“น้องซีดี” พร้อมผ่าตัด ลั่นไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย แต่กลัวผ่าตัดมาแล้วจำพ่อจำแม่ไม่ได้ เป็นห่วงแม่ เพราะแม่ชอบมานอนกอดทุกคืน ถาม อยู่ได้ไหมถ้าไม่มีหนู ขอบคุณทุกกำลังใจ ด้านแม่ร่ำไห้ซาบซึ้งคนแห่ช่วยเหลือเงินค่ารักษาพยาบาล
เตรียมเข้ารับการผ่าตัดโรคโมยาโมยา วันที่ 26 สิงหาคมนี้ สำหรับ “น้องซีดี ด.ช.กฤตไน เลาหปราสาท” นักแสดงเด็กภาพยนตร์ ตุ๊กแกรักแป้งมาก และละครเทวดาฟันน้ำนม ช่อง 7 โดยเมื่อช่วงเช้าน้องซีดีพร้อมคุณพ่อและคุณแม่ ก็ได้เดินทางไปโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อตรวจเช็กร่างกายเตรียมตัวผ่าตัด ซึ่ง นันท์หทัย เลาหปราสาท คุณแม่และน้องซีดีได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า
แม่ : “วันนี้เหนื่อยมากเลย แม่มาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ 7 โมงกว่านิด ๆ ก็พาน้องมาจากต่างจังหวัด ใช้สิทธิบัตรประกันสุขภาพ เราก็ต้องเหนื่อยหน่อยค่ะ แล้วก็รอฟังว่าเราจะได้เตียงไหน ห้องไหน เสร็จแล้วก็ต้องพาน้องไปเจาะเลือดเอง เอกซเรย์เอง แล้วก็ไปทำเรื่องค่าใช้จ่าย ตอนนี้ก็ให้คุณพ่อเขาเดินเรื่องแทนอยู่ค่ะ วันนี้ก็ต้องแอทมิด ต้องนอนแล้วค่ะ พอพรุ่งนี้ก็ต้องมีการฉีดสี เปิดหลอดเลือดที่หน้าขาและต้นคอ เพื่อจะฉีดสีไปที่หลอดเลือด และวันที่ 26 สิงหาคมนี้ผ่าตัดค่ะ”
“คุณหมอก็ให้น้องทำร่างกายให้แข็งแรงอย่าป่วย เพราะปกติน้องเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว เกี่ยวกับพวกปอดบวม ปอดอักเสบ ติดเชื้อทางเดินหายใจง่าย ไซนัสค่ะ ก็จะมีปัญหาเรื่องโพรงหายใจตีบแคบ หายใจไม่ค่อยสะดวก”
“ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม แม่ต้องเข้ามาพบหมออีกครั้ง เพราะว่าการผ่าตัดทุกชนิด น้องเขาทานยาต้านเกล็ดเลือดอยู่ ก็ต้องเอามาให้คุณหมอดูประเมินว่าต้องหยุดยาไหม เพราะปกติการที่จะต้องผ่าตัดต้องมีการหยุดยาเกล็ดเลือดเพราะมันจะทำให้เลือดไหลเยอะ แต่ครั้งนี้คุณหมอไม่ได้หยุดยา และเพิ่มโดสยาขึ้น เพราะว่าเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม น้องมีอาการอัมพาตอีก ระยะเวลานานหน่อย ประมาณ 40 นาที หมอก็เลยให้ทานยาต้านเกล็ดเลือดจนถึงวันผ่าตัด และช่วงนี้ก็ไม่ให้น้องเป็นหวัดค่ะ”
“โรคโมยาโมยาคุณหมอบอกว่าเป็นชื่อภาษาญี่ปุ่น เพราะว่าคนที่เจอโรคนี้คนแรก ก็คือ อาจารย์หมอที่ญี่ปุ่น เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองอุดตัน แล้วพอตรวจเจอก็สั่งให้น้องกินยาเกร็ดเลือดมาตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัว เลือดจะได้ไปเลี้ยงสมองพอ แต่ระหว่างทานยาน้องยังมีอาการอยู่ หมอก็เลยนัดมาทำเทสต์ ฉีดสีดูว่าทำไมถึงมีอาการ ผลก็ออกมาเมื่อ 30 มิถุนายน ว่า น้องเขาเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ”
“พอรู้ผลคุณหมอก็บอกว่าน้องคงเป็นมาระยะหนึ่งล่ะ ไม่ได้เพิ่งเป็น แต่อาการออกมาชัดเจนก็เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมาค่ะ คือก่อนหน้านี้น้องเขาพยายามจะบอกคุณแม่ และคุณแม่ก็เห็นว่าเขาปวดหัว เวียนหัว ล้มบ่อย ล้มเข่ากระแทกช้ำเลย บางครั้งก็นอนฟุบไปเลย บางทีไปทำงานเขาก็จะมีอาการปวดหัว แต่เขาก็จะฝืนทำจนเสร็จ เราก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอาการของโรคนี้ พอย้อนไปน้องก็เป็นมาพักใหญ่ เขาก็มาเล่าบ้าง หรือเราเห็นไม่ชัดบ้าง แต่วันที่ 27 มีนาคม เราเห็นต่อหน้าต่อตาว่าน้องเขามีอาการอัมพาตชั่วคราวซีกขวาทั้งแถบเลยค่ะ ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ ขยับไม่ได้ แต่วันนั้นก็รีบพาไปถึงคุณหมอภายในครึ่งชั่วโมงค่ะ ที่จังหวัดกาญจนบุรี แต่ที่นั่นไม่มีหมอเฉพาะทางด้านนี้ ก็เลยมีการส่งตัวมาที่กรุงเทพฯ และทำ MRI”
ด้าน “น้องซีดี” ก็เล่าถึงเหตุการณ์ตอนเริ่มป่วยว่า แขนขาอ่อนแรง กะระยสายตาไม่ถูกทำให้เดินชนเสาหรือตกบันได
น้องซีดี : “ตอนนั้นที่หนูเริ่มเป็นก็คิดว่าแค่มึนๆ หัวนิดหน่อย ก็คิดว่าไม่เป็นอะไรมาก เพราะวันนั้นเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาไม่สบาย และมันเริ่มออกอาการค่อย ๆ หนักขึ้น เริ่มปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง ก็เลยรีบ ๆ เดินมาบอกแม่ และรีบพาส่งโรงพยาบาลทันครับ ตอนนั้นหนูก็ยังคุมสติได้อยู่ ยังไม่ค่อยตกใจ แค่นึกในใจว่าเราเป็นอะไร ทำไมยกแขนไม่ขึ้น ยกขาไม่ได้”
“มันจะมีอาการมึน ๆ ไม่ค่อยปวดหัวเท่าไหร่ คือ บางทีก็มึนจนตามันกะระยะไม่ถูก เสาหรือบันไดมันอยู่ใกล้ ๆ แค่นิดเดียว แต่ตามันกะระยะไม่ถูก คือ มันจะเห็นว่าอยู่ไกล ๆ บางทีก็ทำให้ตกลงไป เพราะกะระยะไม่ถูก เดินชนอะไรบ้าง”
แม่ : “เขากำเหรียญสิบเอาไว้ แล้วก็หล่น ๆ ตลอด จน 3 ครั้งเขาก็ไม่ก้มหยิบแล้ว ก็กลับมาหาแม่ แล้วก็พูดว่าแม่ดูหนูหน่อย ช่วยหนูด้วย แต่ไม่ได้ออกเสียงแบบนี้นะ เป็นเสียง อ.อ่าง หมดเลย แล้วปากก็ไม่ขยับ แม่ก็ตกใจ แต่ตั้งสติได้ว่าอาการนี้มันน่าจะเป็นอาการของสมองขาดเลือด แต่แม่เข้าใจว่าน้องเขาอ้วนเลยสมองขาดเลือด ไม่คิดว่าจะเป็นหนัก แต่ผลสรุปมันคือโรคโมยาโมยา ไม่ได้เกิดจากอ้วนเพราะไขมัน”
“อย่างเราพาไปเดินศูนย์การค้า เขาเป็นบ่อย เขาไปเดินชนเสาห้าง เราก็ตีเขาบอกว่าอย่าเล่น ก็นึกว่าเขาเล่น เดินไปหยอกไป แล้วเวลาเขาไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ เล่นบ้านบอลเล่นอะไรเสร็จ เราก็เหนื่อย ซีดีเขาก็จะหาที่พิง ถ้ามีรถเข็นเขาก็จะโผเข้าหา เขาจะไม่ค่อยบอกอาการแม่ เราต้องมานั่งสังเกต แล้วตกบันไดล่าสุด น้องเขาก็เดินลงมาปกติ เราก็ได้ยินเสียงโครม เขาบอกว่านึกว่าอีกสองขั้นจะถึงแล้ว เขาก็เลยก้าวก็เลยร่วงลงมาข้างล่าง เมื่อวานนี้ระหว่างที่แม่นั่งสัมภาษณ์อยู่ เขาเดิน ๆ แล้วก็ล้ม คือล้มง่ายมาก”
น้องซีดี : “มันเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งที่เราราดน้ำไปครึ่งหนึ่ง กระดาษด้านที่ยังแข็งๆ อยู่เหมือนตอนนี้ที่ยังแข็งแรง ก็ยังยกแขนได้ปกติ บิดได้ แล้วพอมันโดนน้ำ กระดาษมันก็จะเหี่ยวไปเลย เราก็ควบคุมอะไรไม่ได้แล้ว แขน ขาก็เหมือนกัน ไปหมด”
ตอนนี้อาการดีขึ้นเพราะใช้ยาควบคุมอยู่
แม่ : “ดีขึ้นเพราะใช้ยาค่ะ อันนี้ให้ยาเพื่อควบคุม แต่ว่าอาการมันมาเป็นระยะ แต่ไม่ได้มาระยะนาน คือยังมีให้เห็นบ้างค่ะ แต่ล้มค่อนข้างบ่อย ยิ่งทานยาต้านเกล็ดเลือด เลือดมันจะออกมาก เขาก็จะมีร่องรอยบาดเจ็บ แม่ก็ถ่ายรูปเอาไว้ เพราะเขาล้มบ่อย ระหว่างเดินตามเรา แค่เราปล่อยมือเขาก็ล้มแล้ว”
น้องซีดี : “เหมือนเวลาล้มคนเราก็จะเขียวนิดหน่อย แต่พอกินยาละลายลิ่มเลือด เวลาเลือดออกมันจะมีเลือดออกข้างใน มันก็จะเป็นสีแดงมากขึ้น”
แม่ : “หมอก็เลยบอกว่ายาตัวนั้นกินเกิน 3 เดือนไม่ได้ เพราะว่ามันอันตราย เกิดล้มแล้วหัวฟาดมันจะมีเลือดคั่งในสมอง ก็เกินได้ประมาณ 3 เดือน ตอนนี้ก็ต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด เมื่อก่อนเขาก็ออกกำลังกายนะคะ ปั่นจักรยานรอบหมู่บ้าน ขี่ออกไปซื้อของหน้าปากซอยได้ ตอนนี้ก็ไม่ให้ไปแล้ว เพราะกลัวเขาปั่นๆ ไปแล้วจะล้ม เพราะมันไม่มีบอกว่าจะเกิดล้มตอนไหน ปั่นจักรยานก็จะไปกับแม่ เราก็กลัวเขาจะล้ม ก็ให้เขาระวังตัวเอง แต่ไม่ใช้ไปหน้าปากซอยแล้ว”
มีปัญหาเรื่องความจำ เพราะสมองด้านซ้ายมีปัญหา
น้องซีดี : “ใช่ครับ ตอนนี้ความจำหนูสั้นๆ ที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที ไม่กี่วินาทีก็อาจจะลืมไปบ้าง แต่เรื่องนานๆ ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ 1 - 2 ขวบ ก็ยังจำได้อยู่”
แม่ : “เขาจะคิดช้ากว่าเดิม จากปกติจากที่จำอะไรแม่น ๆ อ่านหนังสือแล้วจำได้เลย ตอนนี้ก็ต้องมาทวนหนักหน่อย แล้วก็คิดช้าตอบช้า จากที่เคยคิดอะไรได้เร็ว ๆ ตอนนี้เรื่องเรียนแม่ก็ต้องดร็อปให้น้องไว้ก่อน เดี๋ยวผ่าตัดเสร็จก็ค่อยว่ากัน เพราะน้องเขาชอบวาดภาพ แต่พอแม่ให้เขาคิดเลข เขาจะปวดหัว แลดูเขาเครียดกดดัน ก็เลยให้เขาวาดภาพ สวดมนต์ เบา ๆ ไป”
น้องซีดี : “คุณหมอเขาบอกว่าฝั่งที่เส้นเลือดหนูจะติดขัดมันจะอยู่ฝั่งซ้าย และจะควบคุมมาอีกฝั่ง เป็นฝั่งซ้ายก็เลยมาอ่อนข้างขวา แต่คุณหมอบอกว่าข้างซ้ายจะควบคุมเรื่องการพูด ความจำ ความคิด และข้างขวาจะดูเรื่องความสร้างสรรค์ จินตนาการ ดนตรี”
ซีดีเครียดที่ต้องผ่าตัดถึงขั้นเอาไปละเมอ จนต้องไปปฏิบัติธรรม
น้องซีดี : “ตอนที่หมอเริ่มบอกว่าต้องผ่า หนูก็กลัว เอาไปฝันทุกอย่างเลย (ยิ้ม) ตื่นบ่อยมาก”
แม่ : “เมื่อเช้าลุกขึ้นมาบอกตัวเองว่าช่วยเอาอะไรออกจากหัวให้หน่อย ละเมอทุกคืนเลย คือโวยวาย เราก็ต้องจับตัวเขาให้นิ่งๆ เพราะเรารู้เลยว่าเขาจิตตก เรารู้เลยว่าอาการละเมอแบบนี้คืออาการเครียดของเขา คุณหมอก็บอกว่าถ้าไม่มีอาการเครียดก็คงไม่มีการละเมอรุนแรงแบบนี้”
น้องซีดี : “หลังจากที่หมอเขาบอกว่าต้องผ่าตัด หนูก็ไปปฏิบัติธรรมมาครับ ก็เริ่มสบายใจขึ้น พระอาจารย์สอนหนูว่า คนเราเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก แล้วพระอาจารย์ก็บอกว่าถ้าเราผ่าตัดแล้วรอด เราก็ต้องตายอยู่ดี ถึงผ่าหรือไม่ผ่าเราก็ยังต้องตาย เพราะชีวิตนี้ไม่ใช่ของเราเสมอไปครับ แต่ที่หนูกลัวก็คือหนูกลัวตาย แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้วครับ เฉยๆ ไม่กลัวเจ็บด้วย เพราะหมอบอกวางยาสลบ แต่แม่เนี่ย (หัวเราะ) แม่เล่าให้หนูฟังว่าก่อนแม่นอนแม่จะหอมแก้มหนูทุกคืน เหมือนคิดถึง ก็กังวลเรื่องแม่บ้าง เพราะว่าเมื่อก่อนหนูห่างจากแม่ไม่ได้เลย แต่ตอนนี้เริ่มห่างได้แล้ว ตอนนี้หนูโตแล้ว หนูก็เริ่มฝึกตัวเอง คือ แยกนอน แต่นอนห้องเดียวกันนะครับ แต่แยกนอนอีกฝั่งหนึ่ง แต่แม่ก็ยังตามมาอีก (หัวเราะ)”
แม่ : “เขาถามว่าอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีหนูเนี่ย เพราะตื่นขึ้นมาก็จะเห็นว่าทำไมแม่มานอนอยู่ด้วยทุกทีเลย แม่ก็แกล้งบอกให้นอนคนเดียว แต่พอเขาหลับแม่ก็ไปนอนกอดเขาทุกคืน พอเขารู้แบบนี้เขาก็ถามว่าอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีหนู ตามจังเลย (ยิ้ม)”
น้องซีดี : “เวลาตื่นมาจะเห็นผ้าห่มอยู่ตรงที่นอนหนูตลอด (หัวเราะ)”
หวั่นใจกลัวผ่าตัดแล้วจำใครไม่ได้
น้องซีดี : “ตอนแรกหนูก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่พอหมอบอกว่าเป็นโรคนี้ เป็นหนึ่งในล้านคน ก็คิดว่ามันคืออะไร โมยาโมยามันดูน่ารักจัง (หัวเราะ) แต่พอรู้ว่ามันเป็นโรคเกี่ยวกับความจำ ก็เริ่มกลัวนิดหนึ่ง กลัวจำเพื่อน จำแม่ จำพ่อไม่ได้”
แม่ : “เขาจะมีเพื่อนกลุ่มที่สนิทเขาก็จะโหยหา นัดเจอกันบ่อย ๆ เขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวเราจำไม่ได้นะ ติดเพื่อน”
น้องซีดี : “ที่หนูกลัวจำไม่ได้ ลืมไปเลย คืออาจจะจำผิดคน อาจจะจำป๋าเป็นแม่ แม่เป็นป๋าสลับกัน (ยิ้ม)”
เผย “น้องซีดี” สุดอึดความรับผิดชอบสูง ถึงจะป่วยแต่ก็ยังถ่ายทำงานจนจบ
แม่ : “ช่วงที่เขาป่วยก็ยังทำงานอยู่นะคะ แต่พอเป็นหนัก ๆ งานหายไป เขาก็มาถามว่าแม่ไม่รับงานให้หนูแน่เลย เขาไม่รู้ว่าทำไมงานเขาหายไปเฉย ๆ คือ เขาป่วยมานานแต่เขายังทำงานอยู่นะ ตอนนั้นก็ทราบแล้วว่าป่วย แต่เพราะยังไม่ปิดกล้องก็ต้องทำให้จบ บางกองก็ทราบ แต่บางกองก็ไม่ทราบ ตอนถ่ายก็มีอาการเหนื่อย ไม่ไหวบ้าง แต่คนก็ต้องมองนึกว่าเหนื่อยจากการทำงาน แต่ไม่คิดว่าเหนื่อยจากโรค ขาดน้ำไม่ได้เลย เวลาน้องร้อนจัด ๆ คุณหมอก็จะห่วงเรื่องน้ำ”
“มีอยู่ครั้งหนึ่งก่อนจะไปถ่ายคุณหมอต้องขอดูบทเลยค่ะ (หัวเราะ) คือ จะขอออกจากโรงพยาบาลเร็วไงคะ คุณหมอก็สงสัยว่ามีอะไร เพราะน้องเขาตับอักเสบด้วยไงคะ หมอก็ถามว่ามีอะไรจะรีบไปไหน น้องก็บอกว่าหนูจะรีบไปถ่ายละคร คุณหมอก็ถามว่ามีบู๊ โลดโผน โหนสลิงหรือเปล่า ก็เลยเอาบทให้ดู เป็นคลาสในห้องเรียน แต่วันนั้นก็แอบไปถ่ายหนัง เพราะคุยกันไว้แล้ว ลงตัวแล้วก็เลยไปถ่าย แล้วไปที่สระบุรี แต่น้องเขาก็อึดมาก เขาอยากให้มันจบ สรุปแล้วก็ยังไม่เรียบร้อยดี เพราะเขาป่วย แต่ตอนนี้ปิดกล้องหมดแล้วค่ะ”
กำลังใจล้นหลามมีคนบริจาคเลือดให้ “น้องซีดี” จนเหลือเผื่อแผ่ไปยังผู้ป่วยคนอื่นๆ และมีคนในวงการแสดงหลายคนบริจาคเงินช่วยเหลือค่ารักษา ทำเอาคุณแม่ถึงกับร่ำไห้
แม่ : “ก็มีคนจำได้เยอะค่ะ เพราะตอนนี้ละครแม่ดอกรักเร่ที่น้องเล่นกำลังออนแอร์อยู่ และที่มีคนมาบริจาคเลือดให้ จริง ๆ เป็นกรุ๊ปที่มีบริจาคพอแล้ว เพราะไม่ได้หายาก แต่ตามสิทธิของเรา คือ เราใช้สิทธิบัตรทอง เขาก็ให้พาญาติมาบริจาคไว้ แต่เราไม่มีญาติ ก็เลยลงเฟสบุ๊คเอาไว้หน่อยหนึ่ง ก็นึกว่าเพื่อนเราแค่ไม่กี่คน ที่ไหนได้มันมีการแชร์ต่อ ๆ ไป แม่ก็เพิ่งจะเข้าใจโลกโซเชียลก็ครั้งนี้แหละค่ะ เพราะแม่ก็ตามอะไรไม่เป็นหรอกค่ะ แต่ตอนนี้มันไปไกลแล้ว ก็คิดว่าตอนนี้ถ้าจะทำอะไรก็ต้องระวังแล้ว (ยิ้ม) และมีพี่ๆ น้องๆ ในวงการมาช่วยเยอะมาก คือเกินความคาดหมาย แม่ก็แอบเกรงใจว่ามันจะเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะตอนนี้มันก็เกินพอดีแล้ว แต่หลายคนก็ปลอบใจว่าแม่อย่าคิดมาก เพราะว่าเขาให้น้องแล้วมันเหลือ เขาก็สามารถไปช่วยเหลือคนอื่นได้ที่เขาไม่มีญาติและเลือดไม่เพียงพอ และมันก็ได้อานิสงค์ อย่างน้องให้คนอื่นเขาก็ได้บุญด้วย ก็ค่อยเบาใจ”
“ตอนแรกก็แอบกังวลว่าเขามาบริจาคเยอะแยะ แล้วเขาจะได้ความสะดวกสบายไหม เขามาเพื่อซีดีเลยนะเนี่ย แล้วก็มีป้าจุ๋ม อุทุมพรด้วยค่ะ คือถ่ายละครด้วยกันกับน้องซีดีค่ะ เราจะมีกลุ่มไลน์ละครด้วยกัน ป้าจุ๋มอยู่อังกฤษแล้วก็ส่งไลน์มาว่าเดี๋ยวป้าจะบินกลับมาวันที่ 24 - 25 สิงหาคมนี้ ป้าจะมาเยี่ยม ก็เกรงใจ กลัวแกจะเหนื่อยเกินไป วันนี้แม่กบ ปภัสสราก็มาเยี่ยม คราวที่แล้วแอดมิทแม่กบก็ไปเยี่ยมน้อง”
“ตอนนี้ก็มีบางสื่อที่ขอเลขที่บัญชีแม่ไป แต่จริงๆ คุณแม่ไม่อยากทำตรงนี้ เพราะคำพูดของน้องมันสะกิดใจคุณแม่เอง (ร้องไห้) ซีดีบอกว่าคนอื่นเขาลำบากกว่าเราอีก น้องมองว่าน้องไม่ได้ลำบากขนาดนั้น แต่น้องเขาไม่รู้ว่าตอนนี้เราต้องมีการใช้เงินน่ะค่ะ พอมีคนบอกว่าอยากจะช่วยเงิน น้องก็พูดขึ้นมาเองเลยว่าคนอื่นเขาลำบากกว่าหนูอีก ไปให้คนอื่นก็ได้ (น้ำตาไหล) แต่ก็มีหลายๆ คนที่ช่วยมาบ้าง แต่แม่ยังไม่ได้ไปดูบัญชีเลย ก็มีน้อง ๆ ในวงการที่ขอรายละเอียดไปโพสต์ในไอจีเขา แม่คิดว่าก็คงมีกระจายออกไป แต่แม่ยังไม่ได้เช็ครายละเอียด”
“วันนี้ทางโรงพยาบาลก็เรียกค่ามัดจำด้วย ก็เลยยังตัดสินใจอยู่ว่าสงสัยต้องตัดสินใจเอาเงินที่เขาบริจาคมาไปจ่ายแล้วล่ะ ตอนแรกแม่ก็คิดว่าให้น้องนอนผ่าตัด ระหว่างผ่าตัดมันก็หลายวัน คุณพ่อก็จะวิ่งไปหาเงิน แม่เข้าใจแบบนี้ บอกตรง ๆ ว่าวันนี้คุณแม่มีเงินติดตัวมา (เริ่มร้องไห้) มีคุณแจ็ค แฟนฉัน มีกุ๊บกิ๊บเขายัดเงินใส่มือแม่มาเมื่อวันก่อน (ร้องไห้) และเมื่อเช้าก็มีคุณแม่ท่านหนึ่งมาแต่เช้าเลยค่ะ เอาเสื้อมาให้ เขาร่วมกันกับคุณแม่ที่เขาเอ็นดูซีดีทำเสื้อออกมาขาย แล้วเขาบอกว่าพอหักค่าใช้จ่ายเขาก็จะมาช่วยน้อง เอามาให้แต่เช้าเลยค่ะ”
“น้องซีดี” ขอบคุณทุกกำลังใจ สุดดีใจวันที่ 5 กันยายนนี้ แม่จะจัดงานวันเกิดให้เป็นครั้งแรกในชีวิต
“ก็อยากขอบคุณที่ส่งกำลังใจและช่วยบริจาคเลือดให้หนู ก็ขอบคุณมากๆ ครับ (ยิ้ม) ดีใจครับที่ช่วยบริจาคเลือดและส่งกำลังใจให้ครับ วันที่ 5 กันยายนนี้ วันเกิดครับ ดีใจมากครับ (ยิ้ม) สิ่งที่อยากได้มันอาจจะเกินไปหน่อย (ยิ้ม) สิ่งที่หนูอยากได้คือคอมพิวเตอร์ครับ (หัวเราะ) หนูชอบตัดต่อ ทำโปรแกรมลงคลิปชอบทำคลิปครับ ก็เคยบอกคุณแม่ไว้ครับ เวลาหนูจะทำการ์ดวันแม่ หนูก็จะใช้คอม ไม่เขียนเอง คือทำให้มันสวยๆ เป็นงานวันเกิดครั้งแรกด้วยครับดีใจครับ (ยิ้ม) ที่ผ่านมาก็แค่มีเพื่อนมาอวยพรให้ แล้วก็เอาของขวัญมาให้ แล้วก็พาไปกินข้าว ไม่เคยจัดงาน จริง ๆ หนูก็เคยอยากมีงานนะครับ (ยิ้ม) พอคุณแม่บอกว่าปีนี้จะจัดให้ก็ดีใจมากครับ (ยิ้ม) เพราะว่าหนูยังไม่เคยได้จัดงานมาก่อน แต่ถ้าตอนนี้หมอบอกว่าถึงหายก็ยังกินเค้กไม่ได้ เพราะมันอาจจะไปทำอะไรต่อสมองในเส้นเลือดอีก ก็ยังกินเค้กไม่ได้ (ยิ้ม)”
***
ฟังเรื่องราว “น้องซีดี” หนูน้อยยอดกตัญญู ด้านแม่ภาวนาให้ลูกปลอดภัยอยู่ฉลองวันเกิด 5 ก.ย.
คนบันเทิงร่วมแชร์โพสต์ช่วย “น้องซีดี” ป่วยเป็นโรคโมยาโมยา