นับตั้งแต่เปิดตัวหนังไทยเรื่องแรกๆ ตั้งแต่ปี 2548 กับเรื่อง “เสือคาบดาบ” นับถึงวันนี้ โมโนฟิล์ม ภายใต้ชายโมโนกรุ๊ป ก็มีอายุครบสิบปีเต็มและยังคงผลิตหนังไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่ซื้อลิขสิทธิ์หนังจากเมืองนอกมาจัดจำหน่ายให้คนไทยได้ชม ตัวอย่างเรื่องที่หลายคนอาจจะรอคอยอยู่ในขณะนี้ก็คงหนีไม่พ้น “เอสพีแอล” (SPL) ภาค 2 ที่ต้องยอมรับว่าหนังภาคแรกที่ดารายอดนิยมอย่างดอนนี่ เยน เล่นไว้นั้น ได้รับเสียงยกย่องเป็นเอกฉันท์ว่ามันคือหนังฮ่องกงซึ่งสนุกมากและถือเป็นตำนานแห่งหนังแอ็กชั่นไปแล้วอีกเรื่องหนึ่ง แม้ภาคใหม่นี้จะไม่มีดอนนี่ เยน แต่ก็มี “โทนี่ จา” นักแสดงชาวไทยได้ร่วมแสดงด้วย และคาดการณ์จากหน้าหนังแล้ว หากโปรโมตให้ดังๆ เชื่อว่าหนังน่าจะไปได้สวยแน่นอนในแง่รายได้
อย่างไรก็ตาม มองข้ามมาที่ฝั่งของหนังไทยจากค่ายโมโนฟิล์ม ต้องยอมรับว่า หนังอย่าง “Me Myself ขอให้รักจงเจริญ” (2550) และ “Happy Birthday” (2552) มาจนถึง “ชิงหมาเถิด” เมื่อปี 2553 ซึ่งทั้งหมดเป็นผลงานการกำกับโดยพงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง ทั้งสามเรื่องนี้จัดว่าเป็นหนังที่ได้รับการพูดถึงและคำชมมากที่สุดแล้ว นอกเหนือไปจากนั้น อาจกล่าวได้ว่า ถ้าไม่กระแสกลางๆ พอเป็นที่พูดถึงบ้าง ก็เทข้างไปทางที่ถูกลืมทั้งๆ ที่ยังฉายอยู่ในโรง พูดง่ายๆ ก็คือ กระแสอาจจะไม่หวือหวามากมาย แต่โมโนฟิล์มก็ไม่เคยหายไปจากโลกแห่งหนังไทย และยังสร้างหนังไทยมาอย่างต่อเนื่อง และ “คนอกหัก” ก็คือเรื่องล่าสุดที่เพิ่งลงโรงฉายในสัปดาห์นี้
โดยสัดส่วนมวลสาร ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวหนังนั้นมีองค์ประกอบที่เรียกความสนใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนของนักแสดงที่ได้ทั้ง “อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม” มานำแสดง ร่วมกับ “โทนี่ รากแก่น” และ “นาวินตาร์” ที่แต่ละคนก็พอจะกล่าวได้ว่ามีแฟนคลับที่คับคั่งเป็นของตนเอง ซึ่งพร้อมจะตีตั๋วเข้าไปชม (และกรี๊ด) ดาราที่พวกเขารัก ฝั่งฟากนักแสดงหญิง “หยก-ณัฐปภัสร์ ธนาธนมหารัตน์” ก็เป็นลูกหม้อของโมโนกรุ๊ปมาแต่อ้อนแต่ออก เป็นพิธีกร ถ่ายโฆษณา และเล่นหนังใหญ่ให้โมโนมาแล้วสองสามเรื่อง ไล่ตั้งแต่ “ชิงหมาเถิด” มาจนถึง “อาร์ต ไอดอล อยากให้เธอรู้ว่ากูติสต์” ซึ่งในหนังเรื่องใหม่นี้ เธอมาพร้อมกับบทของ “น้ำ” หญิงสาวที่เหมือนกำลังจะไปได้สวย แต่แล้วก็เหมือนฟ้าผ่าลงทันควัน เมื่อแฟนหนุ่มของเธอที่คบหากันมานานถึงขั้นวางแผนจะแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บอกเลิกอย่างกะทันหันโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว อย่างไรก็ตาม ขณะที่ความรักซึ่งดำเนินมาเนิ่นนานพังทลายลง กลับมีผู้ชายสามคนเข้ามาวนเวียนในความคิดและชีวิต
คนแรก “ด๊อก” (โทนี่ รากแก่น) เป็นเพื่อนของน้ำตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย คนที่สอง “โอม” (อนันดา) คือนักธุรกิจหนุ่มผู้กำลังฮอตและเธอจำต้องเป็นคนไปเชิญเขามาออกรายการทีวีที่ด๊อกทำอยู่ และสาม “โจ” (นาวินตาร์) หนุ่มไทยที่ไปพักอาศัยและทำงานอยู่ในเมืองจีนซึ่งจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้กับรายการทีวีของด๊อกที่เดินทางไปถ่ายทำรายการอาหารที่เมืองลี่เจียง ประเทศจีน...
ในแง่เส้นเรื่อง กล่าวได้ว่า หนังมีการตั้งโครงของเรื่องราวมาดี และวางแผนไปถึงขั้นที่ว่าตัวละครหลักจะต้องพบเจอกับวิบากกรรมหรือวิกฤติการณ์อย่างไรบ้างในลำดับถัดไป หนังแบ่งตัวเองออกเป็นสามสี่พาร์ทใหญ่ๆ ตามจำนวนของตัวละครที่มาเกี่ยวข้องกับนางเอก และเล่าสลับกันไปมา โดยมีคำว่า “วันที่ 13 สิงหาคม” เป็นปลายทางที่จะทำให้สถานการณ์นั้นสุกงอมและเป็นวิกฤติใหญ่ที่จะคลี่คลายหรือขมขื่นมากขึ้นกว่าเดิม “คนอกหัก” ก็ต้องตัดสินใจ
มีหลายอย่างที่ผมรู้สึกชอบในหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่เปิดเรื่องมา เราจะได้เห็นตัวละครหญิงสาว คือ “น้ำ” เป็นดั่งกูรูในเรื่องรัก ทำหน้าที่ตอบคำถามในคอลัมน์ของนิตยสารที่เธอกับแฟนร่วมกันก่อร่างสร้างมา หนังอาศัยสเตตัสนี้ของน้ำ ในการแสดงความย้อนแย้งแทงใจว่า เอาเข้าจริง คนที่เก่งในเรื่องรัก ถึงขนาดตั้งสำนักไขปัญหาหัวใจบนหน้ากระดาษ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้เก่งกาจศาสดาแต่อย่างใด เมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญกับปัญหาหัวใจด้วยตัวเอง น้ำก็คือมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งมีคำคมๆ มีแนวคิดดีๆ ไว้ปลอบโยนหรือให้หนทางแก้ไขแก่ใครอื่น เหมือนกับ “ศาสดาทั่วไป” ไม่ว่าในนิตยสาร บนเฟซบุ๊ก หรือในโลกความเป็นจริง ที่สิ่งที่บอกสอน อาจอ่อนพลัง เมื่อต้องพบเจอกับความผิดหวังเจ็บปวดนั้นด้วยตัวเอง แต่เจ็บปวดแล้วอย่างไรต่อนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งสำหรับน้ำ ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดจะผลักเธอให้ถลำลึกแบบที่ไม่ทันนึกคำนึงถึงผลลัพธ์ที่อาจจะตามมา เธอก็อาจจะเหมือนกับชื่อของเธอ คือ “น้ำ” ที่ไหลไปเรื่อยไม่ยอมหยุด แม้แต่จะหยุดทำความเข้าในทุกข์โศกของตนเองอย่างถ่องแท้ถี่ถ้วน และเหนืออื่นใด มันกลายเป็นชนวนที่นำไปสู่บาดแผลที่เพิ่มขึ้น ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
ความขมขื่น การแก้แค้นและเอาคืน ด้วยการใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ, การฝืนทำเพียงเพราะเห็นว่าเป็นความสุขของอีกฝ่าย ไม่ใช่สิ่งที่จะการันตีได้ว่าความรักจักยืนนานมั่งคง หรือแม้กระทั่งคนอกหักและบาดเจ็บกับเรื่องรักก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับใครเพียงคนเดียวในโลก เพราะถ้าคลี่นับรายชื่อคนอกหักหรือเคยอกหักกับเรื่องรัก คงไม่มีใครนับไหว...สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่เด่นชัดในความคิดเมื่อมองย้อนกลับไปในเนื้อหนังของงานชิ้นนี้
“คนอกหัก” จึงเป็นหนังรักที่ไม่ได้มุ่งหมายเพียงให้คนดูรู้สึกถึงความรักที่หักพัง สิ้นหวังและทรมาน หากแต่ในหนึ่งด้านที่สำคัญ คือการแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างในลักษณะสอนใจไปด้วยว่าเมื่อถึงเวลาที่ความรักจบลง ความคาดหวังหรือภาพฝันที่วาดไว้ ไม่เป็นไปเหมือนที่คิด ชีวิตจะเดินต่อไปอย่างไร มีหลายฉากที่ผมชอบ อย่างตอนที่โทนี่ รากแก่น พูดแบบเปิดใจกับน้ำ ถือว่าซีนนี้เขาเล่นได้ดี สื่ออารมณ์ออกมาได้ดีมาก ส่วนการแสดงของอนันดา ในสถานะของไฮโซเพลย์บอย ก็เป็นพาร์ทที่เป็นอารมณ์ขัน เป็นสีสันและความตลกให้แก่หนัง
โดยภาพรวม ผมคิดว่ามองเห็นความพยายามของ “คนอกหัก” ที่ตั้งใจทำงาน โดยเฉพาะงานด้านภาพที่ถือได้ว่า การถ่ายภาพออกมาดูสวยมากในหลายๆ ฉาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้กำกับเติบโตมาจากเส้นทางของการทำมิวสิกวิดีโอ ภาพเมืองจีนในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะเมืองลี่เจียง ที่เลื่องชื่อ และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจำนวนมากอีกแห่งหนึ่ง หนังถ่ายภาพออกมาได้สวยงามน่าไปเที่ยวชม ส่วนตัวเนื้อเรื่องก็สุดแท้แต่ละคนว่าจะประทับใจมากน้อยแค่ไหนอย่างไร และยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนคลับของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอนันดา นาวินตาร์ หรือว่าโทนี่ ก็อาจจะมีความฟินเป็นพิเศษ
“คนอกหัก” เป็นหนังรักเกรดกลางๆ ที่พอดูได้ และมีความเห็นว่า คุณศุทธสิทธิ์ เดชอินทรนารักษ์ ซึ่งเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้นั้น สอบผ่านกับงานเรื่องแรก สิ่งที่หนังยังดูขาดไปนิด เป็นเรื่องความจี๊ดของตัวเรื่อง หนังที่จะถูกกล่าวถึงหรือบอกต่อ มักจะมีความชัดเจนในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ซึ้งมาก ตลกมาก น่ากลัวมาก ฯลฯ แต่สำหรับ “คนอกหัก” มันก้ำๆ กึ่งๆ ว่าควรจะพูดถึงแง่มุมไหนดี อีกทั้งตัวอย่างหนังที่ใช้ในการโปรโมต ก็ไม่สามารถกล่าวโทษผู้คนได้ หากเขาบอกว่า มันไม่เรียกร้องดึงดูดให้อยากดูสักเท่าไหร่ ถ้าใครเห็นว่าไม่จริง ก็แย้งกันได้ครับ
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม