ถึงนาทีนี้ คงต้องยอมรับในฝีมือว่า “เจ.เจ. เอบรามส์” ผู้กำกับที่มาจากสายทีวีซีรี่ส์ของอเมริกา ได้ทำให้หนังที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความทรงจำอันยิ่งใหญ่ในใจของคนดูผู้ชม กลับมายิ่งใหญ่ได้ถึง 2 เรื่องติด ไล่ตั้งแต่ “สตาร์ เทร็ก” ทั้งสองภาค (Star Trek และ Star Trek into Darkness) มาจนถึงโปรเจคต์ที่แฟนหนังพากันจับจ้องอย่าง “สตาร์ วอร์ส” ซึ่งห่างจอไปตั้งแต่ปี 2005 โดยเล่าเรื่องต่อในฐานะภาค 7 อย่างเต็มรูปแบบ
เจ.เจ. เอบรามส์ นั้น ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลไว้อย่างน้อยหนึ่งครั้งว่าอันที่จริง ตัวเขานั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของสตาร์ วอร์ส และรักหนังสตาร์ วอร์ส ยิ่งกว่าสิ่งใด อย่างตอนที่กำกับหนังสตาร์ เทร็ก นั้น แม้บางสื่อจะบอกว่าเขาไม่ได้อยากจะทำมากเท่าไหร่ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าผลงานที่ออกมาน่าพอใจอย่างยิ่งสำหรับคนดู และส่งต่อเป็นความพึงพอใจในแง่รายได้ให้กับค่ายหนัง นั่นเพียงแค่หนังที่ใช้คำว่า “ไม่ได้อยากจะทำมากเท่าไหร่นะครับ” แล้วสำหรับโปรเจคต์ของหนังในดวงใจอย่างสตาร์ วอร์ส ล่ะ มันจะขนาดไหน และหลังจากที่ลุ้นกันมาพักใหญ่ๆ ผลลัพธ์ก็ได้เฉลยแล้วที่โรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ
“มันยิ่งใหญ่และสำคัญสำหรับผู้คนมาก” เจ. เจ. เอบรามส์ ให้ความคิดเห็นไว้กับสื่อ “ผมคิดว่ากุญแจสำคัญในการดำเนินงานสร้างหนังแบบนี้ก็คือ ให้เกียรติ แต่ก็ไม่ยำเกรงต่อสิ่งที่เคยถูกสร้างมาก่อน”
คำกล่าวนี้มีทั้งนอบน้อมและกล้าหาญในกาลเดียวกัน และผลลัพธ์นั้นก็อย่างที่ทุกๆ คนจะได้สัมผัส คือไม่เพียงเราจะได้เห็น “อุบัติการณ์แห่งพลัง” ครั้งใหม่ที่ส่งตรงจากโลกของเจไดในยุคเก่า มาสู่เจไดรุ่นใหม่ หากแต่ “สตาร์ วอร์ส : เดอะ ฟอร์ซ อเวเค่นส์” ยังเป็นอุบัติการณ์แห่งความบันเทิงสนุกสนานของหนังสตาร์ วอร์ส ครั้งใหม่ได้อย่างงดงามด้วย ซึ่งเชื่อว่า ไม่ว่าแฟนรุ่นเก่าหรือคนดูหนังรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักมักคุ้นสตาร์ วอร์ส มาก่อน ทั้งนี้อาจรวมไปถึงคนที่รู้สึกว่าไม่ค่อยบันเทิงกับสตาร์ วอร์ส ภาคก่อนๆ ก็จะสามารถบันเทิงเริงใจไปกับหนังภาคใหม่นี้ได้เหมือนกัน ด้วยตัวเรื่องที่ผสมผสานทั้งความเป็นหนังแอ็กชั่นและดราม่าออกมาได้ลงตัว
