เป็นการปิดฉากไตรภาคที่ครบรส งดงาม ไม่ว่าจะมองในแง่ความสนุกของฉากแอ็กชั่นการต่อสู้ หรือแม้กระทั่งอารมณ์ขัน ไปจนถึงดราม่าที่เล่าออกมาได้สะเทือนใจ ...
ครับ, สำหรับแฟนหนังหมัดมวยฮ่องกง นี่คือภาพยนตร์ที่ลงหลักปักฐาน เป็นปรากฏการณ์ความฮิตและสร้างความชื่นชมให้กับคนดูมาตั้งแต่ภาคแรกเมื่อปี 2008 ก่อนติดตามมาด้วยภาคสองในปี 2010 และตอนนั้น ดูเหมือนเรื่องราวของปรมาจารย์หย่งชุนบนจอเงินจะถึงกาลสิ้นสุดแล้ว เพราะนักแสดงหลักของเรื่องที่รับบทอาจารย์ยิปมันก็เหมือนเกริ่นไว้ทำนองว่าจะไม่มียิปมันภาค 3 อย่างไรก็ตาม มาถึง พ.ศ.นี้ ดอนนี่ เยน ก็กลับมารัวกำปั้นอีกครั้งในหนังภาค 3 ซึ่งอาจจะเป็นภาคสุดท้ายของปรมาจารย์หมัดมวยแห่งฟอซานผู้นี้
ว่ากันตามจริง ย้อนกลับไปสู่ยุคเริ่มต้นภาคแรก ดูเหมือนว่ากระแสหนังกังฟูฮ่องกงดำรงอยู่ค่อนข้างซบเซา บ้านเราที่ยังมีติดตาม ส่วนมากก็เป็นกลุ่มแฟนคลับเดนตาย สังเกตได้จากโรงหนังที่จะฉายภาพยนตร์จากฮ่องกงก็น้อยเต็มที อีกทั้งบางที ก็ฉายพอพอเป็นพิธีเพื่อให้ได้ทำลงแผ่นดีวีดี หรือไม่อย่างนั้นก็จับยัดลงแผ่นไปเลย แต่เมื่อการมาถึงของปรจารย์ยิปมัน การณ์กลับดูกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะแม้กระทั่งคนที่อาจจะไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับหนังจีนฮ่องกงมาก่อน ก็ยังต้องเหลียวมองผลงานเรื่องนี้
เหตุผลที่พอเข้าใจได้ ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าความจริงที่ว่า หนังยิปมันนั้นสร้างออกมาได้สนุกในหลากหลายมิติ ทั้งตัวเรื่องที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกฮึกเหิม ซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาของหนังอันว่าด้วยยุคสมัยก่อนนั้นที่ความรักชาติรักแผ่นดินถิ่นเกิดร้อนแรงอยู่ในสายเลือดของคนจีน ทั้งตัวละครอย่างอาจารย์ยิปมันที่ดูมีเสน่ห์ ขณะที่นักแสดงผู้รับบทอย่างดอนนี่ เยน ก็สื่อบทบาทออกมาได้เท่น่าประทับใจ นั่นยังไม่ต้องพูดถึงแม่ไม้หมัดมวยหรือศิลปะการต่อสู้ (Martial Art) ที่วาดลวดลายได้งดงามพลิ้วไหว หลังจากหวงเฟยหงเป็นต้นมา ดูเหมือนปรมาจารย์มวยหย่งชุนนี้เองที่ครองความนิยมชมชอบจากคนดูผู้ชมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พูดง่ายๆ ว่า แค่อาจารย์ยิปฝึกซ้อมหมัดมวยกับหุ่นไม้ก็ดูน่าตรึงตราตรึงใจเพียงพอแล้ว
นั่นจึงไม่แปลกใจที่ใครหลายคนจะรู้สึกใจหายไปบ้างเมื่อพระเอกดอนนี่ เยน บอกว่าจะไม่มีภาคสาม อย่างไรก็ตาม ภาคสามมาแล้วครับ และคับแน่นด้วยคุณภาพดังเดิม ประเด็นเกี่ยวกับอาจารย์ยิปนั้นยังอยู่ครบถ้วน แถมเสริมเพิ่มไปด้วยพลังความสะเทือนใจของชีวิตรัก ประเด็นเกี่ยวกับคุณธรรม หรือแม้แต่ความฮึกเหิมในเกียรติศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมให้ใครมารุกราน
บทภาพยนตร์นั้นถูกเขียนขึ้นมาอย่างหลากอารมณ์ ทั้งในแง่ความดราม่าก็ผ่าน อารมณ์ขันก็ได้ หรือแม้กระทั่งการต่อสู้ที่มีฉากบู๊แทรกแซมอยู่เป็นระยะๆ กระทั่งจบเรื่อง ความคมของถ้อยคำหรือบทพูดที่คมคายสไตล์หนังแนวนี้ที่มักเน้นเรื่องคุณธรรม ก็มีหลายฉากหลายวรรคตอนที่ฟังแล้วต้องเก็บมาคิด เพราะต้องไม่ลืมว่าปรัชญาที่เปรียบเป็นเสาหลักของมวยหย่งชุนก็คือคำสอนของขงจื๊อ เรื่องคุณธรรมจึงค้ำยันและถูกให้ความสำคัญสำหรับผู้ฝึกฝนกังฟูแนวนี้
นักแสดงอย่างดอนนี่ เยน กลับมาเป็นอาจารย์ยิปมันอีกครั้งได้อย่างน่าชูจอกคารวะ สีหน้า แววตา ท่าที ที่บ่งบอกถึงความสุขุมคัมภีรภาพ นุ่มนวลแต่หนักแน่น อ่อนโยนแต่แข็งแกร่ง ทั้งหมดทั้งมวลได้รับการสื่อผ่านบทบาทการแสดงของดอนนี่ เยน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ อีกทั้งความคลี่คลายในลักษณะของผู้เยี่ยมยุทธที่อ่อนโยนมากอารมณ์ขัน ก็เป็นเสน่ห์แบบอาจารย์ยิปมันที่ก็คงมีเพียงผู้บรรลุวรยุทธถึงขั้นจริงๆ เท่านั้นที่จะมีบุคลิกภาพที่น่านับถือเยี่ยงนี้ได้
ยิปมันในภาคนี้ต้องประหมัดฟัดมวยกับหลากหลายตัวละคร หนึ่งในนั้นก็คือไมค์ ไทสัน ฉากต่อสู้สามนาทีนั้น แม้จะดูเหมือนสั้น แต่ทว่ามันส์ระทึกมากในความรู้สึก มวยจีนปะทะมวยฝรั่ง เราเห็นมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ก็ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้ครั้งไหน ในขณะที่อีกหนึ่งมวยหย่งชุน ศิษย์ร่วมสำนักของอาจารย์ยิปมันอย่าง “จางจิ้น” ที่เมื่อเร็วๆ นี้เราได้เห็นเขาในหนังเรื่อง SPL ภาค 2 ก็นับเป็นไฮไลต์สำคัญอีกตัวหนึ่งของเรื่องราว เขาอาจไม่ผุดผ่องร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะความจำเป็นบางประการ แต่ถ้าว่ากันด้วยวิถีแห่งจอมยุทธรวมทั้งฝีมือ คงไม่มีใครกล้าหือได้ง่ายๆ
