เคยขึ้นชื่อว่าเรืองอำนาจ และมากบารมีในฐานะ “เจ้าแม่สื่อ” ผู้กุมบังเหียนนิตยสารบันเทิงขายดีอันดับหนึ่งในประเทศ อย่าง “ทีวีพูล” แต่เมื่อยามที่ตัดสินใจสยายปีกกระโจนสู่สมรภูมิ “ทีวีดิจิตอล” แม่ทัพหญิงอย่าง “พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย์” หรือ “ติ๋ม ทีวีพูล” กลับไม่สามารถนำพากองทัพของตน บุกฝ่าไปคว้าชัยจากสงครามครั้งนี้ได้
ครานี้เจ๊ติ๋มพ่ายแพ้ยับเยิน ด้วยตัวเลขขาดทุนกว่า 300 ล้านบาท และทำท่าว่าจะดื้อแพ่งไม่ยอมจ่ายค่าสัมปทานงวดต่อไปให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.)
ด้วยวาทะเด็ด “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย”
แต่สุดท้ายก็หลีกไม่พ้น เพราะทาง กสทช. ก็ยื่นคำขาดสวนกลับมาว่า “ต่อให้ไม่ทำต่อ ยังไงก็ต้องจ่าย”
เมื่อต้องแบกรับกับภาระอันหนักอึ้ง เจ๊ติ๋มจึงต้องกลับมาผ่าตัดองค์กรของตัวเองขนานใหญ่ โดยการลดจำนวนพนักงานลงกว่าครึ่ง ทั้งที่เมื่อแรกเริ่มเป็นข่าวนั้น ยังพูดเสียงดังฟังชัด ว่ายังไงก็ไม่มีทางลดคน มีแต่จะรับเพิ่มด้วยซ้ำ
“เคยมีคนถามเราเหมือนกัน เราจะไม่มีการไล่คนออก เราก็ยังยืนยันว่าจะไม่ไล่คนออก เราถือมาก เรามั่นใจว่ามีศักยภาพเลี้ยงดูได้ แต่ว่าบางทีถ้าอยู่ที่นี่ไม่โต เราก็ไลน์บอกทุกคน เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนไป ณ วันนี้เรารู้ว่าโฆษณาเราขายได้แค่นี้ มันไปไม่ถึง เราเป็นนักธุรกิจ มันมีทางเดียว ถ้ารายได้เราไม่สามารถหาได้ เราก็ต้องลดค่าใช้จ่าย
การที่เราจะลดคน หมายถึงว่าเขาก็ต้องเต็มใจที่อยากจะไปนะคะ ถ้าเขามีที่ไป ก็อาจไป เขาไม่มีที่ไปก็อยู่กับเราไม่เป็นไร ตอนนี้ก็แล้วแต่ใจเขา อยากอยู่ก็อยู่ ไม่อยากอยู่ก็ไม่ต้องอยู่ พนักงาน 400 กว่า อยู่ก็อยู่ ไม่ได้ไล่ใครออก”
สุดท้ายก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง แถมลดไม่ลดเปล่า ยังแอบมีการหมกเม็ดไม่ยอมจ่ายเงินค่าชดเชย โดยการ “บีบ” ให้เขียนใบลาออก
เฮือกต่อมาก็คือการพยายามควานหา “พันธมิตร” มาช่วยพยุงธุรกิจ ก่อนจะมาได้พันธมิตรเป็นช่อง MVTV. ของ “ชัยยุทธ ทวีปวรเดช” ที่คร่ำหวอดอยู่ในช่องทีวีดาวเทียม และเคเบิลทีวีมานาน พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนชื่อช่องจาก LOGAมาเป็น MVTV.FAMILY รวมไปถึงการมีผู้ร่วมทุนรายใหญ่อย่างกลุ่มกระจกไทยอาซาฮี และกลุ่มโอสถสภาอีกด้วย
แต่อย่างไรเสีย วิกฤตการณ์ของช่องไทยทีวีของเจ๊ติ๋มก็ยังอยู่แบบคาบลูกคาบดอก ยังไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ ไม่ต้องหวังจะผงาดขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งเช่นที่เคยประกาศกร้าวอย่างอหังการณ์ ลำพังแค่ประคองตัวเองให้ผ่านวิบากกรรมช่วงนี้ไปก็ยังยาก
ล่าสุดของล่าสุด มีข่าวว่าเจ๊ติ๋มได้พันธมิตรเข้ามาเพิ่มอีกรายแล้ว คราวนี้มาจากฝั่งของ “กึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ” ที่ดูเหมือนจะพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะนำพาธุรกิจของตัวเองให้ครอบคลุมไปทุกวงการ ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ , สนามกอล์ฟ รวมไปถึงแขนงงานบันเทิง ในฐานะผู้จัดงานอีเว้นต์ และคอนเสิร์ตต่างๆ ซึ่งความคาดหวังของตระกูล “มหากิจศิริ” ก็คืออยากเป็นเจ้าของสัมปทานช่องทีวีดิจิตอลอยู่แล้ว ถึงขนาดลงสนามไปสู้ศึกประมูลพร้อมกับนักธุรกิจรายอื่นๆ โดยใช้ พีเอ็ม กรุ๊ป เข้าประมูลช่องความคมชัดสูง และใช้บริษัท โฟร์วันวัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เข้าประมูลช่องวาไรตี้ทั่วไป แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้การประมูลในครั้งนั้นไปอย่างฉิวเฉียด
การมีข่าวว่ากึ้ง ในฐานะแกนนำของกลุ่มธุรกิจตระกูล “มหากิจศิริ” จะเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรกับเจ๊ติ๋ม เพื่อนำช่องไทยทีวีขึ้นมาใส่ตระกร้าล้างน้ำใหม่ จึงดูไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย และเกินการคาดเดาเท่าไรนัก
ทว่าการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับช่องไทยทีวีในครั้งนี้ ทางกลุ่ม “มหากิจศิริ” จะต้องควักกระเป๋าก้อนแรกเพื่อชำระเงินค่าใบอนุญาตและค่าปรับล่าช้าให้กับทางสำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งทางไทยทีวีค้างจ่ายในงวดที่ 2 จำนวน 2 ใบอนุญาต คือ ช่องไทยทีวี 176.8 ล้านบาท และช่องโลก้า จำนวน 92.8 ล้านบาท ทั้งนี้โดยยังไม่รวมอัตราดอกเบี้ยค่าผิดชำระอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งถ้านับตั้งแต่วันสุดท้ายของการชำระเงินคือ วันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา รวมเป็นเวลา 146 วัน และนอกจากนั้น ยังจะต้องจ่ายเงินค่ากองทุน จำนวนร้อยละ 2 ก่อนหักรายได้ด้วย
แต่หลายคนก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ว่าการร่วมทุนของกลุ่ม “มหากิจศิริ” จะเป็นการลงทุนที่เสียเปล่า เพราะการจะลุกขึ้นมาเป็นเจ้าของช่องทีวีทั้งช่องนั้น ไม่ใช่ว่ามีแค่ “เงิน” แล้วจะไปรอด แต่ยังต้องอาศัยองค์ประกอบอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของความชำนาญการ จริงอยู่ที่กึ้งเอง อาจจะเคยมีบทบาทอยู่ในวงการบันเทิงทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลังมาอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่เพียงพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์แบบเต็มตัว
ส่วนที่มีบางคนแอบตั้งคำถามต่อไปว่า เมื่อมีช่องทีวีเป็นของตัวเองแล้ว จะมีการชักนำนางเอกสาว “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” มาเป็นนางเอกแถวหน้าประจำช่องหรือไม่นั้น ในใจของกึ้งอาจจะคิด เพราะถ้าได้เจนี่มา ก็ต้องถือว่าเป็นแม่เหล็กชั้นดี ที่อาจจะดูดได้ทั้งแฟนละคร และเม็ดเงินค่าโฆษณา เฉพาะที่นางเอกสาวเป็นพรีเซ็นเตอร์เอง ก็เรียกว่ามีไม่น้อย แต่เรื่องนี้ก็ต้องถามใจเจนี่ดูด้วย ว่าเธอพร้อมที่จะ “ทุบหม้อข้าวตัวเอง” ยอมทิ้งฐานะนางเอกเบอร์ต้นของช่องฟรีทีวียักษ์ใหญ่อย่างช่อง 3 เพื่อมา “ตายดาบหน้า” กับช่องที่ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไทยทีวีหรือไม่ ซึ่งถ้าให้เดา คนอย่างเจนี่ คงไม่ใช้ความรักนำทางตัวเองขนาดนั้นแน่นอน
หรือก็ไม่แน่ว่ากึ้ง อาจจะจับไทยทีวียกเครื่องใหม่หมด จับกลุ่มติ่งเกาหลีไปเลย ในฐานะที่ประสบความสำเร็จจากการจับธุรกิจนำเข้าคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลี ประเดิมด้วยการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ของวง JYJ ต่อด้วย คิมแจจุง, ปาร์คยูชอน, จางกึนซอก, ซงจุงกิ, INFINITE, 2PM, F.T Island, CNBLUE, จองยงฮวา และล่าสุดกับ ซงแจริม กระทั่งถูกยกให้เป็น “ซีอีโอโอปป้า” ของเหล่าแฟนคลับศิลปินเกาหลีในเมืองไทยไปแล้ว
แต่สำหรับเจ๊ติ๋ม การเข้ามาของกลุ่ม “มหากิจศิริ” ที่เป็นพระเอกขี่ม้าขาว ในฐานะพันธมิตรรายใหญ่ อาจจะหมายถึง “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่จะกุมชะตาชีวิตของช่องไทยทีวี ว่าจะอยู่หรือไป ? จะตายหรือรอด ?
ที่มานิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 311 24 -31 ตุลาคม 2558