“แม่น้องซีดี” ร้องไห้สงสารลูกจับใจโชคร้ายป่วยเป็นโรคที่หนึ่งในล้านคนจะเป็น ภาวนาขอให้ลูกปลอดภัยอยู่ฉลองวันเกิด 5 ก.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นการจัดงานวันเกิดให้ลูกเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้านน้องซีดีปลงบอกคนเรายังไงก็ต้องตาย พร้อมบอกกลัวฟื้นมาแล้วจำแม่ไม่ได้ ขณะที่แม่สัญญาถึงจะความจำเสื่อมก็รับได้ ยินดีดูแลลูกตลอดไป ขอบคุณคนที่บริจาคเลือด ไม่รู้จะตอบแทนยังไง สัญญาจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีสมกับที่ทุกคนช่วยชีวิตลูกชายตนไว้ เปิดใจน้องซีดีเป็นลูกตัญญูมากทำงานเลี้ยงแม่ตอนป่วยเดินไม่ได้
ได้รับกำลังใจล้นหลามเลยทีเดียว สำหรับ “น้องซีดี” ด.ช.กฤตไน เลาหปราสาท ดาราเด็กจากภาพยนตร์เรื่อง “ตุ๊กแกรักแป้งมาก” และละครเรื่อง เทวดาฟันน้ำนม ทางช่อง 7 หลังเจ้าตัวล้มป่วยเป็นโรคโมยาโมยา ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากหลอดเลือดสมองอุดตัน เป็นโรคที่ 1 ในล้านที่จะเจอในคนไทย โดยภายหลังจากที่คุณแม่ “นันท์หทัย เลาหปราสาท” คุณแม่ของน้องซีดีได้โพสต์ข้อความขอรับบริจาคเลือดกรุ๊ปบีเพื่อช่วยชีวิตลูกชาย ที่จะเข้าผ่าตัดในวันที่ 26 สิงหาคม นี้ ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ปรากฏว่ามีคนไปร่วมบริจาคมากมายและเพียงพอที่จะใช้ในการผ่าตัดในครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อย
ในส่วนของสภาพจิตใจของน้องซีดีก่อนผ่าตัดใหญ่นั้น ทีมข่าวบันเทิง ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้สอบถามไปยังคุณแม่ของน้องก็ได้รับการเปิดเผยว่า ตอนนี้น้องเข้มแข็งกำลังใจดีมาก ตอนแรกอาจจะกลัวแต่หลังจากได้ไปถือศีลปฏิบัติธรรมมากลับกลายเป็นว่าน้องปลงได้ บอกคนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย ถึงผ่าตัดแล้วรอดวันนึงก็ต้องตายอยู่ดี แต่ยอมรับว่าลูกชายกลัวว่าฟื้นมาแล้วจะจำแม่ไม่ได้ ส่วนตนรับได้หากลูกต้องความจำเสื่อมจริงๆ ยินดีจะดูแลไปตลอดชีวิต รับกลัวลูกผ่าแล้วพิการ ได้แต่ภาวนาให้ลูกรอดปลอดภัยมาฉลองวันเกิด 5 กันยายน นี้ ซึ่งจะเป็นการจัดงานวันเกิดให้ลูกเป็นครั้งแรกในชีวิตซึ่งตนอยากมอบเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์ให้กับลูก พร้อมขอบคุณคนที่บริจาคเลือดไม่รู้จะตอบแทนยังไง สัญญาจะเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กดีสมกับทุกคนช่วยชีวิตลูกชายตนไว้
แม่เผยน้องซีดีป่วยเป็นโรคนี้มา 5 ปีแล้วแต่แม่ไม่เคยรู้มาก่อน ลูกตาฝ้ามัว แถมสายตากะระยะผิดจนตกบันไดและเดินชนของเป็นประจำ
“แม่เพิ่งพาน้องไปตรวจจริงจังเดือนมีนาคมปีนี้เองค่ะ เพราะน้องมีอาการตาฝ้าให้แม่เห็นก็เลยพาไปตรวจก็เจอว่าเป็นโรคนี้ อาการที่แสดงออกมาคือวันนั้นพวกเราไปทานข้าวด้วยกันที่บ้านคุณยาย แล้วน้องก็ขอตังค์ 10 บาทไปซื้อขนมข้างบ้าน แต่ปรากฏว่าเจ้าของร้านบอกน้องทำตังค์หล่นหายแล้วเขารู้สึกผิดสังเกต ก็เลยถามว่าซีดีเป็นอะไร ซึ่งแม่มาถามซีดีตอนหลังเขาบอกรู้สึกใจลอยๆ ไม่รู้เป็นอะไร เขาก็บอกว่าเขาบังคับแขนตัวเองไม่ได้ มันรู้สึกชาๆ เขาก็เลยเดินกลับมาหาแม่ที่บ้านยาย โดยที่เขาลากขาข้างขวามา เพราะมันบังคับให้ก้าวเท้าซ้ายเท้าขวาไม่ได้ ส่วนแขนก็ทิ้งไปเลยเพราะชาไปหมด พอเดินมาถึงประตูรั้วเหล็กบ้านคุณยายน้องก็เดินชนประโตดังโครมเลยค่ะ คือเขาเข้าใจว่ายังไม่ถึงแต่จริงๆ คือถึงประตูแล้วก็เลยเดินชน พอเดินเข้ามาอีกนิดนึงเขาก็เดินชนราวผ้าอีก เดินอีกก็ชนรถมอเตอร์ไซค์ของน้าที่จอดไว้อีก”
“พอถึงประตูเข้าบ้านปรากฏน้องถอดร้องเท้าได้แค่ข้างเดียวคือข้างขวาแล้วก็เดินลากขาเข้ามาในบ้าน เขาเหมือนเดินไม่ไหวก็ยืนพิงประตูยืนพิงแบบทิ้งตัว แล้วเขาก็เรียกแม่มาดูหนูหน่อย แม่ช่วยหนูหน่อย แต่เสียงอ้อแอ้พูดไม่ชัดนะคะเพราะเขาขยับลิ้นไม่ได้ พอเราหันไปเขาก็ค่อยๆ ร่วงลงพื้นแม่ก็ตกใจรีบพาเขาไปโรงพยาบาล แล้วตอนที่แม่พาเขามาโรงพยาบาลเขาจะหลับแม่ก็ตกใจ บอกเขาอย่าหลับนะลูกๆ บอกให้เขายิ้มให้แม่หน่อย เขาก็ไม่ตอบสนองเรา เราก็ยิ่งกลัว”
“ซึ่งหลังจากที่ตรวจเช็คแล้วคุณหมอวินิจฉัยว่ามันเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองอุดตัน คุณหมอบอกว่าน้องน่าจะเป็นมาระยะนึงแล้วแต่ไม่ได้บอกว่านานแค่ไหน แต่แม่มาย้อนคิดอาการของซีดีมีอาการแบบนี้มา 5 ปีได้แล้วค่ะ แต่ตอนนั้นแม่ไม่เคยเห็นต่อหน้าต่อตาได้แต่ฟังลูกเล่าให้ฟังว่าตาลาย เห็นแม่ไม่ชัด ปวดหัว สายตาเขากะอะไรผิดพลาด อย่างเวลาไปเดินห้างเขาก็เดินชนเสาปึ๊ง! แม่ก็นึกว่าเขาเล่น เพิ่งมาทราบตอนหลังว่าซีดีเห็นว่าเสาอยู่ไกลแต่จริงๆ มันอยู่ใกล้ ตอนที่เขาไปโรงเรียนเขาก็มาเล่าให้แม่ฟังว่าเขาตกบันไดเพราะเขามองไม่ชัดและกะระยะผิด ประมาณ ป.2 ได้ที่เขามีอาการแบบนี้ เนื้อสมองบางส่วนเขาเสียหาย สมองเขาตาย จริงๆ ซีดีโชคดีด้วยที่วันที่ทรุดแม่พาไปถึงมือหมอได้เร็ว เพราะคุณหมอบอกว่าถ้าปล่อยไว้เรื่อยๆ หรือมาหาหมอไม่ทันซีดีมีสิทธิ์เป็นง่อยหรือพิการได้”
มืดแปดด้านเมื่อรู้ว่าลูกชายป่วยเป็นโรคโมยาโมยา ชื่อประหลาดไม่เคยได้ยิน จะปรึกษาใครก็ไม่ได้เพราะไม่ค่อยมีคนป่วยด้วยโรคนี้ แม้แต่หมอในเมืองไทยที่จะรักษาโรคนี้ยังแทบไม่มี
“ตอนแรกที่คุณหมอบอกว่าลูกเป็นเส้นเลือดตีบ เราก็ยังโอเคว่าคนเป็นกันเยอะนะ เดี๋ยวกินยารักษาก็คงหาย แต่พอคุณหมอไปดูผลใหม่คุณหมอก็มาบอกว่าน้องเป็นโรคโมยาโมยา เราก็งงว่าเป็นโรคอะไรนะคะ คือเราไม่เคยได้ยินไงคะ คุณหมอก็บอกว่าโรคโมยาโมยาเป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นเพราะคุณหมอชาวญี่ปุ่นเป็นคนพบโรคนี้คนแรก อย่างเคสของซีดีคือคุณหมอบอกว่าหลอดเลือดในศีรษะเขาอักเสบเหมือนมีหินปูนจนหลอดเลือดหายไปท่อนหนึ่ง พอหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหายไปทำให้น้องมีอาการ แต่ด้วยความที่เขายังเด็กทำให้สมองมีความยืดหยุ่น หลอดเลือดก็เลยแตกแขนงเป็นหลอดเลือดฝอยให้ยังพอมีเลือดไปเลี้ยงสมอง น้องได้เส้นเลือดฝอยช่วยชีวิตไว้”
“พอรู้ว่าลูกเป็นโมยาโมยาแม่ก็เริ่มค้นหาโรคนี้ ก็ไปติดแฮซแท็กแต่ก็ไม่เจอ ก็คิดว่าทำไมไม่เห็นมีใครเป็นโรคนี้เลย แล้วคุณหมอก็บอกเองว่าเป็น 1 ในล้านที่คนไทยจะเจอโรคนี้ 6 เดือนที่แม่พยายามจะหาคนที่เป็นโมยาโมยาในไทยแต่ไม่เจอเลย แต่แม่ไปติดแฮชแท็กแล้วไปเจอคนต่างชาติที่เขาเป็นซึ่งเขาต้องผ่าตัด แม่ก็เลยรู้ว่าการรักษาน่าจะไม่พ้นการผ่าตัดนะ แม่ได้คุยกับคุณหมอท่านนึงก็บอกว่าสมองเสียหายก็ต้องผ่าตัดทั้งนั้น ซึ่งคุณหมอบอกว่าคนไทยไม่รู้จักโรคนี้ แม้แต่หมอบางคนยังไม่รู้จักโรคนี้เลย หมอไทยๆ ไม่มีใครเล่นกัน คุณหมอใช้ภาษานี้นะคะ หมอไม่ค่อยศึกษามาทางนี้เพราะหมอที่เรียนมาเขาก็ศึกษาเฉพาะโรคมา แล้วการผ่าตัดโมยาโมยาเป็นอะไรที่ยุ่งยาก”
ยิ่งเป็นห่วงลูกจับใจเพราะมีภาวะเสี่ยงมากกว่าคนอื่น เนื่องจากลูกมีปัญหาทางเดินหายใจ แต่จำเป็นต้องเสี่ยงเพราะถ้าไม่ผ่าตัดมีสิทธิ์พิการภายใน 2 ปีนี้
“การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดคุณหมอบอกว่าน้องไม่ควรจะเจ็บป่วย เพราะน้องมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว น้องมีปัญหาเรื่องการหายใจ ต่อมอะดีนอยด์โต(adenoid) คุณหมอก็กลัวจะเป็นไซนัส เป็นปอดอักเสบ เพราะเป็นปอดอักเสบผ่าตัดไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้แม่ก็ต้องดูแลน้องห้ามป่วยเด็ดขาด ยิ่งใกล้วันผ่าตัดก็ยิ่งห้ามป่วย เพราะคุณหมอต้องส่งน้องไปหาหมอโรคปอดเพื่อวินิจฉัยว่าผ่าได้มั้ย คุณหมอโรคปอดก็บอกกับแม่ว่าน้องมีภาวะเสี่ยงมากกว่าคนอื่นเพราะน้องมีปัญหาทางเดินหายใจ เพราะการผ่าตัดจะต้องโดนวางยาสลบแล้วก็ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ น้องอาจจะมีปัญหาน้ำท่วมปวดได้ คือคนที่เป็นโรคปอดจะรู้ว่าถ้าน้ำท่วมปอดจะทรมานมาก แล้วเคสของน้องก็จะยืดระยะเวลาในการพักฟื้นออกไปอีก”