เหนืออื่นใด เราคนไทยจะได้เห็นคนไทยด้วยกันไปปรากฏในหนังเรื่องนี้ด้วยครับ เขาอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมาก แต่เป็นผู้ที่มีความสามารถในฐานะสตันต์แมน เกิดมาร่วมยุคร่วมวันเวลากับจา พนม และสั่งสมประสบการณ์มานานเนิ่น นั่นก็คือคุณสุชาติ ขันวิไล หรือ “ไซม่อน กุ๊ก” การปรากฏตัวของเขาในหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่วูบวาบเดินผ่านหน้ากล้องแล้วโดนถองทีสองทีก็ตาย หากแต่ได้โชว์ประหมัดประลองยุทธกับอาจารย์ยิปอย่างดุเดือด แอ็กชั่นระหว่างชาวไทยกับดอนนี่ เยน ฉากนี้ ถือว่าคิดมาได้เท่มาก เพราะเล่นกับเวลาของลิฟท์ที่เลื่อนลง สมัยก่อน จอมยุทธอาจใช้วิธีประหมัดประลองกระบี่กันด้วยระยะเวลาชั่วหนึ่งธูปดับ แต่กับฉากนี้ มันคือระยะเวลาของลิฟท์ขึ้นลง อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงเรียงนามของสุชาติ ขันวิไล ก็ควรได้รับการยกชูขึ้นมาให้มีตำแหน่งแห่งชั้นที่ชัดเจนเด่นขึ้นจากบทบาทแอ็กชั่นของเขาในหนังเรื่องนี้
ยิปมันสองภาคที่ผ่านมา เนื้อหาของเรื่องนั้นดูจะพุ่งไปที่ความเป็นชาตินิยม โดยมีหมัดมวย (หย่งชุน) เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจและใช้ต่อกรต่อผู้รุกราน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นในภาคหนึ่ง หรือฝรั่งในภาคสอง แต่พอมาภาคนี้ ผมคิดว่าตัวหนังนั้นได้คลี่คลายจากความเป็นอริไปพอสมควร แล้วอบร่ำด้วยมวลแห่งปรัชญาและเจตนารมณ์แห่งหมัดมวย มันคือการมองกลับไปยังตนเอง ยังเป้าหมายของตนเองว่าท้ายที่สุดแล้ว วิถีแห่งจอมยุทธควรดำรงอยู่เพื่อการใด นี่คล้ายกับการตีทวนหวนย้อนกลับไปสู่รากเหง้าทางความคิดที่เด่นคมอยู่ในหนังยิปมันตั้งแต่ภาคแรกที่อาจารย์ยิปได้กล่าวกับพวกญี่ปุ่นว่า “กังฟูของผมแฝงปรัชญาขงจื้อ ซึ่งสอนให้คนแข็งแกร่งปกป้องคนอ่อนแอ ไม่ใช่ใช้กำลังและความแข็งแกร่งไปข่มเหงรังแกใคร” และถ้าเป็นในภาคนี้ก็คงเป็นบทพูดของอาจารย์ยิปที่รัวใส่ตำรวจ หนักหน่วง หนักแน่นพอๆ กับพลังหมัด (ซึ่งอยากให้ไปฟังกันชัดๆ ในโรง)
หย่งชุนผู้พิทักษ์ ปกป้องคนที่อ่อนแอ คือสิ่งที่แน่วแน่อยู่ในสำนึกของอาจารย์ยิปมาโดยตลอด แม้ในยามทุกข์ยาก ยังร่ำรวยด้วยคุณธรรม นึกถึงภาคสองตอนอาจารย์ยิปเปิดสำนักสอนมวย บางคนสนใจในหมัดมวย ไม่มีเงินเรียน อาจารย์ยิปก็ให้เรียนฟรีไม่คิดเงิน แม้ในภาคนี้ก็ยินดีที่จะไปเป็นแม้กระทั่งยามโรงเรียน แบบไม่เกรงครหาว่าใครจะมองว่า เป็นถึงครูมวย แต่กลับไปทำหน้าที่ยาม
เรื่องของอาจารย์ยิป เป็นเรื่องราวที่ดีงาม
และยิปมันภาค 3 ก็ทำให้ความดีงามนั้นเจิดจรัสชัดแจ้งอย่างสมบูรณ์แบบ
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม