คงไม่จำเป็นต้องเกริ่นนำอารัมภบทอันใดให้มากความ สำหรับ “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” เพราะตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าหม่อมน้อยท็อปฟอร์มมาก เพราะนอกจากจะปล่อยผลงานออกมาไม่เว้นแต่ละปี หนังของหม่อมในยุคคัมแบ็กทูเดอะฟิล์มอีกรอบนี้ ยังนับเป็นยุคแห่งการบุกโลกวรรณกรรม ด้วยการเน้นนำเอานวนิยายขึ้นหิ้งมาถ่ายทอดใหม่ได้หวือหวา กลายเป็นกระแสฮือฮาในหมู่คนดูผู้ชมมาโดยตลอด แง่มุมหนึ่งของหนังหม่อมน้อยยุคนี้ที่แทบจะกลายเป็นเครื่องหมายการค้าที่จดจำได้แม่นยำสำหรับคนดูหนัง คงไม่มีใครปฏิเสธว่า
เป็นความโป๊เปลือย และฉากเซ็กซ์
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา นอกเหนือจาก “แผลเก่า” (2557) ที่ปลอดจากฉากโป๊เปลือย หนังหม่อมน้อยอีก 4-5 เรื่องนอกนั้น ล้วนมีส่วนเกี่ยวพันกับตัณหากามารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น “ชั่วฟ้าดินสลาย”, “อุโมงค์ผาเมือง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “จัน ดารา” ทั้งปฐมบทและปัจฉิมบทที่จะแจ้งอล่างฉ่าง อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพราะต้นทุนด้านเนื้อหาของนิยายเหล่านั้นมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวคาวโลกีย์ จึงเป็นรูร่องที่เปิดโอกาสให้เกิดฉากอย่างว่าได้ และหม่อมน้อยก็ไม่ปล่อยผ่าน ขณะที่คำว่า “วิจิตรกามา” เอย “อีโรติก” เอย ก็ถูกเอ่ยขึ้นมาเพื่อใช้อธิบาย “ฉากอย่างว่า” ของหนังหม่อมน้อย ซึ่งจนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่ามีใครเข้าใจในคำนี้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร และแบบไหนกันแน่ที่เรียกว่า “วิจิตรกามา”
ในวรรณคดีไทย ตั้งแต่ยุคขุนช้างขุนแผนหรือย้อนหลังกลับไปอีก เพียงฉากเข้าพระเข้านางแล้วตัดไปเป็นฉากสัญลักษณ์ เช่น “อสนีครืนครั่นสนั่นก้อง น้ำฟ้าหาต้องดอกไม้ไม่ กระเซ็นรอบขอบสระสมุทรไท หวิวใจแล้วก็หลับกับเตียงนอน” เพียงเท่านี้คนอ่านยุคนั้นก็เคลิบเคลิ้มกันได้แล้ว ฉากแบบนี้ในวรรณคดีเหล่านั้นเรียกว่า “บทอัศจรรย์” ที่ผู้แต่งจะไม่พูดถึงเซ็กซ์แบบตรงๆ หรือโจ่งแจ้ง แต่จะแสดงผ่านสัญลักษณ์ให้ผู้อ่านจินตนการกันเอาเอง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า สำหรับคนยุคนี้ที่เห็นอะไรต่อมิอะไรแจ่มแจ้งแดงแจ๋ไปหมดแล้ว อ่านบทอัศจรรย์แบบ “ฝนตกห่าใหญ่ใส่ซู่ซู่ ท่วมคูท่วมหนองออกนองเจิ่ง” แล้วจิตใจจะไหลเตลิดกระเจิดกระเจิงไปกับความอัศจรรย์อันหวามไหวเหมือนคนรุ่นบรรพบุรุษนั้นได้อยู่หรือเปล่า...ด้วยเหตุนี้ คิดว่า ท่วงทำนองการสื่อหรือภาษาในการบอกเล่าเรื่องราว จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย และที่ต้องเท้าความกันยาวยืดแบบนี้ก็เพื่อที่จะทำความเข้าใจในความอีโรติกที่กำลังจะกล่าวถึงนี่ล่ะครับ เราขยับจากยุค “ฝนตกห่าใหญ่” ผ่านอะไรมาเรื่อย จนถึง “จัน ดารา” ผลงานของอุษณา เพลิงธรรม ที่คำว่า “วิจิตรกามา” กลายเป็นคำที่หวือหวาขึ้นมาในหมู่ผู้อ่านบ้านเรา แต่ตอนนั้นก็ยังอ้างอิงอยู่กับความสามารถในการสร้าง “ภาพในจินตนาการ” ของแต่ละคน ที่จะหยาบโลนหรือเปลือยโป๊แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละคน ลักษณะการบรรยายยังเป็นไปในเชิงของการเน้นความสวยงามของภาษา มีการจัดบรรยากาศจัดฉากให้ดูเย้ายวนชวนหวามหวิว
พอผ่านพ้นยุคนั้นมาแล้วถึงยุคนี้...ผมพยายามทำความเข้าใจว่า หนังอีโรติกของหม่อมน้อย จะให้ไปมัวสื่อภาพแบบ “ปืนประจำ กำปั่นก็ลั่นเอง เสียงครื้นเครงครึกโครมโพยมบน” ก็คงไม่ทันรับประทาน เพราะก็อย่างที่รู้ว่า คนยุคนี้กับความวาบหวิว มันไปไกลมากแล้ว ภาพโป๊เปลือยกลายเป็นของหาง่าย และเชื่อว่ามโนภาพเกี่ยวกับความวาบหวิวสยิวทรวงของคนก็น่าจะเปลี่ยนไปด้วย พูดแบบไม่จำเป็นต้องสงวนท่าที การเห็น “นม” “จิ๋ม” หรือ “จู๋” แทบไม่ได้เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นอีกต่อไปแล้ว ผมคิดว่านี่คือโจทย์ใหญ่ข้อหนึ่งเหมือนกันนะครับสำหรับคนทำภาพยนตร์ยุคนี้ที่ว่าถ้าต้องยุ่งเกี่ยวกับฉากอย่างว่า แล้วจะทำออกมาอย่างไรให้คนสนใจ หรือโป๊เปลือยแบบไหนเพื่อไม่ให้น้อยหน้าภาพหวิวที่หาได้โดยง่ายทางอินเตอร์เน็ต
“ความงดงาม” จึงถูกนำมาใช้สอย...
ความโป๊เปลือยในหนังหม่อมน้อย อาจจะเป็นผลพวงของยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างที่บอกนั้นประการหนึ่ง คือจะให้มาทำฉากแบบพระเอกนางเอกกอดจูบลูบคลำนิดๆ หน่อยๆ แล้วตัดไปอีกภาพที่ทั้งคู่นอนกอดก่ายกันใต้ผ้าห่ม คงไม่อะไรแล้ว หนังของหม่อมน้อยได้ทำการ “ขยาย” ซีนเหล่านั้นให้ถ่างออกไปอีกพอสมควร โดยนำเสนอให้เห็น “กิจกรรมเข้าจังหวะ” แบบถนัดถนี่ขึ้น ยาวนานขึ้น (แม้หลังจากนั้น พระนางจะนอนกอดก่ายกันก็เป็นเรื่องของเขาไป) นัยว่าเพื่อความสมจริง ขณะเดียวกัน การเปิดเปลือยเนื้อหนังมังสาก็มากขึ้น และเหตุผลส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญมากๆ แบบปฏิเสธไม่ได้คือคนที่เปิดเปลือยเนื้อหนัง เป็นดาราดังระดับประเทศ นี่เป็นหนึ่งเหตุที่ทำให้เกิดความฮือฮาและถูกพูดถึง หรือกระทั่งดึงความสนใจใคร่รู้ของคนดูผู้ชมได้
แล้วที่ผ่านมา มีใครบ้าง?
อนันดา เอเวอริ่งแฮม และ พลอย เฌอมาลย์ ในชั่วฟ้าดินสลาย, นิว ชัยพล กับเลิฟซีนกลางพงหญ้า ใน “อุโมงค์ผาเมือง” และที่ฟูเฟื่องเลื่องลือมากที่สุด ก็เห็นจะเป็น “จัน ดารา” ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นมหรสพฉากใหญ่แห่งการเปลือยกายของดาราคนดัง ไล่ตั้งแต่ตั๊ก บงกช, หญิง รฐา, นิว ชัยพล (อีกครั้ง), ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, ณัฐ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ไปจนถึงดาราหนุ่มซูเปอร์สตาร์ขวัญใจสาวๆ อย่าง “มาริโอ้ เมาเร่อ” (และในจำนวนนี้ก็ยังมี “โช นิชิโนะ” ดาราเอวีญี่ปุ่นด้วย)... ทั้งหมดนี้ ผมคิดในแบบที่หลายๆ คนคิดว่า เหตุและผลที่ดาราดังๆ เหล่านั้นยินยอมพร้อมใจที่จะเปลือยกายโชว์เรือนร่าง ส่วนหนึ่งคือเห็นพลังของหนัง หรือพลังของวรรณกรรมต้นฉบับ และอีกส่วนหนึ่งคือเชื่อมั่นในฝีมือการกำกับของหม่อมน้อยที่ไม่ปล่อยให้เสื้อผ้าหลุดลุ่ยแบบเสียของเปล่า และคำว่า “วิจิตรกามา” ก็ชูเด่นเป็นสง่าเวลาพูดถึงหนังของหม่อมน้อย
เข้าใจว่า “วิจิตรกามา” ในรูปรอยของหนังหม่อมน้อย คือการทำฉากเซ็กซ์เหล่านั้นให้สวยงามผ่านการประดิษฐ์ด้วยมุมมองทางศิลป์ (Art) การเล่นกับมุมกล้อง สีและแสงเงา ก่อเกิดเป็นความงามตามแบบฉบับหนังหม่อมน้อย ไม่ว่าจัน ดารา หรือชั่วฟ้าดินสลาย ฉากรักในหนังล้วนผ่านการประดิดประดอยมาอย่างมากด้วยจริตทางศิลปะ ดาราที่แสดงก็ไม่รู้สึกว่าเป็นความเสียหาย จะเปลือยหน้าอกเปลือยอะไรต่ออะไร ก็ในเงื่อนไขของการสื่อความ โดยมีคำว่า “งดงามด้วยศิลปะ” เป็นแบ็กอัพให้อย่างแน่นหนา อย่างไรก็ตาม สำหรับคนดูจะรู้สึกถึงจุดมุ่งหมายเช่นนั้นได้หรือไม่ ถือว่าอยู่นอกเหนือการควบคุม
เชื่อว่า คนดูหนังบ้านเราคงเริ่มคุ้นเคยกันแล้วระดับหนึ่ง เวลาเอ่ยถึงผลงานเรื่องใหม่ๆ ของหม่อมน้อย ไม่น่าจะปฏิเสธได้ว่า หลายคนคงจะคิดว่ามันจะโป๊มากน้อยแค่ไหนอย่างไร และพูดก็พูดเถอะครับ ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจู่ๆ คน(คอย)ดูจะคิดไปแบบนั้นเอง หากแต่การบรรเลงภาพโปรโมตโฆษณาของหนัง ก็มักจะดึงความคาดหวังให้ไปในทางนั้นอยู่แล้วโดยตั้งใจ ในฐานะ “จุดขาย” ของหนัง อย่างเช่น ในผลงานเรื่องใหม่ล่าสุด “แม่เบี้ย” ภาพชัดถนัดตาเมื่อเราได้เห็นหนังตัวอย่างหรือกระทั่งการโปรโมตโฆษณา ก็คือฉากวาบหวิวในเรื่อง ขณะเดียวกันก็ปลุกเร้าอารมณ์กันเหลือหลายด้วยถ้อยคำทำนองว่า “เลิฟซีนดุเดือดครั้งแรกของชาคริต” หรือ “อ้อม-กานต์พิสชา เมขลาสุดเซ็กซี่” ไปจนถึง “ฮัท เดอะสตาร์ เลิฟซีนแซ่บถึงใจ”... เมื่อเป็นเช่นนี้ คงไม่มีใครจะมีกะจิตกะใจคิดไปถึงเรื่องวัดวาอารามหรอกกระมัง?
คำถามก็คือ แล้วผลลัพธ์ เป็นอย่างไร?
บอกกล่าวเล่าความกันสักเล็กน้อยครับว่า “แม่เบี้ย” เป็นนวนิยายที่เขียนโดย “วาณิช จรุงกิจอนันต์” ซึ่งที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าเป็นผลงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเรื่องหนึ่งทั้งในหมู่ผู้อ่านและคนทำหนังทำละคร เพราะนับตั้งแต่นิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์ มีการนำไปทำเป็นหนังเป็นละคร รวมทั้งละครเวที รวมแล้ว 4 ครั้ง และครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 5 และไม่ว่าใครจะครหาว่าหม่อมน้อยชอบเลือกวรรณกรรมที่มีกลิ่นอายของโลกีย์มาทำหนัง ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า นิยายแต่ละเรื่องที่หม่อมน้อยเลือกมา ล้วนมีเนื้อหาที่คลุกเคล้าอยู่ในเรื่องเนื้อหนังมังสา พ้นไปจากความวาบหวิวสยิวทรวง คือแง่มุมความคิดและอนุสติชีวิตไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งเสมอๆ
กล่าวสำหรับ “แม่เบี้ย” เรื่องนี้ ก็เช่นกัน...
บทประพันธ์ของวาณิช จรุงกิจอนันต์ เรื่องนี้ เดินเรื่องผ่านมุมมองของสตรีผู้หนึ่งซึ่งเกิดมาในบรรยากาศแห่งบ้านเรือนไทยในจังหวัดสุพรรณบุรี บ้านเรือนไทยที่ลุงทิมผู้ดูแลบอกกล่าวว่าเป็นบ้านอาถรรพ์ สตรีนางนั้นชื่อ “เมขลา” ผู้ทำงานที่บริษัททัวร์ และในการนำทัวร์ครั้งหลังสุด เธอได้พบกับลูกทัวร์คนหนึ่ง คือ “ชนะชล” เศรษฐีหนุ่มที่มีครอบครัวแล้วและกำลังต้องการจะซื้อบ้านเรือนไทยสักหลัง การได้เดินทางไปเที่ยวชมบ้านเรือนไทยของเมขลา ก็ทำให้จิตใจของชายหนุ่มเกิดความรู้สึกผูกพันกับบ้านหลังดังกล่าวอย่างน่าประหลาดใจ อีกทั้งมนต์เสน่ห์แห่งเจ้าของบ้าน ก็ดูจะเหมือนจะตรึงจิตมัดใจของเขาให้ว้าวุ่นหลงใหลอย่างไม่เคยเป็น ... ด้วยเส้นเรื่องที่พอคาดเดาได้ว่าปลายทางของคนทั้งคู่จะเป็นไปเช่นไร นิยายเรื่องนี้มีเส่นห์อีกอย่างที่รั้งความสนใจของผู้อ่านได้อย่างติดตรึง คือความลึกลับน่าสะพรึงที่แฝงอยู่ในบ้านหลังนั้น รวมทั้ง “งูเห่า” ตัวนั้นที่เจ้าของบ้านเรียกขานมันว่า “คุณ”...
แม่เบี้ย คือนวนิยายที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ความน่าติดตามของการเล่าเรื่อง ผู้แต่งไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรซับซ้อน หากแต่เล่าไปเรื่อยๆ ตามลำดับเวลา ขณะที่ตัวเรื่องผูกหลักอยู่กับเรือนไทย วิถีชีวิต วิถีวัฒนธรรม ความคิดความเชื่อก็ถูกสอดแทรกไว้ระหว่างบรรทัดได้แบบมีสีสันชีวิตชีวา ขณะเดียวกัน ขณะที่ความอาถรรพ์ดำเนินไปอย่างลึกลับ ผมคิดว่าสิ่งที่ผู้อ่านจะได้ซึมซับผ่านตัวตนของตัวละครเอกอย่างเมขลา คือการใช้ชีวิตและวิธีคิดแบบผู้หญิงหัวก้าวหน้า และถ้าจะว่าจริงๆ มันคือการตีโต้อีกแบบหนึ่งของมุมมองสิทธิสตรีที่มีต่อระบบสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่...
ไม่ควรลืมความจริงข้อหนึ่งว่าเมขลานั้นเกิดมาในครอบครัวที่ “พ่อ” มีอำนาจมาก เท่าๆ กับที่มีเมียหลายคน (นึกภาพว่า เหมือน “จัน ดารา” เบาๆ) เสริมเข้าไปด้วยภาพของเมียหลวงเมียน้อยตบตีแย่งชิงก็มีเป็นปกติ เมื่อมองในมุมนี้ การที่เมขลาจะเติบใหญ่กลายไปเป็นผู้หญิงรักอิสระ ใช้ชีวิตแบบตามใจฉันจนหลายคนมองว่าดอกทอง เอาเข้าจริง มันอาจไม่ใช่แค่เพียงเพราะว่าเธอเรียนมาทางด้านศิลปะ (รหัสวัฒนธรรม หรือ Culture Code ของเด็กศิลป์ อย่างหนึ่งก็คืออิสระ) หากแต่ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะผลพวงจากประสบการณ์วัยเยาว์ที่เธอเห็นแม่ของตนเองโศกตรมระทมใจเพราะผู้ชายในบ้าน เรื่องของผู้หญิงจึงนับว่าเด่นชัดมากที่สุดประการหนึ่ง นอกจากเมขลา เราจะพบว่าผู้หญิงแทบทุกคนในเรื่อง ก็ชอกช้ำระกำใจเพราะพฤติกรรมของผู้ชายแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อยหลานลุงทิม หรือแม้แต่เมียของชนะชล ทั้งหมดทั้งมวลน่าจะมีส่วนทำให้เมขลาไม่ยินดีปรีดาที่จะตกร่องปล่องชิ้นกับใครง่ายๆ และใช้ชีวิตอิสระในแบบที่เธอเลือก
การใช้ชีวิตเสรี การเปิดกว้างทางเรื่องเพศ จึงควรมีความหมายมากเกินไปกว่าคำว่า “ดอกทอง” จะอธิบายได้ เพราะโดยเนื้อแท้ลึกลงไป อาจมองได้ว่านี่คือการตอบโต้และเติบโตของ “สตรี” ที่จะไม่ยอมอยู่ใต้บงการของผู้ชายอีกต่อไป ผมจะขอยกตัวอย่างจากนิยายมาสักสองย่อหน้าในสิ่งที่เมขลารู้สึกกับ “พจน์” และ “ชนะชล” ที่ทั้งสองคนต่างก็มีคู่ชีวิตอยู่แล้ว
(เมขลารู้สึกต่อพจน์) “การเที่ยวเตร่กับพจน์นั้นออกจะสนุก เพราะเขาเป็นคนที่ถึงไหนถึงกันในแบบที่เธอชอบ เรื่องก็อาจจะยังคงดีดอก ถ้าหากว่าการติดต่อเที่ยวเตร่ด้วยกัน จะเป็นไปในลักษณะที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย ไปมาหาสู่โดยความพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย เธอไม่ได้ต้องการเที่ยวบ่อยเท่าที่เขาต้องการ และไม่ต้องการให้เขาเรียกร้องที่จะครอบครองเวลาของเธอ และตัวเธอ”
(เมขลารู้สึกต่อชนะชล) “เขาก็คงจะต้องการตัวเธอเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรนักหรอก เขาก็คงจะเห็นเธอเหมือนของเล่นของกินอะไรอย่างหนึ่งที่อยากจะลอง – เถิดน่ะ – ขอให้เขาคิดอย่างนั้นเถิด ลองแล้วก็ขอให้เบื่อเป็นหน่ายเป็นก็แล้วกัน”
นี่คือแบบฉบับของผู้หญิงอย่างเมขลาที่ผมคิดว่าเป็นจุดแข็งประการสำคัญของเรื่อง โดยมีเรื่องของผู้ชาย ทั้งพจน์ ทั้งชนะชล เป็นมุมรอง อย่างไรก็ตาม เมื่อแม่เบี้ยแผ่พังพานมาสู่หนังของหม่อมน้อย ผมรู้สึกว่าเรื่องราวของเมขลากลับกลายเป็นเรื่องของผู้หญิงดอกทองคนหนึ่งซึ่งจะเอาแต่สนุกสนานไปวันๆ โดยขาดการอธิบายถึงแรงผลักดันที่ชัดเจนว่าที่เธอเป็นเช่นนั้นเพราะอะไร อีกทั้งหนังก็เปลี่ยนไปใช้วิธีการเล่าผ่านมุมมองของผู้ชาย คือ “ชนะชล” ที่บรรยายเป็นช่วงๆ ว่าตนเองรู้สึกอย่างนั้นทุกข์ใจอย่างนี้ หนังจงใจใช้วิธีตัดซอยแบ่งบทคล้ายเลียนแบบรูปแบบนวนิยายโดยใช้วันเวลาเป็นตัวแบ่ง (วันที่ 1-2-3-...) แต่พูดจากใจจริงครับ ผมเห็นว่าเสียงบรรยายของชนะชลนั้นแห้งแล้ง แบบเสียงมา แต่ความรู้สึกไม่มา ถามว่าเสียงบรรยายหล่อไหม หล่อครับ หล่อเหมือนโฆษณาหลายๆ ชิ้นที่ตั้งใจทำให้เราซื้อของ
ท่ามกลางความรู้สึกที่ว่า “แม่เบี้ยเป็นหนังที่พอดูได้” ความเห็นหนึ่งซึ่งผุดขึ้นมา คือแม่เบี้ยเวอร์ชั่นนี้ เป็นงานที่คล้ายว่าหาจุดโฟกัสชัดเจนยังไม่เจอ ซึ่งแตกต่างจากหนังหม่อมน้อยที่ผ่านมา ขณะที่เรื่องของเมขลาไม่ได้รับการคลี่คลายเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในตัวตนของเธออย่างถ่องแท้ เรื่องของชนะชลก็เข้ามาเหมือนจะมีความสำคัญ แต่พลังของการตามหาความหลังของชนะชล เมื่อถึงจุดคลี่คลาย กลับเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงที่ไม่อาจส่งพลังสะเทือนใจได้ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มพาร์ทของ “ภาคภูมิ” เข้ามา ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะต้องการพรีเซ็นต์ดารา “ฮัท เดอะสตาร์” และยังมีติ่งเรื่องของแม็กกี้ อาภา (แม่ของเมขลา) ไม่ว่าจะอย่างไร ผมไม่ได้จะบอกว่าต้องยึดติดกับต้นฉบับ เพราะผู้กำกับหรือเขียนบทสามารถมีอิสระในการตีความ ลดความ ขยายความ หรือกระทั่ง “สร้างความใหม่” ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ในความรู้สึกของผม อาจไปด้วยกันไม่ได้กับ “ความ” ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นนี้
ที่ผ่านมา ผมชอบหนังของหม่อมน้อยนะครับ ก็ทุกๆ เรื่อง และยอมรับนับถือในหม่อมน้อยเรื่องการทำหนังที่มีคุณภาพ แต่สำหรับเรื่องนี้อาจเป็นข้อยกเว้น เพราะเห็นว่า มันหาจุดที่ประทับใจได้ได้ยากจริงๆ หรือถ้าจะให้พูดอีกสักนิด ผมคิดว่าการตีความใหม่ของหม่อมไปไกลเกินไป ไกลจนมิอาจทำใจให้เชื่อได้ในบางรายละเอียด เช่น เรื่องของงูยักษ์ ที่ผมไม่ติดใจกับเรื่องไซส์ของมัน และรู้สึกว่าความพยายามครั้งแรกๆ มันเหมือนจะไปได้ในทางของความ “มหัศจรรย์เหนือจริง” ดูเมจิคัลหน่อยๆ เอ็กซ์โซติกนิดๆ แต่พอยิ่งไปกลับยิ่งไกลเกินกู่ จากงูที่ควรคงความลึกลับ กลับถูกเปิดเผยด้วยอากัปกิริยาที่ไม่น่าจะเป็น เช่น ผงกหัว กระดิกหาง อย่างอารมณ์ดี หรือแม้กระทั่งมีน้ำตาเวลาเศร้า
งูคือความศักดิ์สิทธิ์ งูคือจ้าวชีวิตที่ความคิดคาดเดาไม่ได้ แต่ถูกทำให้กลับกลายเป็นงูยักษ์รักเด็ก เหมือนเพื่อนรักต่างพันธุ์ มันทำให้ดูลักลั่นในคาแร็กเตอร์ (แม้จะเป็นงูก็ตามที) ขณะที่บางส่วนที่ควรพอเหมาะพอดี ก็ถูกเติมเพิ่มสีเข้าไปจนหลายล้น อย่างตัวละครของ “ภาคภูมิ” (ฮัท-จิรวิชญ์) ผมไม่ติดใจที่การตีความใหม่จะทำให้เขามีบทบาทมากขึ้น และแรกๆ ก็เหมือนจะเป็นตัวละครย้อนศรของเมขลา ในแง่ที่ว่ารักการใช้ชีวิตอิสระและนิยมเซ็กซ์เสรี เขาเป็นเพลย์บอย แต่หนังกลับทำให้เพลย์บอยอย่างเขาล้ำเส้นไปไกลมาก อันนี้ด้วยความเคารพ มันเหมือนเป็นอารมณ์ค้างมาจากจัน ดารา เพราะฉากสุดท้ายฉากนั้นของฮัท เดอะสตาร์ มันน่าตกใจเหมือนฉากกามาใน “จัน ดารา” มาก
มองไปทางด้านของความอีโรติก ผมยังคงรู้สึกดีกับจัน ดารา และชั่วฟ้าดินสลาย ที่ดูจะพิถีพิถันมากกว่าอยู่หลายส่วน (แม้ลึกๆ จะเชื่อว่าเซ็กซ์มันไม่ได้จำเป็นต้องสวยงามขนาดนั้น เพราะคนจะมีอะไรกัน มันคงไม่มีเวลามานั่งจัดแสงแต่งบรรยากาศได้ขนาดนั้น) แต่ถ้าจะถามในความโป๊เปลือย แม่เบี้ยจัดเต็มมาก ส่วนจะดึงอารมณ์ให้อ่อนยวบหรือขึงแข็ง ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน
คุณแม็กกี้ อาภา นั้นงามสง่าคุ้มค่ากับการเปิดเปลือย ผมคิดว่าหญิงนางใดได้เห็นบอดี้และทรวดทรงองค์เอวของเธอ น่าจะต้องอิจฉา คุณอ้อม-กานต์พิสซ่า นักแสดงสาวหน้าใหม่ ก็ได้เรื่องความทุ่มเทแบบหมดหน้าตัก และการแสดงของเธอก็ไม่ขี้ริ้ว ส่วนหน้าตาก็จัดว่าสวยและหน้าตามีเสน่ห์แห่งความลึกลับสมกับบทและเรื่องราว ในส่วนของคุณอ้อม ผมเห็นว่าฉากสนทนากับชาคริตหลังจากเมคเลิฟกันแล้วนั้น ดูล้นอยู่เหมือนกัน เพราะหนังจงใจโชว์ปทุมถันหนึ่งข้างของเธอตลอดเวลา นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ คนเปิดนมข้างหนึ่งคุยกัน ส่วนฮัท-จิรวิชญ์ ใครเป็นแฟนเดอะสตาร์ก็คงสุขอุราไปตามๆ ขณะที่พจน์ (ชัยวัฒน์ แสงทอง) บอดี้ที่บึกบึนด้วยมัดกล้ามของเขา คิดว่าดีพอจะปลุกเร้าอารมณ์หวิวของสาวๆ ได้ และทั้งหมดนี้ก็คือปัจจัยเงื่อนไขที่ดีในการดูหนังแม่เบี้ยซึ่งสมควรจะกล่าวว่าเป็นแหล่งแคลเซี่ยมชั้นดีได้
ก่อนหนังรอบพิเศษจะเริ่มฉายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทางทีมงานได้จัดแสดงโชว์ชุดหนึ่งซึ่งน่าประทับใจมากครับ เพราะทำออกมาคล้ายๆ กับละครเวที คุณรัดเกล้า อามระดิษฐ์ ขับร้องบทเพลงหลายเพลงที่ชวนให้หัวใจอ่อนโยนไปกับน้ำเสียงอันอ่อนหวานทรงพลังของเธอ ขณะที่ฮัท-จิรวิชญ์ ก็โชว์พลังเสียงของเขาไปตามเหมาะควร และหนึ่งในการโชว์ค่ำคืนนั้น เป็นการขับร้องบทเพลงอมตะจากภาพยนตร์ดีๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเพลง “เงิน เงิน เงิน” จากหนังชื่อเดียวกันกับเพลง...
เมื่อ “แม่เบี้ย” เลื้อยคลานไปได้ราวๆ ครึ่งเรื่อง ผมก็พลันนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น และขับร้องในใจ... “นม นม นม”
สวยงามครับ!
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม