้ชนรถคนอื่น พจน์ อานนท์ ก็พูดเหมือนอย่างเพื่อนพูดกับเพื่อนง่ายๆ ว่า อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อกับคำพูดของคู่กรณี การมีสติปัญญา... คอ วอ ยอ... อันเป็นตัวย่อของ “คิด-วิเคราะห์-แยกแยะ” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเราๆ ท่านๆ ที่หายใจร่วมกันอยู่ในโลกโซเชียลปัจจุบันที่ดราม่าเอย เรื่องจริงเรื่องลวงเอย เกิดขึ้นแทบทุกวินาที
“หลวงพี่แจ๊ส 4G” ไม่ใช่หนังตลกไร้สาระ เพียงแต่สาระของมันอาจไม่ได้ลุ่มลึกแหลมคมขนาดที่จำเป็นต้องตีลังกาห้าสิบตลบถึงจะเข้าใจ แต่เป็นสาระที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ไม่ยาก ขณะเดียวกัน หนังก็ยังคงรักษาขนบของแฟรนไชส์ “หลวงพี่” ไว้อย่างเคารพต้นทาง มีพระธรรมคำเทศน์แบบเข้าใจง่ายๆ แทรกอยู่ในระหว่างทางเป็นระยะๆ ซึ่งก็ถือเป็นขนบของหนังชุดนี้ที่มักจะเทศนาอะไรๆ ให้คนดูได้ฟังอยู่แล้ว นับตั้งแต่ยุคหลวงพี่เท่งเป็นต้นมา
คือฟังแล้ว ได้ยินแล้ว ก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก
นอกจากกล่าวคำ “สาธุ” กันไปตามธรรมเนียม...
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม