xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) “มิตร” ยอมรับมีสัมพันธ์ลึกสาวใหญ่ คบ 1 ปี เลี้ยงดู 20 ล้าน! ย้ำไม่เคยหลอก-ได้เงินโดยเสน่หา ยังไม่รู้จะคืนยังไง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“มิตร มิตรชัย” สารภาพคบหาสาวใหญ่เป็นแฟน อีกฝ่ายส่งเสียเลี้ยงดู ปีกว่าเปย์หนักถึง 20 ล้าน เผยไม่เคยมีประสบการณ์รัก อีกฝ่ายเทกแคร์ดูแลดีจนพัฒนาเป็นความรัก ย้ำไม่เคยหลอกใคร เป็นเงินที่ได้โดยเสน่หา ถามคนรักให้เงินใครจะปฏิเสธ ตอนนี้ยังไม่รู้จะคืนเงินยังไง โต้นำโปรเจกต์รายการมาล่อลวงสูบเงิน 35 ล้าน งัดหลักฐานสเตทเมนต์มาโชว์ให้ดูกันจะจะ ไม่เคยมีเงิน 35 ล้านเข้าบัญชี จำใจเซ็นรับเป็นลูกหนี้ ด้านแฟนคลับมาให้กำลังใจ ตะโกนบอกมิตรสู้ ๆ



กำลังจะกลายเป็นหนังม้วนยาว แถมต่างฝ่ายต่างพูดไม่ตรงกัน จากกรณีที่ “มิตร มิตรชัย” หรือ “นายคีรีรัก สมณะบารมี” พระเอกลิเก น้องชายคนเล็ก “เอ ไชยา มิตรชัย” และ “แอน จริยา มิตรชัย” เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เพื่อขอคำปรึกษาข้อกฎหมาย อ้างว่า ถูกนายตำรวจขู่ให้เซ็นรับหนี้ 35 ล้านบาท โดยที่ตนไม่ได้เงินสักบาท จนคู่กรณีเข้าแจ้งความกลับข้อหาหมิ่นประมาท อ้างอีกฝ่ายยืมเงินไปทำโปรเจกต์รายการ “มิตรชัยโชว์” และไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลง จึงนัดมาเซ็นผ่อนชำระหนี้เป็นงวด ๆ โดยไม่มีการบังคับใด ๆ ส่วนรถตู้โตโยต้า เวลไฟร์ ต้องสังสัยนำเข้าผิดกฎหมายที่มีพี่สาวนั่งรถติดไปด้วย และถูกอายัดไปตรวจสอบนั้น ไม่รู้ว่าเป็นรถเลี่ยงภาษี ก่อนลากชื่อสาวใหญ่ที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับมิตรมาเข้ามาเกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจสาวใหญ่อดีตหวานใจมิตร นาม “ปุ้ย รัญชิตา สิทธาเดชานนท์” ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า ตนเองไม่ได้เป็นแฟนคลับมิตรดังที่ถูกกล่าวอ้างแต่มีสถานะเป็นแฟนมิตร และไม่ได้มีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับตำรวจคู่กรณีมิตร ทั้งนี้ รู้จักตำรวจในฐานะเจ้าหนี้กับลูกหนี้ เนื่องจากมิตรอ้างว่าจะลงทุนตั้งคณะลิเก ต้องใช้เงินรวม 35.5 ล้านบาท ตนจึงไปกู้ยืมมาให้มิตร จนกลายเป็นประเด็นสังคมว่าบทสรุปเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ใครพูดจริงและใครโกหก

ล่าสุด เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ (10 ต.ค.) มิตรได้นัดสื่อมวลชนเปิดใจพร้อม “นายทวิชา หวังโภคา” ทนายความ ทั้งนี้ ก่อนมิตรจะออกมาให้สัมภาษณ์ มีแฟนคลับจำนวนหนึ่งตามมาชูป้ายเชียร์ให้กำลังใจ และเอาดอกไม้มาให้ ก่อนเข้าไปในห้องร่วมฟังการแถลงข่าวด้วย อีกทั้งหลังโต๊ะแถลงข่าวยังจัดจอฉายสไลด์ หยิบประเด็นที่เกิดขึ้นกับแฟนสาวและคดีต่าง ๆ รวมไปถึงภาพสมัยยังคบกันมาฉายให้สื่อมวลชนดู ท่ามกลางการ์ดที่มาดูแลความปลอดภัยภายในงานอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ มิตรเผยคบหากับอดีตแฟนสาวใหญ่จริง ตลอดระยะเวลา 1 ปีกว่า ฝ่ายหญิงเลี้ยงดูซื้อข้าวของให้ รวมแล้วเป็นเงินถึง 20 ล้านบาท

“วันนี้ผมขอชี้แจงในรายละเอียด สิ่งที่ผมอยากจะชี้แจงประเด็นแรก คือ เรื่องของผมกับพี่เขา เราได้เจอกันช่วงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ผมอายุ 20 ปี เพิ่งแยกมาจากแม่เพื่อมาเข้ามหาวิทยาลัย ได้ประมาณ 3 อาทิตย์ เขามาเป็นแฟนคลับในรายการหนึ่ง ซึ่งพี่เขาตามมา ก็เลยมีการแลกไลน์คุยกัน หลังจากนั้น ที่ผมอยู่หอ ผมอยู่กับเพื่อน พี่เขาก็เลยซื้อเสื้อผ้า ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างซื้อมาให้ผม นัดออกไปเที่ยว ไปกินข้าวกัน ไปดูหนังกัน ไปด้วยกันตลอดครับ ก็เลยกลายเป็นว่าผมรู้สึกว่าไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ ซื้อของมาให้ ผมก็รู้สึกอบอุ่น ดีใจ แล้วก็มีการพัฒนาความสัมพันธ์ เป็นแฟนกันคบกัน พี่เขาเป็นคนน่ารัก พูดจาเพราะ คนอยู่ใกล้หรือสนิทด้วยไม่รักพี่เขาก็เป็นไปได้ยาก เขาเป็นคนพูดจาน่าฟังครับ เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างมันเกิดจากความรู้สึกดี ๆ ของคนสองคน”

“แต่พอมีปัญหาเลิกรากัน เหมือนสิ่งที่เขาจะพูดก็คืออยากขอคืน แต่การขอคืนของพี่เขาเนี่ย มันค่อนข้างที่จะแปลกคือแจ้งว่าผมฉ้อโกง ผมจะฉ้อโกงได้ยังไง ในเมื่อทุกบาททุกสตางค์ที่พี่โอนให้ผม มันคือค่าดูแลผมตั้งแต่แรก คือพี่ให้ด้วยใจอยากจะให้ ผม ผมถามทุกคนหน่อยว่าถ้าทุกคนเป็นผม มีคนมารักเรา เรารักเขา แล้วเขาก็ให้สตางค์เราใช้มีใครจะปฏิเสธไหมครับ แล้วถ้าทุกคนเป็นผมอยู่ดี ๆ ผมยังไม่ได้ขอเลยบางทีเขาก็โอนมาให้ ห้าหมื่น หนึ่งแสน สองแสน สามแสน บอกให้ผมเอาไปใช้ ถ้าทุกคนเป็นผมจะทำยังไง ผมว่าไม่มีใครโอนเงินกลับคืนไปหรอกครับ”

เผยอ่อนประสบการณ์ ไม่เคยได้รับความอบอุ่นแบบนี้จากใคร นอกจากแม่และพี่สาว อีกทั้งไม่เคยทราบว่าอีกฝ่ายกู้หนี้ยืมสินนำมาให้ตน
“ทีนี้ความรู้สึกดี ๆ ตรงนี้ที่มีให้กันเนี่ยผมไม่เคยได้รับประสบการณ์แบบนี้ ผมก็เลยอบอุ่น บางทีมันกลายเป็นว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อันนี้คือความผิดของผม แต่ถ้าถามว่าผมรู้สึกดีกับพี่เขาไหม ผมรู้สึกดีมาก เพราะนอกจากแม่ พี่สาวผม จากครอบครัวของผม ผมมีพี่เขา เราคุยกันทุกเรื่องครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเข้ามาดูแลค่าใช้จ่ายของผมตลอด ผมไปมหาวิทยาลัยค่าเทอมทุกอย่างพี่เขาคอยซัปพอร์ต”

“แต่วันนี้สิ่งที่พี่เขาออกสื่อเหมือนเขาพูดมาว่าเงินที่เขาให้ผม คือเงินลงทุน ซึ่งไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นเขามาให้ผม และผมก็ไม่เคยทราบมาก่อน ในส่วนของตอนนี้ทุกอย่างมันเริ่มเป็นคดีความ ผมอยากให้คุณทนายเป็นคนชี้แจง ไม่ใช่ว่าผมพูดเองไม่ได้ แต่ว่าบางเรื่องมันอยู่ในคดี ผมกลัวจะไปพาดพิงถึงใคร ผมขอให้คุณทนายของผมได้ชี้แจงในเหตุต่อไปนะครับ”

ด้านทนายความงัดหลักฐานการโอนเงิน ย้ำไม่เคยมีเงินจำนวน 35 ล้านโอนเข้าบัญชีมิตร ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก
“กราบสวัสดีท่านสื่อมวลชน ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ขออนุญาตเรียนว่าเรื่องความสัมพันธ์ของมิตรที่มีต่อท่านผู้ใหญ่คนนี้นะครับ เป็นเรื่องของเด็กอายุ 20 กับผู้ใหญ่อายุ 42 ฝ่าย 42 เป็นสุภาพสตรีเป็นนักธุรกิจมีบริษัทค้าน้ำมัน ในขณะที่คุณมิตรยังเรียนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัย ท่านมาดูแลก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับที่เกิดมาโชคดี หน้าตาดี มีผู้ใหญ่มาดูแล การดูแลของท่านนั้น ผมขอเรียนว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ใหญ่มอบให้กับเด็ก ผมได้ตรวจเงินของผู้ใหญ่ท่านนี้ทุกครั้งนะครับ จะโอนผ่านมาที่บัญชีคุณมิตร วันนี้มีสเตทเม้นมาให้ดูด้วย การโอนเงินมาแต่ละครั้ง เป็นค่าใช้จ่ายปกติ ซึ่ง 5 ล้าน 10 ล้านอย่างที่พูดกันเนี่ย ไม่เคยมี 35 ล้านนี่โกหกทั้งสิ้น ไม่เคยมีปรากฏในบัญชีคุณมิตร”

“ปัญหาไม่ได้เกิดตรงนี้ เกิดตรงที่ว่าเมื่อขัดแย้งกันแล้วคือก่อนที่จะขัดแย้งกันการคบกันระหว่างคุณมิตรกับผู้ใหญ่ท่านนี้ เริ่มต้นจากการที่เข้ามาช่วยเหลือ เข้ามาดูแลในขณะที่คุณมิตรเป็นเด็กหนุ่มเรียนหนังสืออยากจะมีรถใช้ ตัวเองมีที่ดินอยู่หนึ่งแปลง คุณแม่ของคุณมิตรได้โอนให้ เมื่ออายุ 20 ปี อยู่ที่อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี คุณมิตรก็ได้หารือกับคนที่จะมาดูแล บอกว่าผมต้องการขายที่ดินแปลงนี้ เพื่อนำเงินไปซื้อรถเบนซ์ ผู้ใหญ่ท่านนี้ก็เสนอแนะความเห็น คือคนสองฝ่ายปรึกษาหารือกัน เพราะทั้งคู่รักกัน ตกลงกันว่าถ้าคุณมิตรเป็นศิลปินเอาที่ดินออกไปเร่ขายก็ดูไม่เหมาะสม ฉะนั้นที่ดินแปลงนี้จึงได้มีการโอนไปยังชื่อของคนที่ดูแล”

รับแม้แต่ค่ากาแฟ แฟนสาวยังโอนเงินมาให้มิตร นี่ถือวิถีชีวิตรักของทั้งคู่
“ในวันที่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ คุณมิตรไปด้วยครับ แต่ให้มีการชำระเงินผ่านคนที่คุยกัน ด้วยเหตุผลว่าโอนไปเพื่อนำไปขายต่อ เมื่อขายได้แล้ว คุณมิตรก็จะนำเงินนั้นมาซื้อรถเบนซ์ ที่ดินแปลงนี้ราคาไร่ละล้านเศษ ฉะนั้นหลังจากที่ได้ที่ดินแปลงนี้โอนใส่ชื่อไปแล้ว ความเป็นอยู่ก็ปกติสุข ต่างคนต่างรักชอบกัน ไปไหนมาไหนกันบางครั้งไม่เปิดเผย เพราะคุณมิตรเองก็ยังไม่พร้อมจะเปิดเผย แต่ด้วยความที่ท่านดูแลตลอดระยะเวลา มิตรไปไหนขอให้เสมือนพี่ไปด้วย หมายถึงว่าแม้พี่จะไม่ได้ไป มิตรอยากได้อะไรโทร.มาบอกจะโอนให้ทันที นี่คือวิถีชีวิตของคนสองคน ขนาดจะซื้อกาแฟแค่ร้อยกว่าบาทก็ต้องไปกดเงินก่อน เพราะเขาจะดูแล ปฏิบัติอย่างนี้ตลอดต่อเนื่องมา”

“จนมาถึงว่านำรถเบนซ์ซึ่งเป็นรถของผู้ใหญ่ท่านนี้นำมาให้ใช้ คือเป็นรถเก่าของผู้ใหญ่ท่านนี้ ในขณะที่ที่ดินยังขายไม่ได้ มิตรก็นำรถคันดังกล่าวมาใช้อยู่ ตลอดระยะเวลาที่ใช้ก็ยังส่งเสียเลี้ยงดูกันมาตลอด เงินจะเข้าบัญชีเสมอ ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทย เงินครั้งละ 5 ล้าน 10 ล้าน ที่พูดถึงเนี่ยไม่เคยมีตกถึงบัญชีนี้ สูงสุดคือล้านหนึ่ง แต่ไม่ได้โอนครั้งเดียวนะครับ โอนสองครั้งในวันเดียวกัน”

“ฉะนั้น หลังจากที่ได้รับรถคันเก่ามาใช้แล้ว ระหว่างนั้นเนี่ย นำรถตู้มาให้ใช้อีกเมื่อคุณมิตรรบเร้าว่าทำไมที่ดินยังขายไม่ได้ ก็เลยนำรถตู้โตโยต้า เวลไฟร์ ที่มีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน เมื่อคุณมิตรใช้รถตู้คันดังกล่าวระหว่างนั้นชีวิตก็ปกติสุข มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุณมิตรไปเกาหลีช่วงเดือนเมษายน ปรากฎว่าทั้งสองคนเกิดความระแวงกันว่าจะมีบุคคลที่สามเข้ามาในชีวิตทั้งสองคน ในที่สุดวันที่เดินทางกลับมากรุงเทพฯ ผู้ใหญ่ท่านนี้ได้ไปรับที่สนามบิน แต่คุณมิตรปฏิเสธที่จะขึ้นรถกลับด้วย แต่ในที่สุดทั้งสองคนก็กลับมารักกันเหมือนเดิม”

ฝ่ายหญิงดาวน์รถเบนซ์ให้ในราคา 4 แสน มีแผนซื้อบ้านหวังใช้ชีวิตร่วมกัน แต่สุดท้ายระแวงจนทำให้แยกทางกัน
“ในช่วงนั้นเอง คุณมิตรรบเร้าว่าทำไมที่ดินยังขายไม่ได้ อยากจะใช้รถเบนซ์เพราะรถตู้ไปไหนต้องมีคนขับ เวลาไปเรียนอยากจะใช้รถส่วนตัว ในที่สุดทั้งสองคนไปดาวน์รถมาคันหนึ้ง เป็นรถเบนซ์ CLA คันนี้ดาวน์ไปสี่แสนบาท คุณมิตรเป็นคู่สัญญาในการผ่อนเป็นผู้เช่าซื้อ แต่ผู้ใหญ่ท่านนี้ออกเงินดาวน์มาให้ ในระหว่างนั้นก็ใช้รถคันนี้ โดยรถตู้คันดังกล่าวจอดไว้ที่บ้าน อยู่มาคุณมิตรรบเร้าที่จะขอเงินค่าที่ดิน ในที่สุดทั้งสองคนก็เกิดความหวาดระแวงกันขึ้นมาอีก จึงเป็นที่มาของการตกลงที่จะแยกกันอยู่ จะไม่ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เล่าย้อนกลับไปก่อนจะแยกทางทั้งสองคนมีแผนที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน โดยไปซื้อบ้านมาไว้หนึ่งหลังที่หมู่บ้านไลฟ์ บางกอก ในช่วงเดือนเมษายน แต่บ้านหลังนี้ยังไม่เสร็จ ยังไม่ได้เข้าไปอยู่”

“เมื่อคุณมิตรได้ทวงถามเงินค่าที่ดิน เดือน มิ.ย. - ก.ค. ก็ได้รับเงินค่าที่ดิน เงินที่ปรากฏในบัญชีเนี่ย มิ.ย.เข้ามาสองล้านกว่า ก.ค.เข้ามาอีกสามล้าน แต่ไม่รวมค่าใช้จ่ายทีละหมื่นสองหมื่นหลักร้อยพัน หลักแสนก็มี แต่ยอดที่เป็นค่าที่ดินจะเป็นตัวเลขใหญ่ ๆ ที่เรียนไป ฉะนั้นเมื่อมีการชำระค่าที่ดิน ทั้งสองคนก็ตกลงกันว่าก็ควรจะยุติ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อใจกันแล้ว ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็แยกกัน

เชื่อมิตรเป็นผู้ถูกกระทำ ถูกบังคับให้เซ็นรับหนี้ แบกรับสภาพลูกหนี้ แฉพิรุธทำไมเซ็นสัญญา 2 ฉบับยอดเงินเท่ากันแต่สัญญามีการเปลี่ยนแปลง 
“เมื่อแยกกันแล้ว ในวันรุ่งขึ้นมีนายตำรวจท่านหนึ่งโทรไปหาแม่คุณมิตรพูดจาลักษณะที่ไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ ทีมงาน ผู้จัดการก็โดนไปด้วย คุณมิตรเองอยู่ในภาวะที่อึดอัด ไม่อยากเป็นปัญหา ไม่อยากให้สังคมรู้เรื่องราว จึงไปปรึกษาผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ผู้ใหญ่ท่านนี้ก็มีความกรุณาว่าเดี๋ยวจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้เพื่อให้ทั้งสองยุติกันด้วยดี ในที่สุดมีการนัดหมายไปที่ร้านอาหารชลบุรีซีฟู้ด ในวันที่ 3 ส.ค. นัดไปพูดคุยกัน มีสัญญากู้หนึ่งฉบับทำให้คุณมิตรเซ็น มีนายพันตำรวจเอกจัดพิมพ์มาเสร็จ ว่าตัวเองเป็นเจ้าหนี้โดยระบุในสัญญาว่าคุณมิตรได้กู้ยืมเงินไป 35.5 ล้านบาท และได้รับเงินในวันที่ทำสัญญากู้ โดยจะให้ชำระภายในวันที่ 10 ส.ค. แค่เวลา 7 วัน ให้คืนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี”

“ต่อมายังไม่ถึงวันที่ 10 ส.ค.ตามกำหนด วันที่ 6 ส.ค. มีผู้ใหญ่ที่คุณมิตรไปร้องขอความเป็นธรรมว่าผมถูกให้เซ็นชื่อในสัญญากู้โดยที่ไม่เคยรู้จักพันตำรวจเอกคนนี้มาก่อน ผู้ใหญ่จึงนัดอีกครั้งหนึ่งที่ร้านอาหารเดียวกัน ในวันที่ 6 ส.ค. มีคู่กรณีไปด้วย มีคุณมิตรไป พันตำรวจเอกไป ผู้ใหญ่คนนี้ไป แล้วก็คนชื่อเปิ้ล ในห้องดังกล่าวนั้น คุณมิตรก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เหมือนเดิม คุณมิตรจำเป็นต้องเซ็นหนังสือรับสภาพหนี้เป็นการจัดพิมพ์ขึ้นมาใหม่ โดยระบุว่าพันตำรวจเอกท่านนี้กับคุณเปิ้ลที่มาด้วย ได้นำเงินมาให้คุณมิตรลงทุนเรื่องการโฆษณา 35 ล้านบาท โดยคุณมิตรจะชำระคืนภายใน 3 งวด โดยงวดแรกตกลงที่จะชำระกันภายในวันที่ 30 ส.ค. จำนวน 5 ล้านบาท วันที่ 30 ก.ย. อีก 5 ล้านบาท และภายในวันที่ 30 ต.ค. ชำระที่เหลือทั้งหมด คุณมิตรเซ็นชื่อไปพร้อมกับนำภาพถ่ายเช็คหนึ่งฉบับมาให้คุณมิตรลงชื่อด้านล่าง มีข้อความมาเรียบร้อย”

“ทำไมคุณมิตรเซ็นชื่อทั้งที่ไม่ได้ใช้เงินสักบาท คุณเปิ้ลมาเป็นเจ้าหนี้เพิ่มอีกหนึ่งคน คือฉบับแรกมีพันตำรวจเอกคนเดียวเป็นเจ้าหนี้ในจำนวนเงิน 35.5 ล้านบาท ฉบับที่สองเพิ่มเจ้าหนี้มาอีกหนึ่งคนเป็นพันตำรวจคนเดิมแต่ไม่ใส่ยศกับคุณเปิ้ล ฉะนั้นเอกสารสองฉบับนี้ ฉบับรับสภาพเป็นลูกหนี้อยู่ในสำนวนของคดี ผู้ใหญ่ท่านนี้ไปแจ้งความว่าคุณมิตร ฉ้อโกงเงิน 35 ล้านบาท ถ้าเอาเอกสารสามฉบับมารวมกัน คือ ไม่รู้ตกลงว่าคุณมิตรเอาเงินมาเท่าไหร่ มันเป็นเรื่องแปลกนะครับ เงิน 35.5 ล้าน บอกว่ารับกันที่ร้านอาหาร ใส่กระเป๋ามากี่ใบครับ ทำไมจะต้องกู้ยืมแล้วคืนภายใน 7 วัน นี่คือความจริงที่อยากจะเรียนให้ทุกท่านทราบในวันนี้ว่า ตอนนี้คนที่ถูกกระทำคือคุณมิตรนะครับ”

“ขอเรียนว่า หลังจากนี้ได้ดำเนินการส่งหนังสืบอกล้างหนี้ ไปทั้งสามฉบับ คือสัญญากู้ยืม หนังสือรับสภาพหนี้ และข้อความที่ลงชื่อใต้เช็ค ว่ากระทำไปโดยไม่ได้มีเจตนาที่จะกระทำ และไม่ได้เคยเป็นหนี้ แจงบอกไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้วครับ ในที่สุดเมื่อเราตรวจสอบแล้วว่านายพันตำรวจเอกท่านนี้เป็นข้าราชการ ระหว่างที่จะครบงวดแรกคือวันที่ 30 ส.ค. ที่ต้องชำระ 5 ล้านบาท ปรากฏว่าวันที่ 18 ก.ย รถตู้คันที่นำมาให้ใช้ ถูกสกัดจับโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์หนีภาษี จับเพื่ออะไรครับ จับเพื่อที่จะให้ปรากฏเป็นข่าวว่าคุณมิตรและคุณแอน ใช้รถยนต์หนีภาษี ทั้งสองท่านนี้ไม่รู้ว่ารถคันนี้ที่ผู้หญิงท่านนี้นำมาให้ ไปซื้อจากที่ไหนอย่างไร แต่ขณะนี้ได้เอกสารเกี่ยวกับบริษัทที่ขายรถคันนี้แล้วครับ”

“ฉะนั้นเรื่องนี้ เมื่อมีการจับรถคันนี้แล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็ไปให้ข่าวว่าในเมื่อคุณมิตรแยกกันอยู่แล้วทำไมไม่คืนรถ แล้วทำไมรถเบนซ์ที่เอาไปให้ใช้ถึงคืน เรียนอย่างนี้ครับ ท่านพูดเนี่ย พูดไม่หมดพูดครึ่ง ๆ กลาง ๆ สิ่งทีนำรถเบนซ์ไปส่งคืนให้เกิดหลังจากวันที่ 18 ก.ย. ที่มีการจับรถตู้ ไม่ใช่ว่านำรถไปคืนก่อนแล้วนำรถตู้ไว้ เดือน ก.ค. มาถึงวันที่ 18 ก.ย. ที่มีการจับรถตู้นั้น อยู่ในช่วงที่ผู้ใหญ่กำลังนัดหมายที่จะมาเคลียร์กัน จะส่งมอบรถตู้และรถเบนซ์ที่นำมาให้ใช้คืน ไม่ได้ส่งรถเบนซ์ไปก่อนที่จะถูกจับรถตู้”

“เมื่อเป็นแบบนี้แล้วผมเองเห็นว่าคุณมิตรถูกรังแกแล้วครับ มีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เป็นถึงพันตำรวจเอกมาให้เซ็นรับสภาพหนี้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่เคยมีเป็นเจ้าหนี้ ไม่เคยนำเงินมาร่วมลงทุน แต่กลับมาสมอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ สมอ้างว่านำเงินมาให้ลงทุน”

วอนตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบที่มารถตู้ป้ายแดง เชื่อถูกเบี่ยงเบนประเด็นยัดเยียนความผิดมาที่มิตรและพี่สาว
“เมื่อวานนี้ผมจึงได้ไปกับคุณมิตรไปร้องขอความเป็นธรรมจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในสองประเด็น ประเด็นแรกคือถูกบังคับขู่เข็ญให้ลงชื่อ ประเด็นที่สองให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบที่มาที่ไปของรถตู้คันที่สังคมกำลังสงสัยว่าใครเป็นผู้นำเข้ามา ใครเป็นเจ้าของ

“รถคันนี้กำลังจะถูกเบี่ยงเบนประเด็นว่าคุณมิตรกับคุณแอน เป็นผู้ไปซื้อรถหนีภาษีมาใช้ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง เรื่องนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติน่าจะชี้แจงได้ในเร็ววันนี้ครับ”

มิตรยันโปรเจกต์รายการมีจริง ตนไม่ได้สร้างมาเพื่อหลอกเงินอีกฝ่าย และตนไม่เคยได้รับเงิน 35 ล้านบาท
“โปรเจกต์นี้นะครับ มันเป็นการที่ผมเล่าให้พี่เขาฟัง ว่าผมจะได้ทำงานอะไร คือด้วยความดีใจผมได้ยินอะไรมาผมก็เล่าให้เขาฟังตลอด พี่เขาจะรู้ทุกอย่างว่าสิ่งที่ผมพูดเนี่ยด้วยความดีใจ แต่ไม่การที่ว่าอยากให้เขามาร่วมลงทุน ไม่มีครับ มีการส่งรูปให้ดูว่าผมจะได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวละครในโปรเจกต์นี้ แต่ส่วนใครจะเอาไปทำอะไร ผมไม่ทราบ”

“ไม่ได้สร้างโปรเจกต์เพื่อมาเอาเงินเขาครับ ทีนี้ผมถามนิดหนึ่งว่าถ้าพี่บอกว่าผมได้รับเงินลงทุนทำโปรเจ็กต์อันนี้ ผมขอให้แสดงหลักฐานว่าแล้วไหนเงินก้อนนี้ที่ให้มาลงทุน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ให้ผมมาก็คือค่าใช้จ่ายส่วนตัว กับค่าที่ดินผม เงินลงทุนตรงนี้ ผมไม่เคยได้รับครับผม”

ทนายลั่นมิตรเซ็นสัญญาสองครั้ง รวมหนี้ 70 ล้าน สังคมจะต้องรู้ความจริงเร็ว ๆ นี้ ถ้าเป็นเรื่องจริง มิตรอยู่ในสังคมไม่ได้
“นี่แหละครับ เป็นคำถามที่ดีมาก และก็เป็นเรื่องที่สังคมจะได้รับทราบในเร็ว ๆ นี้นะครับ ว่าสิ่งที่ไปร้องขอความเป็นธรรมเนี่ยระบุไว้ชัดเจนว่า การเซ็นชื่อไปนั้น อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้นะครับ ไม่มีใครหรอกครับ ที่ได้รับเงินไปแล้วบอกว่าไม่ได้รับเงิน ถ้าเขามีหลักฐานมาคุณมิตรอยู่ในสังคมไม่ได้หรอกครับ ผมเรียนอย่างนี้นะครับ ผมแจ้งตลอดระยะเวลาว่า ท่านที่อ้างว่านำเงินมาลงทุน 35 ล้านบาทขอให้แสดงหลักฐาน ถ้ามีจริงคุณมิตรไม่สามารถยืนอยู่ในสังคมได้แน่นอน เรื่องนี้เรื่องไม่จริงครับ เป็นการสมอ้างขึ้นมา เป็นเจ้าหนี้เท็จครับ

“ทั้งสองครั้งที่ไปพบที่ร้านอาหาร มาทั้งสามท่าน ฉบับแรก 35.5 ล้าน มีเจ้าหนี้คนเดียว นายพันตำรวจเอก ฉบับที่สองห่างไม่กี่วัน อีก 35.5 ล้าน ยอดเงินเท่ากันเลยนะครับ แต่เปลี่ยนว่าไม่ใช่กู้ยืม ฉบับแรกเป็นกู้ยืมนะครับ ฉบับที่สองบอกเป็นเงินนำมาลงทุน แต่เพิ่มเจ้าหนี้มาสองคน ยืนยันว่าทั้งสองฉบับนี้ ไม่ได้รับเงินแม้แต่บาทเดียวนะครับ”

“ส่วนกรณีเช็คปลอม ขออนุญาตตอบแบบนี้นะครับ เรื่องเช็คปลอมบอกไปแล้วว่านำภาพถ่ายเช็คมาให้ลงชื่อแล้วคุณมิตรลงชื่อไปแล้ว ก็ได้ทำหนังสือบอกล้างนิติกรรมนี้แล้วนะครับ ส่วนรายละเอียด มันอยู่ในสำนวนคดี ซึ่งคู่กรณีได้นำไปอ้างไว้ที่สถานีตำรวจคูคตนะครับ ขออนุญาตตรงนี้ไว้นิดหนึ่ง แต่ยืนยันว่าเซ็นชื่อลงไปด้านล่างนะครับ”

พระเอกลิเกรับต้องเซ็นสัญญารับสภาพหนี้เพราะกลัว อยากออกจากเหตุการณ์ดังกล่าวให้เร็วที่สุด
“สถานการณ์ตอนเซ็นสัญญาผมบอกว่า ผมออกจากสถานที่ตรงนั้นไม่ได้เพราะว่าผมรู้สึกผมไม่สามารถพูดรายละเอียดลงลึกได้ แต่ผมพูดแค่ว่าผมรู้สึกว่าอยากออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะว่าถ้าไม่เซ็นก็ไม่ได้ แล้วถ้าไม่เซ็นเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันมีคำพูดหลายคำซึ่งผมไม่ขอพูดถึงแต่ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ เราต้องเซ็นเพื่อเอาตัวเราออกมา แล้วมาต่อสู้กันครับผม ตอนนั้นกลัวครับ เพราะว่าผมรู้สึกว่าผมตัวคนเดียว ไม่เซ็นก็ไม่ได้ผมก็ต้องเซ็นครับ ก็เป็นเรื่องที่ขอความเป็นธรรมมาแล้วนะครับ”

“ส่วนที่ต้องไปเซ็นครั้งที่สอง ที่กลับไปเนื่องจากว่ามีผู้ใหญ่ประสานมาว่าจะไปยกเลิกสัญญากู้นะครับจึงได้ไป แล้วเราก็ได้ไปกับผู้จัดการ ในขณะที่ไปถึงแล้ว ผู้จัดการถูกกันไปอยู่ด้านนอก”

ยันไม่รู้จักตำรวจคู่กรณี ไม่รู้ทำไมอยู่ดี ๆ มาเป็นเจ้าหนี้ ส่วนค่าเลี้ยงดูทั้งหมดเป็นเงินถึง 20 ล้าน ได้มาโดยเสน่หา และตนยังไม่รู้จะคืนยังไง
มิตร : “ผมไม่เคยรู้จักนายตำรวจท่านนี้เลยครับ ไม่เคยได้พบหน้า ไม่เคยได้พูดคุยเลย ผมก็เลยงงว่าทำไมอยู่ดี ๆ มาเป็นเจ้าหนี้ผม ผมไม่เคยรู้จักไม่เคยข้องเกี่ยวกัน แต่ว่าวันนี้มาเป็นเจ้าหนี้ผม นี่แหละครับเป็นสิ่งที่ผม กำลังร้องขอความเป็นธรรมว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ยอดเงินที่ผมได้มาจริง ๆ รวมทุกสิ่งด้วย อยู่ที่ 20 ล้าน ไม่ได้มาเป็นก้อน ทยอยมา ในระยะเวลาหนึ่งปีเศษที่ผ่านมา ก้อนเงินที่ผมได้รับมาเนี่ย มีตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น หลักแสน มันเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งไม่มีการที่เอามาเป็นก้อนหรือเอามาลงมาทำธุรกิจอะไรเลย ไม่มีเลยครับ เดียวผมจะเปิดสเตทเมนต์ให้ดู ครับผม แล้วผมจะไปคืนยังไง (หัวเราะ) เพราะบางส่วนผมก็ใช้ไปแล้ว กินไปแล้ว เขาก็รู้ว่าสิ่งที่เขาโอนมาให้ผม ผมใช้อะไรไปบ้าง มันกลายเป็นขาตั้งกล้อง เป็นคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ไอทีหมดแล้วผมจะเอาที่ไหนไปคืน

ทนาย : “สรุปง่าย ๆ นะครับเป็นเงินที่อีกฝ่ายเลี้ยงดู ให้โดยเสน่หา วันดีคืนดีผิดใจกันก็จะบอกว่าทั้งหมดที่ให้ไปขอคืน ให้มาครั้งละไม่กี่บาท หมื่น สองหมื่น หลักร้อย หลักแสนมี แต่พอถึงเวลาบอกฉ้อโกง 35 ล้านบาท ในส่วนการแจ้งความ ไม่ได้แจ้ง 35.5 ล้าน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาด ผมจึงท้าว่าพันตำรวจเอกท่านนี้ นำหลักฐานมายันกัน ถ้าปรากฎว่ามีเงิน 35 ล้านจริง คุณมิตรจบชีวิตจากการเป็นศิลปิน แต่ถ้าไม่มีจริงจะรับผิดชอบยังไงต่อเรื่องนี้ ฝากไปถึงทั้งสองท่านที่สมอ้างเป็นเจ้าหนี้ เป็นเจ้าหนี้จริงเอาหลักฐานมาแสดงครับ”

“ในทางกฎหมายการเซ็นเอกสารอะไรก็แล้วแต่ มันไม่ได้หมายความว่าเอกสารฉบับนั้นจะพิสูจน์ว่าเป็นหนี้ ต้องมีหลักฐานว่าได้รับเงินไปจริง ถึงจะมีหนี้ตามกฎหมาย ถ้าไม่มีเงินมา ไม่เคยมอบเงินให้เขา แล้วให้เขาลงชื่อเป็นหนี้ เรื่องนี้มีคดีศาลพิพากษาไว้เยอะแยะว่าศาลไม่สามารถบังคับให้ได้เพราะไม่ได้รับเงินจริง”

มิตร : “ยังไม่มีการพูดคุยส่วนตัว มีผู้ใหญ่นัดให้ครับ ทุกคนก็ไม่สบายใจ สุดท้ายอยากขอโทษครอบครัว พ่อแม่ พี่เอ พี่แอนต้องมารับรู้เรื่องนี้โดยเขาไม่ได้เกี่ยวข้อง เป็นประสบการณ์ที่อ่อนหัดของผม ผมโตไม่ทัน ขอโทษแฟนคลับที่ทำให้ทุกคนมีความทุกข์ แต่ทุกสิ่งที่ผมพูดมันเกิดจากคนสองคน ผมอยากให้มันจบครับ”

ทนาย : “ฝากเรียนไปถึงท่านผู้ใหญ่ใจดีที่เลี้ยงดูคุณมิตรมาว่าที่ท่านไปให้สัมภาษณ์สื่อว่ากำลังติดตามเส้นทางเงินที่คุณมิตรได้รับมา ขอให้ท่านไปติดตามเส้นทางเงินของท่านก่อนว่ามันมีจริง ถ้าเส้นทางเงินไม่ได้มีจริง ไม่ต้องมาหาจากคุณมิตรหรอกครับ เพราะเงินมันยังไม่มา ส่วนฟ้องหมิ่นยังไม่ได้รับหมายนะครับ”

“ถ้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่ดำเนินการเรื่องนี้ให้กระจ่างก็คงต้องพึ่งศาล ตอนนี้ทางครอบครัวคุณมิตรอยากจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เราเป็นศิลปิน เราอยู่ที่แจ้งไม่อยากมีศัตรู ที่ต้องออกมาพูดเปิดเผยเพราะคู่กรณีไม่หยุด และพยายามทำให้สังคมเข้าใจว่าคุณมิตรได้รับเงินไปจริง สิ่งทีเรียกร้องตั้งแต่วันแรก ขอให้นำหลักฐานเงิน 35 ล้านมาให้ดู เพราะถึงตอนนี้ยังไม่มีสื่อที่ไหนได้เอกสารเลย”

ทั้งนี้ มิตร เผยทิ้งท้ายว่ายังไงก็ต้องสู้ เพราะตนไม่ได้ทำ หลังสิ้นสุดการแถลงข่าวแฟนคลับมิตรต่างตะโกนให้กำลังใจบอกมิตรสู้ ๆ ก่อนเดินเอาดอกไม้ไปมอบให้เจ้าตัว 


แฟนคลับให้กำลังใจ ตะโกนบอกมิตรสู้ๆ
ช่วงชุลมุนแฟนคลับให้ดอกไม้
เอกสารโฉนดที่ดิน






ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
กำลังโหลดความคิดเห็น