“พอรู้ก็ยอมรับว่าแม่กังวลมาก ยอมรับว่าเราคิดผิดหรือเปล่าที่ให้ลูกผ่าตัดเพราะลูกเราก็ยังไม่ได้นอนโคม่า แม่ก็คิดว่าถ้าหลังผ่าตัดแล้วน้องพิการล่ะจะทำยังไง คือแม่กังวลไปหมด แต่จริงๆ ก็ปลอบใจตัวเองว่าอาจจะไม่น่ากลัวแบบนั้นก็ได้ คือความเป็นแม่เราก็กังวลไปหมด แต่เคสล่าสุดที่แม่คิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่จะให้น้องผ่าตัด คือวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา น้องมีอาการอัมพาตขึ้นอีกรอบแล้วครั้งนี้เป็นยาวนานกว่าครั้งที่แล้วค่ะ เป็น 40 กว่านาทีได้ พูดไม่ได้ แขน ขา อ่อนแรง สมองเขารับรู้แต่ตอบรับเราไม่ได้ แล้วตอนเดือนมิถุนายนน้องซีดีไปเทสกับคุณหมอปรากฏว่าผลการเทสออกมาคือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ คุณหมอไม่มีใครอยากให้ผ่าตัดค่ะเพราะมันเสี่ยง แต่เคสของซีดีผ่าตัดเสี่ยงน้อยกว่าที่จะปล่อยให้โรคดำเนินไปแล้วทานยารักษา เคสของซีดีถ้าไม่ผ่ามีสิทธิ์พิการภายใน 2 ปีนี้ค่ะ หมอก็เลยเลือกที่จะผ่าเผื่อน้องจะไม่พิการ”
เผยน้องซีดีตัดสินใจไปบวชที่วัดป่า 19 วันเพื่อศึกษาธรรมะ แจงลูกปลงได้มากขึ้นจากที่ตอนแรกกลัวการผ่าตัดแต่ตอนนี้ทำใจได้บอกคนเราเกิดมายังไงก็ต้องตาย
“หลังจากที่น้องป่วยน้องไปบวชมาค่ะ ที่วัดป่าแม่น้ำน้อย อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ลูกชายคนโตของแม่บวชอยู่ที่นั่นมา 3 ปีแล้ว น้องซีดีนุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรม ถือศีล 10 อย่างเคร่งครัด ทานข้าวมื้อเดียว ตอนแรกน้องบอกแม่ว่าขอบวช 2 อาทิตย์ แต่พออยู่ๆ เรื่อยๆ น้องขอบวชต่อเป็น 19 วัน ที่น้องอยากบวชไม่ได้ไปเพราะบนให้ตัวเองหายนะคะ จริงๆ ตอนแรกแม่ตั้งใจพาไปทำบุญแค่นั้น แต่ปรากฏว่าน้องหายเข้าไปในเขตสงฆ์ออกมาอีกทีคือโกนหัวโกนคิ้วแม่ก็ตกใจว่าน้องจะทำอะไร คือเขาตัดสินใจเองเลย และพระอาจารย์บอกว่าเขาไปขอบวชเณรแต่พระอาจารย์ไม่ให้เพราะแม่ต้องดูแลเขาถ้าอาการป่วยกำเริบขึ้นมาแม่จะจับเนื้อต้องตัวเขาไม่ได้”
“ตอนที่ปฏิบัติธรรมเขาก็เป็นพุทธมามกะที่ดีเลยค่ะ ตื่นเช้าตามพระอาจารย์ไปบิณฑบาต และเป็นวัดที่ลำบาก หมู่บ้านที่ท่านบิณฑบาตมีแค่ 9 หลังคาเรือน นอกจากนี้น้องก็ช่วยงานวัดและศึกษาธรรมมะด้วย นั่งสมาธิ ทำวัตรเย็น แล้วครูบาอาจารย์ก็สอนเขาเรื่องธรรมะ เรื่องเกิดแก่เจ็บตาย ร่างกายอย่าไปยึดติด ถึงร่างกายเราไม่สมบูรณ์แต่จิตเราดีก็มีความสุขได้ เขาก็เลยสบายๆ ไม่กลัวเลย ตอนที่บวชแม่ก็ถามเขาว่าไม่กลัวเหรอว่าถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะออกไปหาหมอไม่ทันเพราะวัดอยู่ในป่าเลยค่ะ ถ้าไปหาหมอไม่ทันพิการเลยนะ เขาบอกไม่กลัว ถ้าจะพิการก็พิการ เขาปลงได้ เขาบอกว่าถึงผ่าตัดแล้วไม่เป็นอะไรวันนึงก็ต้องตายอยู่ดี คนเราถ้าจะตายก็ต้องตาย เขาบอกพระอาจารย์สอนเขาเลยไม่กลัวแล้ว”
บอกลูกชายกลัวว่าฟื้นจากผ่าตัดแล้วจะจำแม่ไม่ได้ ลั่นตนรับได้หากลูกต้องความจำเสื่อมจริงๆ ยินดีจะดูแลตลอดไป แต่ยอมรับกลัวลูกพิการ ได้แต่ภาวนาให้ลูกรอดปลอดภัยอยู่ฉลองวันเกิดวันที่ 5 กันยายน นี้ ซึ่งจะเป็นการจัดงานวันเกิดครั้งแรกให้กับลูกชาย
“น้องมีอาการเรื่องความจำด้วย น้องมีอาการพูดช้า คิดช้า ปกติเขาเป็นพิธีกรเขาจะพูดจาฉะฉาน แต่ตอนนี้ถามอะไรเขาต้องขอเวลาคิดก่อน จะสับสนนิดนึง เพื่อนรักเขาโทร.มาหา เขายังถามเลยว่าใคร แต่เขาใช้เวลานึกแป็บเดียวค่ะก็นึกได้ และมีอาการลืมเร็วจากที่เป็นเด็กความจำดี ทำงานแป็บเดียวผ่านไม่มีการลืมบท แต่ตอนนี้ขนาดสั้นๆ ยังจำไม่ได้เลยค่ะ แล้วเวลาพูดจะอ้าปากเต็มไม่ได้ ปากเขาจะเบี้ยวๆ”
“หลังผ่าตัด เขาเคยบอกว่าถ้าฟื้นแล้วเขากลัวจำแม่ไม่ได้ แต่แม่รับได้ค่ะ แม่คิดว่าถ้าเกิดมีปัญหาเรื่องนี้แม่สามารถรับได้ แม่จะดูแลเขาตลอดไป แต่น้องซีดีกลับกลัวเรื่องจะจำแม่ไม่ได้ แต่แม่ไม่ได้กลัวเรื่องนี้ค่ะแม่กลับกลัวว่าผ่าแล้วน้องจะสมบูรณ์มั้ย น้องจะพิการหรือเปล่า แข้งขาจะสมบูรณ์มั้ย ถามว่าถ้าน้องโชคร้ายจริงๆ จะทำยังไง จริงๆ แม่ก็ยังไม่อยากคิดไปไกลขนาดนั้นนะคะ ส่วนเรื่องความจำแม่พร้อมจะดูแลเขาตลอดชีวิตค่ะ(พอสัมภาษณ์มาถึงตรงนี้ปรากฏว่าขณะที่น้องซีดีกำลังเดินอยู่ในบ้าน อยู่ๆ น้องก็เกิดมีอาการขึ้นมาอีกทำให้ล้มลงไปนั่งกับพื้น ทำเอาคุณแม่ที่กำลังให้สัมภาษณ์ตกใจก่อนจะพยุงลุกขึ้น โชคดีมากที่ไม่เป็นอะไร พอแน่ใจว่าน้องไม่เป็นอะไรแล้วแม่จึงกลับมาให้สัมภาษณ์ต่อ) เขาเป็นแบบนี้ประจำเพราะขาข้างขวาอ่อนแรงเดินๆ อยู่ก็ร่วงลงไปนั่งกับพื้น ทุกวันนี้น้องพยายามทำเหมือนตัวเองไม่ป่วยค่ะ”
“คุณหมอบางท่านก็บอกว่าโชคร้าย ทำไมต้องมาเกิดกับน้องซีดี แม่ก็ไปแอบร้องไห้บ่อยนะคะ เราก็คิดว่าทำไม 1 ในล้านต้องเป็นลูกเรา หาเพื่อนที่พอจะสอบถามข้อมูลก็ไม่มี แต่แม่ก็คิดว่าคงเป็นวิบากกรรม น้องอาจจะมีวิบากกรรมของน้อง ทุกวันนี้เวลาน้องสวดมนต์เขาจะแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเขา แล้วน้องก็บอกว่าเขาอาจะเคยทำอะไรไม่ดีมาก็ได้เขาเลยต้องมาเป็นแบบนี้ เขาบอกแม่เลี้ยงลูกให้อ่อนแอ อะไรก็สงสารเขาๆ ซึ่งเขากลับมองว่าแม่นี่แหละที่เป็นคนทำให้เขาไม่เข้มแข็ง ทั้งที่จริงแม่ต้องเข้มแข็งกว่าลูกนะ เวลาที่เขาหลับแม่ก็จะนั่งเฝ้ามองหน้าเขา เมื่อก่อนเขาฝันร้ายบ่อยเขาจะร้องละเมอบอกเอาอะไรออกจากหัวหนูที คือทุกครั้งที่เห็นก็ยิ่งตอกย้ำเราก็ยิ่งสงสารลูก แต่พอตอนหลังเขานั่งสมาธิก่อนนอนหลังจากบวชมาซีดีจะหลับนิ่งมากเลยค่ะ ไม่ฝันร้ายเหมือนเดิมแล้ว”
“5 กันยายน ที่จะถึงนี้เป็นวันเกิดน้องซีดี อายุครบ 12 ขวบ แม่ภาวนาให้เขาปลอดภัย เพราะแม่จะพาเขาไปฉลองวันเกิด จริงๆ พ่อแม่ทุกคนเวลาที่ถึงวันเกิดลูกก็จะจัดวันเกิดให้ แต่ซีดีไม่เคยมีค่ะ น้องไม่เคยได้จัดงานวันเกิดค่ะ มีแค่กินข้าวกันเงียบๆ เค้กเป่าก็ไม่มี เคยมีนิดหน่อยตอนเด็กๆ แม่ก็เลยคาดหวังว่าวันเกิดน้องปีนี้น้องจะออกมาแข็งแรง แม่จะเซอร์ไพรส์น้อง”
จ่ายค่ารักษาไปเยอะจนตอนนี้เงินเก็บเริ่มร่อยหรอเต็มที
“ค่าใช้จ่ายครั้งแรกตอนเข้าโรงพยาบาลเอกชน 4 วันจ่ายไป 120,000 บาท แต่ตอนหลังเราย้ายมาโรงพยาบาลรัฐ ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาก็ครั้งละ 5,000-6,000 บาท เงินที่จ่ายไปเป็นเงินเก็บของน้องซีดีซึ่งเป็นรายได้จากการทำงานในวงการ เพราะแม่ไม่มีเงินเก็บแม่เป็นแม่บ้านไม่ได้ทำงานค่ะ ส่วนคุณพ่อตอนนี้ทำงานคนเดียว คุณพ่อเป็นเซลล์พอน้องป่วยก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ ได้ทำงานอาทิตย์ละ 1-2 วันเพราะต้องพาน้องมาโรงพยาบาลตามที่หมอนัด พอไม่ได้ทำก็ไม่มียอดเข้ามารายได้ก็ลดลง ช่วงที่ซีดีรักษาเราก็นำเงินเก็บของน้องออกมาจ่ายค่ารักษา และใช้เงินน้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แล้วแม่ก็จะบอกเขาตลอดว่านี่เงินหนูนะ ตอนนี้แทบไม่เหลือแล้ว แม่ก็บอกเขาตรงๆ ให้ลูกเข้าใจ ซึ่งเขาก็ไม่ซีเรียสเพราะเขาก็รู้ว่าพ่อต้องเสียงานเพราะต้องมาดูแลเขา แต่ครอบครัวเราไม่ใช่คนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอันไหนประหยัดได้เราทำ เรื่องค่ารักษาทั้งหมดคงต้องรอออกจากโรงพยาบาลถึงจะรู้ว่าทั้งหมดเท่าไหร่ แต่น้องก็มีบัตรทองนะคะก็สามารถช่วยค่าใช้จ่ายบางส่วนได้แต่ไม่หมด”
เปิดใจถึงจะขัดสนเรื่องเงินแต่ลูกชายไม่อยากให้ขอความช่วยเหลือจากใครเพราะเห็นว่ามีคนที่ลำบากกว่าพวกตนเยอะ พร้อมขอบคุณคนใจบุญทุกคนที่บริจาคเลือดให้ ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ตนสัญญาจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีเพื่อตอบแทนที่ทุกคนช่วยชีวิตลูกชาย
“จริงๆ แล้วน้องซีดีเป็นเด็กคิดดีมากค่ะ หลังจากมีการแชร์ในโลกโซเชียลเรื่องขอรับบริจาคเลือดมันเกินความคาดหมายของเรา เพราะแม่ก็ไม่ใช่คนมีเพื่อนเยอะ ขนาดน้องซีดีเป็นนักแสดงเราก็ไปรักษาเงียบๆ ไม่ได้เปิดตัวหรือบอกใคร แต่พอมีการแชร์ออกไปมีคนจำได้ว่าน้องเล่นหนังก็ช่วยกันแชร์ออกไป ซึ่งผลเกินความคาดหมายมาก มีบางคนถามว่าทำไมไม่ให้หมายเลขบัญชีเพราะเขาก็รู้สถานภาพว่าครอบครัวเราไม่ใช่คนมีฐานะ แล้วค่ารักษาก็สูง แล้วซีดีก็พูดขึ้นมาว่าหนูว่าคนที่ลำบากกกว่าหนูยังมีอยู่ แม่เลยรู้สึกว่าขนาดลูกเราเขาเป็นเด็กยังรู้จักคิด ฉะนั้นจะให้แม่ไปขอจากคนอื่นแม่ก็ทำไม่ได้ ก็มีคนบอกงั้นให้หลังไมค์ก็ได้ไม่ต้องออกสื่อ คือเขาอยากช่วยจริงๆ ตอนนี้ทราบข่าวมาว่าจะมีเพื่อนในเฟซบุ๊กทำเสื้อน้องซีดีขายเพื่อหารายได้มาช่วยเหลือเรา และจะขาย 1 เดือนเท่านั้น”
“เลือดที่ขอรับบริจาคไปมีคนเข้ามาบริจาคเยอะมาก แม่ว่าน่าจะเพียงพอค่ะ แต่ทางโรงพยาบาลไม่ได้แจ้งมาว่าให้ยุติการบริจาคเพราะสามารถให้ผู้ป่วยอื่นได้ น้องแอดมิด 23 สิงหาคม หลังจากนั้นคุณหมอจะทำการผ่าเปิดหน้าขาและสอดเครื่องมือเข้าไปตรงหลอดเลือดคอด้านซ้ายในวันที่ 24 แล้ววันที่ 26 จะผ่าตัดเปิดกะโหลกฝั่งซ้ายต่อหลอดเลือดค่ะ (อยากจะขอบคุณคนที่มาบริจาคเลือดยังไงบ้าง?) แม่ขอขอบคุณมากๆ ค่ะ ไม่รู้จะทดแทนและไม่รู้จะกล่าวขอบคุณยังไงจริงๆ ค่ะ คือเราไม่มีญาติเยอะ เพื่อนก็มีไม่เยอะ แต่น้องซีดีโชคดีที่มีคนเอ็นดูเยอะ พอมีคนหลั่งไหลเข้ามาแม่คิดว่าคนคงเมตตาน้อง”
“แม่อยากจะขอบคุณแทนน้องด้วยที่ทุกคนให้ความเมตตากับน้อง และคุณแม่สัญญาว่าจะเลี้ยงเขาให้เป็นลูกที่ดีและมั่นใจด้วยว่าน้องเป็นเด็กดีจริงๆ เคยคิดเหมือนกันว่าลูกเรา 2 คนมีความกตัญญูนะ คนโตขอบวชตลอดชีวิต ส่วนน้องซีดีขอเข้าวงการเพื่อหาเงินเลี้ยงพ่อกับแม่ ก่อนหน้าที่น้องจะเข้าวงการแม่ป่วยบ่อยมีเชื้อขึ้นสมองแม่เคยเดินไม่ได้ค่ะ น้องก็เลยอยากทำงานหาเงินเลี้ยงแม่ พ่อแม่คนอื่นจะเอาเงินไปฝากธนาคารให้ลูก แต่น้องซีดีเอาเงินมาฝากให้พ่อแม่ใช้ แล้วน้องซีดีไม่เคยเรียกร้องอะไรที่เกินตัวเลย บางครั้งเราอยากพาลูกไปเที่ยวบ้าง เขาก็จะบอกว่าไม่เป็นไรหรอกเสียดายเงินอยู่บ้านนี่แหละ คือเขารู้ว่าที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไร แม่ก็คิดว่าเรามีลูกกตัญญูนะ”
***
คนบันเทิงร่วมแชร์โพสต์ช่วย “น้องซีดี” ป่วยเป็นโรคโมยาโมยา