พูดตามความจริง แม้ไม่รู้ลึกหรือรู้จริงหรือกระทั่งไม่รู้จักสตาร์ วอร์ส มาก่อน ก็น่าที่จะเข้าใจในตัวเรื่องได้ไม่ยาก เพราะเท่าที่สังเกต เมื่อหนังเอ่ยถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเมื่อมีการแนะนำตัวละครที่ผูกโยงมาจากหนังภาคก่อน อย่างเช่นตัวละครหลักอย่างลุค สกายวอล์คเกอร์ หนังก็ให้ข้อมูลและบริบทที่เพียงพอต่อการถักทอความเข้าใจของคนดู หรืออย่างตอนที่ “ฮัน โซโล” (แฮริสัน ฟอร์ด) โผล่มา หนังก็มีบทสนทนาโดยคร่าวๆ ให้เราทราบที่มาที่ไปของตัวละครตัวนี้ และเมื่อถึงเวลาที่จะขยายสเกลบทของฮาน โซโล ให้ใหญ่ขึ้น ก็มีการเอ่ยถึงอดีตความเป็นมาแบบกระจ่างแจ้งชัดเจน ดังนั้น สิ่งที่หลายคนกังวลว่าจะเป็นปัญหา ผมเห็นว่าหนังได้ทำการ “ช่วยคลี่คลาย” ให้แล้วระดับหนึ่ง และเป็นระดับที่พอจะเข้าถึงและเข้าใจเรื่องราวเนื้อหาของหนังได้
จากเรื่องราวในยุคใหม่ที่ส่งต่อมาจากยุคเก่า ราวกับโลกของเหล่าเจไดได้กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานไปแล้วเรียบร้อย “สตาร์ วอร์ส : เดอะ ฟอร์ซ อเวเค่นส์” และเพื่อไม่ให้เป็นการสปอยล์มากเกินไป บอกได้เพียวว่าจุดเด่นของเรื่องราวอยู่ที่สองตัวละครหลัก คือ “เรย์” (เดซี่ ริดลีย์) สาวน้อยผู้เก็บขยะขายเพื่อประทังชีพบนดินแดนแจ็คคู และ “ฟินน์” (จอห์น โบเยก้า) สตอร์มทรูเปอร์แห่งค่ายปฐมภาคี สองหนุ่มสาวแม้ต่างกันในแง่ “ที่มา” แต่ทว่าสถานการณ์กำลังกำหนดให้ “ที่ไป” ของพวกเขาโคจรมาพบกันในปรากฏการณ์ที่จะนำไปสู่อุบัติการณ์แห่งพลังครั้งใหม่
โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่าภาพรวมของหนังนั้นแทบจะไร้ริ้วรอยจุดด่างพร้อยโดยสิ้นเชิงก็ว่าได้ ทุกองค์ประกอบ ไล่ตั้งแต่บท การแสดง หรือแม้แต่บรรยากาศอารมณ์ทุกอย่าง มันสามารถดึงให้เราติดตามเรื่องราวไปได้ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความสนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใส่ฉากแอ็กชั่นการต่อสู้เข้ามาเป็นระยะๆ กลายเป็นไวยากรณ์การทำหนังแนวนี้ที่สตาร์ วอร์ส ภาคนี้ทำได้ดีมาก คือโดยหลักการของแอ็กชั่น จะออกสตาร์ทจากน้อยไปหามาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากสตาร์ วอร์ส ภาคนี้ นึกย้อนไปตอนที่ เจ.เจ. เอบรามส์ ทำเรื่องสตาร์ เทร็ก ผมเห็นว่าเขาเข้าใจอารมณ์ของคนดูที่ไม่อยากอยู่กับเรื่องราวดราม่าตลอดเวลา ถ้ามันมีช่องพอที่จะทำให้คนสนุกกับแอ็กชั่นได้ในระหว่างทาง ก็ทำ ขณะที่จะไปกระหน่ำกันแบบสุดๆ ในซีเควนซ์สุดท้าย ซึ่งเป็นซีเควนซ์ที่ชี้เป็นชี้ตายความเป็นไปของตัวละคร
ก่อนที่จะเผลอปสอยล์อะไรต่อมิอะไรมากไปกว่านี้ ผมคิดว่านี่คือหนังที่คนดูจะเอ็นเตอร์เทนไปกับมันได้ คะแนนจากผู้ชมทั้งในบ้านเราและเมืองนอก เกือบเป็นเอกฉันท์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มในเสียงชื่นชอบและชื่นชม มันสมกับที่สื่อหลายสื่อโหมกระพือมาก่อนหน้านี้ว่า เจ.เจ. เอบรามส์ จะได้วางรากฐานใหม่ให้กับสตาร์ วอร์ส ที่ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ กับตัวละครหน้าใหม่ที่แสดงได้สมบทบาททุกคน ไม่ว่าจะเป็น เดซี่ ริดลี่ย์, จอห์น โบเยก้า, ออสการ์ ไอแซ็ก และอดัม ไดรเวอร์ หรือถ้าคุณเป็นแฟนหนังรุ่นเก๋ากึ้ก ก็จะรู้สึกประทับใจในการกลับมาของสตาร์ วอร์ส ที่หยอดเรเฟอร์เรนซ์อ้างอิงพาดพิงถึงหนังภาคก่อนหน้าได้ถูกใจเหล่าแฟนเดนตาย เช่นเดียวกับการกลับมาของแฮริสัน ฟอร์ด กับบทฮัน โซโล ที่แม้จะแก่แต่ก็เท่เหลือหลาย นั่นยังไม่นับรวมเจไดผู้ลือเลื่องอย่าง “มาร์ค แฮมิลล์” ที่หนังทำให้เขาดูยิ่งใหญ่สมกับเป็นปรมาจารย์สายสว่างชนิดที่เมื่อได้พบจะเกิดปีติสุขจนขนลุกขนพอง อยากจะหมอบราบกราบคารวะ
ทั้งหมดนี้เป็นผลลัพธ์ภาพรวมแห่งการผสมผสานระหว่าง “ของเก่า” กับ “ของใหม่” ให้เข้ากันได้อย่างลงตัว ส่วนเรื่องเนื้อหาหรือประเด็นก็เป็นส่วนที่รับไม้ต่อมาจากสตาร์ วอร์ส ภาคก่อนๆ ได้แบบไม่ตกหล่น อีกทั้งเพิ่มความซับซ้อนย้อนกลแบบหนังยุคหลังๆ ที่มุ่งเสนอมิติอันยอกย้อนซับซ้อนของตัวละครและเรื่องราว เป็นทั้งความบันเทิงเริงใจและความประทับใจไปด้วยในขณะเดียวกัน
แม้หนังสตาร์ วอร์ส ภาคต่อไป อาจไม่ได้ “เจ. เจ. เอบรามส์” มากำกับแล้ว (แว่วๆ ว่าน่าจะเป็น ไรอัน จอห์นสัน จากเรื่อง Looper) แต่ก็นับได้ว่าเอบรามส์ได้ปักธงชัยให้กับการเกิดใหม่ของแฟรนไชส์ชุดนี้อย่างมั่นคงแล้ว และข่าวดีก็คือ นับจากนี้เป็นต้นไป เราจะได้ดูสตาร์ วอร์ส ปีละภาคไปจนถึงปี 2020 ซึ่งมีทั้งภาคหลัก ที่เป็นไตรภาค และภาคย่อยที่ก็เป็นไตรภาคเช่นกัน รวมแล้ว การกลับมาของสตาร์ วอร์ส ครั้งนี้จะมีทั้งหมด 6 ภาค เทียบเท่ากับหนัง 6 ภาคในชุดก่อน และด้วยเหตุนี้ จะมีอะไรประเสริฐไปกว่าคำกล่าว...
“ขอพลังความสนุก จงสถิตอยู่กับคุณไปจนถึงปี 2020”
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม