'อยู่ดีดีทรุดลงไม่น่าเสียใจ อยู่อยู่ไปพลาดผิดไม่น่าเศร้าซึม ทำตัวเหมือนสิ้นแล้วทุกสิ่ง วันวันเมาโซเซ ร่างที่ไร้วิญญาณเหมือนหุ่นไล่กา เปรียบชีวิตคนดังคลื่นใต้น้ำในทะเล บางครั้งขึ้น บางครั้งลง ดวงดี(ยินดี) ดวงอับ(ช่างมัน) พรหมท่านลิขิตไว้ให้เป็น สามสิบลิขิตฟ้า เจ็ดสิบต้องฝ่าฟัน ต้องสู้ ต้องสู้ จึงจะชนะ...'
หากแม้นว่าชีวิตคนเราเปรียบละคร เรื่องราวของเจ้าของบทเพลงนี้ "เจิน เจิน บุญสูงเนิน" ก็คงไม่ต่างอะไรจากละครดรามาเข้มข้นเรื่องหนึ่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย และแน่นอนมันคงเป็นเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยการต่อสู้คล้ายดั่งชื่อของบทเพลงนี้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาค (1) : ชีวิต(ต้องสู้) ของ "ไอ้เปี๊ยก-นางเหยิน-เจิน เจิน"
"ชีวิตสมัยเป็นเด็กเล็กๆ ตอนนั้นครอบครัวลำบากมาก เคยเห็นกระต๊อบที่มีแค่สามฝาไหมคะ ไม่มีประตู หลังคนมุมจาก นั่นแหละที่อยู่ เราก็จะนอนเรียงอยู่อย่างนั้น ฝนตกก็จะเปียกหมด เรียนหนังสือก็เรียนโรงเรียนวัด ซึ่งมีนักเรียนไม่กี่คนที่มีรองเท้า เราไม่เคยมีรองเท้าใส่เลย"
นักร้องรุ่นใหญ่ฉายภาพเมื่อครั้งในอดีต ก่อนบอกว่าชีวิตครอบครัวมาดีขึ้นหลังได้ย้ายตามพ่อที่เป็นทหารมาอยู่ในค่าย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา จากนั้นก็ย้ายไปที่ อ.เมือง ต่อด้วย จ.ชัยภูมิ และเชียงใหม่ ซึ่งที่นี่เองที่เจ้าตัวในวัยจบมัธยมปลายจำต้องหาเลี้ยงและส่งตนเองเรียน
"เอนทรานซ์ได้มหาลัย'เชียงใหม่ คือตอนนั้นทางบ้านไม่ส่งเรียนแล้ว เขาบอกว่าถ้าอยากเรียนต่อก็ให้หาเงินเรียนเองเพราะน้องต้องเรียนหลายคน ทีนี้จะทำอะไรดีล่ะ ตอนเป็นเด็กมีแต่พับถุงขาย ช่วยแม่รับจ้างรีดชุดทหาร แล้วอีกอย่างที่ทำได้ก็คือร้องเพลงดังๆ ของคุณดาวใจ ไพจิตรได้ 5 เพลง"
"ก็เลยตัดสินใจไปสมัครงานที่สวนอาหารแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเขาก็ชี้หน้าเลยว่าอย่างเธอเหรอจะมาเป็นนักร้อง เพราะเราไปสมัครเรากะเทยหัวโปกมากเลยนะ ยังไม่มีอะไรเลย เจ้าของร้านก็บอกเธอเป็นใครมาจากไหน จะร้องเพลงได้อย่างไร เราก็เลยบอกเฮียของอนุญาตขึ้นไปร้องให้ฟังได้ไหม ถ้าเฮียไม่ชอบก็ไม่ต้องรับ"
"ทางร้านก็ให้ขึ้นไปร้อง 3 เพลง แต่ร้องได้แค่เพลงเดียวเจ้าของร้านก็กวักมือเรียก ตอนนั้นใจหายเลยคิดในใจว่าคงไม่ได้แล้ว พอลงจากเวทีเจ้าของร้านบอกว่ามาร้องได้เลย ด้วยค่าตัวแพงมากวันละ 60 บาท"
ที่สวนอาหารแห่งนี้เองที่ทำให้ใครได้รู้จัก "เจิน เจิน" นักร้องสาวประเภทสองที่สามารถร้องเพลงได้ร่วม 10 ภาษา..."มันเริ่มต้นจากเจ้าของร้านเขาบอกว่านักร้องเพลงไทยที่ร้านเยอะแล้ว ทำไมเธอไม่หัดร้องเพลงอื่นล่ะ จะได้ทริปเยอะๆ แล้วตอนนั้นเพลงฟรานซิส ยิป ดังมาก"
"เป็นเพลงที่เขาใช้โปรโมตสายการบินน่ะ ซึ่งมันเป็นภาษาเอเชีย 10 ภาษา ก็เลยเอามาแกะ แล้วก็ร้องได้ทั้งชุด คนก็เลยแอบไปล่ำลือว่านักร้องสิบภาษาอะไรแบบนี้ ส่วนเพลงภาษาอังกฤษก็ง่ายหน่อย เพราะเราเรียนมหา'ลัยก็พอได้ อันนั้นไม่มีปัญหา"
"ที่มาของชื่อเจิน เจิน จริงๆ ชื่อที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งให้คือเปี๊ยก เพราะตอนคลอดเท่าฝ่ามือแม่เลย ตัวเล็กมาก พอมาเรียนหนังสือเพื่อนๆ จะเรียกเราว่านางเหยิน คือไม่สวยเลย ฟันหน้าสองซี่เป็นกระต่าย ซึ่งเราก็ชอบนะเรียกเหยินก็น่ารักดี แต่เวลาไปร้องเพลงแขกบอกชื่อเหยินน่าเกลียดมากเลย"
"เขาก็บอกเรียกเป็นเจินได้ไหม เพราะตอนนั้นมีดาราฮ่องกงชื่อเจินเจินที่เป็นดาราไข่มุกเอเชียกำลังดังมาก เขาบอกเธอชื่อเจินสิ เราก็เลยชื่อเจินตัวเดียว ทีนี้เวลาแขกเขาเรียนตอนที่เราอยู่ไกลๆ เขาต้องเรียกเจินเจิน เพราะมันไม่ค่อยได้ยิน ก็เลยกลายมาเป็น เจิน เจิน"
สู่เส้นทางการประกวดบนเวที "สยามกลการ" ปีเดียวกับ "เบิร์ด ธงไชย" ... "มีเพื่อนโทรมาบอกว่ามีการประกวด แกลองส่งเพลงไปดูสิ ตัวไม่ต้องไปให้อัดเสียงลงไปในเทป ก็อัดไป ผลปรากฏว่าติดรอบ 20 คน พอติดรอบ 20 คนเราก็ต้องลงมากรุงเทพเพื่อมาร้องสดๆ ให้คณะกรรมการดู ก็เข้ารอบ 10 คนสุดท้ายอีก"
"รอบสุดท้ายก็ไม่คิดว่าจะได้เพราะทุกคนร้องดีมาก มีทั้งเบิร์ด ธงไชย แล้วแต่ละคนแต่งตัวสุดฤทธิ์สุดเดช มีเราแต่งตัวเป็นเด็กบ้านนอกคนเดียว คืออย่ามองว่าร้องดี มันร้องไม่ดีหรอก แต่มันมีจุดขายที่เขามองเห็น...แล้วพอได้รางวัลก็ต้องเซ็นสัญญากับสยามกลการก่อน 2 ปี พอเซ็นเสร็จก็ต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ"
"ซึ่งทางสยามกลการก็หางานให้ตามโรงแรม มีงานอีเว้นท์ต่างๆ หางานให้เยอะมาก รวยไหมเหรอ ก็พอมีพอกิน ซื้อบ้านซื้อรถซื้ออะไรได้ พอดูแลครอบครัวได้"
พ.ศ. 2533 อัลบั้มเพลง "ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง" ที่เขียนมาจากชีวิตของนักร้องสาวประเภทสองคนนี้ก็ถูกปล่อยออกมา นั่นเองที่ทำให้ชื่อของ "เจิน เจิน บุญสูงเนิน" โด่งดังไปทั่วกับเพลงฮิตอย่าง "ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง" และ "ต้องสู้...จึงจะชนะ" ก่อนนำมาซึ่งจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของชีวิต
"ชีวิตมันไม่เปลี่ยนนะ แต่ความเป็นอยู่หรือกิจวัตรประจำวันมันเปลี่ยน เพราะเดี๋ยวบริษัทก็สั่งทำนั่นทำนี่ แต่ตัวเองยังเหมือนเดิมนะ ชอบกินอะไรก็เหมือนเดิม ไม่มีการอยากได้ของแพง ชอบส้มตำก็กินส้มตำ แต่พอมันดังขึ้นมามันเหมือนกับใส่หัวโขนที่มีมงกุฏมาใส่บนหัวเรา ซึ่งเราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด ทำยังไงให้มงกุฏอันนี้มันอยู่กับเราได้นานๆ เพื่อไม่ให้มันหลุดไป แต่พอทำไปนานๆ เริ่มไม่เอาแล้ว"
"มีอยู่วันนึงที่ดังมากๆ กำลังนั่งทานข้าวในร้านอาหารอยู่ เรากำลังหิวเลยเพราะเพิ่งไปสัมภาษณ์รายการวิทยุกลับมา ทีมงานก็ไปกัน 6- 7 คน กำลังตักข้าวใส่ปาก แฟนเพลงมาขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ แล้วมันไม่ใช่คนเดียว เราก็ต้องวางช้อน หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไป กินข้าวเสร็จแล้ว ขึ้นห้องเสร็จแล้ว เราก็บอกทีมงานว่า ฉันจะเลิกร้องเพลงแล้วนะ"
"ตอนนั้นมีงานทุกวัน แล้วมันก็เหนื่อยมาก ชีวิตมันอะไรก็ไม่รู้ ถามตัวเองเหมือนกันว่าทำเยอะแยะขนาดนี้ทำไม งานมันเยอะมันเหนื่อย พอเหนื่อยแล้วก็เบื่อ ซึ่งจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเป็นนักร้อง ไม่อยากเป็นเลยตั้งแต่เริ่มแล้วจนถึงตอนนี้ ที่ทำเพราะว่าเป็นอาชีพเฉยๆ ด้วยความที่เรารู้จักตัวเองว่าเราเป็นกะเทยนะ ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นนักร้องโด่งดังได้ในชาตินี้"
"ตอนเรียนจบก็คิดว่าจะเลิกร้องเพลงแล้ว จะไปทำอาชีพอื่น ตอนแรกจะทำงานเป็นครู เพราะเราจบทางด้านครูมา จะสอบบรรจุ แต่พอเราไปฝึกสอนก็รู้สึกว่าฉันเป็นครูไม่ได้ คือเป็นครูได้นะ แต่เป็นครูที่ดีไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจไม่สอบบรรจุ ก็เลยกลับมาร้องเพลง ก็ร้องเพลงต่อไปจนกระทั่งมีวันนึงที่เรารู้สึกเบื่อเต็มที่แล้ว เบื่อร้องเพลงมาก เบื่อแขก เบื่อคนดู"
"เพราะสถานที่ที่เราไปทำมีทั้งบุหรี่ทั้งเหล้า ซึ่งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่เราแอนตี้มาก เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่ชอบคนสูบบุหรี่ ไม่ชอบคนดื่มเหล้า แต่ก็ต้องไปเจอสิ่งนี้ แล้วพอแขกเวลาเรียกเราไปนั่งโต๊ะก็จะบอกว่าคุณดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อย พอเราปฏิเสธก็หาว่าเราหยิ่งไม่ให้เกียรติ ก็เลยเกิดความเบื่อทับถมเราเลยบอกว่าไม่เอาแล้ว ก็เลยไปอยู่ต่างประเทศดีกว่า..."
จุดหมายก็คืออเมริกาโดยหวังจะร่วมหุ้นร่วมกับเพื่อนสนิทเปิดร้านอาหารแต่ฝันนี้ก็ต้องพังทลายหลังถูกหุ้นส่วนอีกคนเชิดเงินที่โอนมาให้หนีไป ซึ่งแม้การฟ้องร้องจะลงเอยด้วยชัยชนะแต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเพราะอีกฝ่ายหนีไปแล้ว..."หมดเลย ก็ไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่บ้านหลังหนึ่ง ก็โอเค...กลับเลยไหม ไม่กลับค่ะ ก็บอกเพื่อนว่าไม่ต้องเสียใจ เราคิดว่าเราไปเอาเขามาก็คืนเขาไป"
"วันแรกเครียดมาก แต่เราต้องแสดงให้เพื่อนเห็นว่าอันนี้เป็นเรื่องธรรมดานะเธอ จับมือกันเธอไม่ต้องห่วงฉันอยู่ที่นี่ ฉันยังร้องเพลงได้ เรามาช่วยกัน...แล้วพอเริ่มมีงานร้องเพลง ก็เริ่มมีเงินเข้าตลอด คือชีวิตมันอยู่ได้เนื่องจากหนึ่งบ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ เพราะอยู่กับพี่สาวและพี่เขยที่ลาสเวกัส"
ใช้ชีวิตในต่างแดนนานร่วม 14 ปี ที่สุดอดีตนักร้องดังก็ตัดสินใจบินกลับมาบ้านเกิด ด้วยสาเหตุของอาการป่วยโรคภูมิแพ้.."จริงๆ ตัดสินใจกลับทุกปี ซื้อตั๋วทุกปีแต่ก็ไม่ได้กลับ ไม่ทราบเพราะเหตุอันใดเหมือนกัน ป่วยหนักที่นั่นเพราะเราเป็นโรคภูมิแพ้ แพ้ควันทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นควันจากบุหรี่เอยอะไรเอย
"แล้วมีครั้งหนึ่งที่เราต้องไปร้องโชว์ตัวที่ชิคาโก้ วันรุ่งขึ้นต้องกลับลาสเวกัสแต่ไม่ได้กลับ เพราะเพื่อนรับงานในคาสิโนไว้สามวันเพื่อนก็เลยบอกให้มาช่วยกันหน่อย คือพอเดินเข้าไปเหมือนอยู่ในหมอกควันบุหรี่ทั้งนั้น แล้วเราร้องเพลงต้องสูดควันเข้าไปมากกว่าคนปกติเพราะเราต้องให้ปอดมันทำงานหนัก ทีนี้พอสูดควันเข้าไปเยอะสามวัน พอวันที่ 4 ไออย่างรุนแรง ไอติดต่อกันไม่หยุดเลยหนึ่งอาทิตย์"
"วันที่แปดหยุดไอ พอทุกอย่างหยุดหมดพูดไม่ได้สามเดือน ต้องใช้เขียน เดือนที่สี่เริ่มมีเสียงกระท่อนกระแท่น เสียงเหมือนอมควายไว้ในตัว 7 ตัว ความกังวลใจตอนนั้นหมดเลย กังวลจนไม่กังวลอีกแล้ว สรุปเลยว่ารักษาตัวหนึ่งปีที่อเมริกาไม่หาย เงินก้อนสุดท้ายที่เก็บสะสมกะว่าจะเอามาทำธุรกิจในเมืองไทยเล็กๆ หมดไปกับการรักษาตัว คิดว่าหมดตัวอย่างนี้จะอยู่ทำไมอีก ก็เลยกลับบ้านดีกว่า นี่คือสาเหตุของการทำให้กลับ"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หลังมีโอกาสได้เหยียบแผ่นดินไทย เสียงที่หายไปก็กลับมา
"ตอนนั้นพูดได้ แต่ร้องเพลงไม่ได้ แต่พอตอนลงเครื่องบินแอร์โฮสเตทเขาต้องมายืนคอยส่ง แล้วเขาก็ร้องเพลงต้องสู้ถึงจะชนะ เขาร้องให้เราซึ่งมันเหมือนมีพลังอะไรไม่รู้เข้ามาที่ตัวเราตอนนั้นพอดีเลย ใจนี่สว่างไสวมาก พอเหยียบพื้นสนามบินสุวรรณภูมิทำไมฉันร้องได้ เข้าไปในห้องน้ำแอบร้องจนจบเพลง เสียงมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วไม่ได้ไปหาหมอเลย"
"ตอนนี้ก็มีซิงเกิ้ลใหม่ชื่อว่าถ้าคิดถึงเธอมากกว่านี้ คือมีวันหนึ่งก็ไปสัมภาษณ์รายการทีวี เขาก็ถามว่าทำไมชีวิตตกระกำลำบากเหลือเกิน มีผู้ชายคนนึงเขาเป็นนักแต่งเพลงดูรายการนี้อยู่ เขาเห็นแล้วเกิดความสงสาร หรือเป็นวิบากกรรมที่เคยทำร่วมกันมา เขาก็โทรมาบอกว่าผมเป็นนักแต่งเพลง ผมอยากจะทำเพลงให้พี่ สนใจไหม เราก็ตอบว่าค่ะ หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์เขาก็ส่งเพลงมา"
หลังผ่านเรื่องราวโชกโชนมามากมาย ดูเหมือนชีวิตของเจ้าตัวจะกลับมานิ่งอีกครั้งบนความสุขอย่างพอเพียงกับธุรกิจที่ทำร่วมกับครอบครัว..."ตอนกลับจากอเมริกาใหม่ๆ มาลองคุยกับครอบครัวว่าอาชีพนักร้องเรามันคงจะไปแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนในบ้านต่อไปนี้ต้องมาร่วมจับมือกันเปิดธุระกิจร่วมกัน"
"ก็คิดว่าธุระกิจอะไรที่เราจะทำได้ตอนนี้เพราะเรามีทุนน้อยๆ คุยกับสามี ซึ่งครอบครัวของคุณสามีเขาทำธุระกิจซาลาเปามาเกือบ 40 กว่าปี ส่วนพี่ก็ขายก๋วยเตี๋ยวแล้วทำเกี๊ยวกุ้งมาเกือบ 40 ปี ก็เลยเอามาต่อยอดกัน ทางฝ่ายบ้านคุณสามีก็ยกอุปกรณ์มาให้หมดทุกอย่าง ก็เลยกลายมาเป็นซาลาเปาเกี๊ยวกุ้งค่ะ..."
พร้อมกันนี้เจ้าตัวยังได้ฝากข้อคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องกรรมไว้ในตอนท้ายว่า...
"กรรมทุกกรรมที่เรากระทำไม่ว่าจะเป็นกรรมดีกรรมชั่ว ทำแล้วมันมีผลแน่นอน บางครั้งอาจจะไม่ได้ส่งผลทันที แต่กรรมบางอย่างส่งผลเลย กรรมบางอย่างอาจจะต้องรอเวลา เหมือนกับเราปลูกกล้วย ปลุกวันนี้ได้กินไหม ก็ไม่ได้กิน เพราะฉะนั้นบางทีบุญยังไม่ได้ส่งผลตอนนั้นเลยเพราะว่ากรรมเก่ามันยังนำหน้าบุญเราอยู่ ฉะนั้นต้องทำบุญให้เยอะๆ จะได้ให้บุญนำหน้ากรรมเก่าที่ไม่ดี"
(คลิคหน้า 2 อ่านต่อ ภาค 2 : ชีวิตกะเทยกับความรัก และ ภาคทิ้งท้าย : ศัลยกรรม)
ภาค 2 : ชีวิตกะเทยกับความรัก
อาจจะไม่ใช่คนแรกแต่ก็ต้องถือว่า "เจิน เจิน บุญสูงเนิน" คือหนึ่งในกะเทยไทยยุคบุกเบิกรุ่นแรกๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่คุ้นหู ซึ่งหากมองย้อนกลับไปการยอมรับในสมัยนั้นรวมถึงภาวะของการมีพ่อเป็นทหาร คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เด็กชายใจหญิงคนนี้จะลุกขึ้นมาเผยตัวตนที่แท้จริง
"ออกจากบ้านพ่อตอนจบมัธยมตอนปลายตอนนั้นก็เป็นแล้วนะ จริงๆ มันรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนอยู่ประถม เพราะเวลาเล่นก็เล่นกับเพื่อนผู้หญิง เพื่อนผู้ชายไม่เล่นเลย เขาเตะบอลกันเราไม่สน เราไปเล่นหมากเก็บ เล่นกระโดดยาง เวลาเราเห็นผู้หญิงแต่งตัวสวยๆ แล้วชอบจังเลยอยากใส่เพราะวันสวยจัง"
"ส่วนเรื่องแปลงเพศก็คือมีอยู่วันหนึ่งมีเพื่อนของรุ่นพี่เขามาเยี่ยมพวกเราในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วเขาผ่าตัดแปลงเพศมาเรียบร้อยแล้ว เขาสวยมาก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่จุดตรงนั้นหรอกที่ทำให้เราตัดสินใจ เพราะเราอยากจะเป็นอยู่แล้ว เพียงแต่พอเรายิ่งเห็นคนนี้เราก็คิดว่าความเป็นไปได้มันมี ก็เลยเริ่มเก็บเงินแล้วทำ"
ไม่ได้ผ่าเพื่อผู้ชาย ไม่ได้ผ่าเพื่อหาผัว แต่ผ่าเพื่อตนเอง?..."ผ่าตัดแล้วเปลี่ยนชีวิตไหมเหรอ ก็ไม่ได้เปลี่ยนเท่าไหร่ ตอนที่ผ่าตัดแปลงเพศเพราะอยากจะเป็นผู้หญิง ไม่ได้ผ่าต้องการจะมีผัวหรืออยากได้ผู้ชาย ไม่ได้ผ่าเพื่อใคร ผ่าเพื่อตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ยังเหมือนเดิม ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม"
ชีวิตกลางคืนของการเป็นนักร้อง(สาว) แถมร้องเพลงเพราะ แน่นอนว่าย่อมต้องมีหนุ่มๆ มาติดพันเป็นเรื่องธรรมดา..."เยอะมาก คือเราจะบอกเขาว่าเราไม่ชอบอย่างนี้ เราไม่ชอบเป็นเมียน้อย คือไม่ได้สวยเลือกได้แต่ค่อนข้างจะมีคุณธรรมเรื่องเพศ เรามีความรู้สึกว่าเราไม่ควรไปแย่ใคร เราไม่ควรทำให้ครอบครัวใครเขาแตกแยก เพราะชีวิตเราก็ลำบากมาก เราจะไปสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาทำไมอีก"
"อย่างที่บอกว่าพี่เข้าวัดตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งบ้านนอกกับในเมืองมันต่างกัน บ้านนอกพอวันโกนวันพระชาวบ้านก็จะไปอยู่วัดกัน เราก็ซึมซับตรงนี้มาว่าชีวิตชาวพุทธต้องเป็นอย่างนี้ๆ อาจจะไม่ลึกแต่เราก็รู้ชีวิตที่ดีมีแฟนก็ต้องมีคนเดียว ไม่ควรจะแบ่งปันให้ใคร อย่าคิดไปเป็นเมียน้อยเพราะเงินหรืออะไรก็แล้วแต่ไม่ควรจะเป็น"
ยอมรับไม่ค่อยจะบอกใครถึงตัวตนที่แท้จริงเพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่จะรู้แล้ว กระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาในช่วงที่เข้าประกวดร้องเพลง..."อย่าเรียกว่าอกหักเลย คือมีผู้ชายคนหนึ่ง เขามาจากกรุงเทพมาพักร้อนเชียงใหม่ 15 วัน เขาก็ไปฟังเราทุกคืน 15 วัน ไปนั่งเฝ้าทุกคืน แล้ววันสุดท้ายก่อนเขาจะกลับเขาก็ขอเบอร์โทรศัพท์เรา แล้วเขาบอกเราว่าเขาบอกว่าเราน่ารัก เราก็ขอบคุณเขาไป"
"พอกลับไปแล้วเขาก็โทรกลับมาหาเราทุกวัน เราก็ไม่ได้คิดอะไร ก็คิดว่าเป็นเพื่อนคนนึง เพราะคิดว่าเขารู้แล้วว่าเราเป็นอะไร ก็คุยกันปกติก็ไม่ได้คิดอะไร จนวันที่เราต้องมาประกวดที่สยามกลการ เขาก็บอกว่าเขาจะไปรับ พอไปรับเสร็จเขาก็พาเราไปหาคุณพ่อคุณแม่เเล้วก็บอกว่าคนนี้แหละที่เขาจะแต่งงานด้วย เราก็ไม่รู้เรื่องมาก่อน ก็ตกใจ"
"เสร็จแล้ววันที่ซ้อมใหญ่ที่โรงละครแห่งชาติ ในวันที่ซ้อมมันจะมีใบโฆษณาที่ต้องเขียนชื่อจริงนามสกุลจริงของคนประกวดไว้ พอถึงคิวเราขึ้นไปร้อง เขาก็เปิดโบรชัวร์ขึ้นมา ปรากฏว่าหนังสือเขาหล่นเลย แล้วเขาก็เดินออกจากโรงละครแห่งชาติ เดินรอบสนามหลวง แล้วก็หายไปเลย พอซ้อมเสร็จเราก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกลับไปที่โรงแรม ตอนสามทุ่มเขามากับเพื่อนของเขาเรียกเราลงไปที่ล็อบบี้ เราก็ลงไป"
"พอถึงเรายังไม่ทันได้พูดอะไรเขาก็ชี้หน่าด่าเลยว่า ทำไมถึงโกหกผม ทำไมคุณทำอย่างนี้ ทำไมคุณไม่บอกผมตั้งแต่แรกว่าคุณเป็นอะไร ซึ่งเราก็ตกใจสิว่าฉันไม่รู้นิ ฉันนึกว่าคุณรู้แล้ว ซึ่งคุณก็ไม่เคยถามฉัน เราก็ร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องเพราะเสียใจ ที่ร้องเพราะว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ร้องไห้แล้วก็วิ่งออกจากโรงแรมขึ้นไปที่สะพานลอยข้างโรมแรม เพื่อนเขาก็วิ่งตามไปคิดว่าเราจะไปกระโดด (หัวเราะ)"
"ก็จบกันไปตั้งแต่วันนั้นเลยค่ะ คืออยากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจที่คิดจะทำให้เสียใจ ไม่รู้ด้วยจริงๆ ว่าชอบ พอรู้ต่างคนต่างก็จบกันไป"
7 คือจำนวนตัวเลขหนุ่มๆ ที่ผ่านเข้ามาในฐานะแฟน โดยในจำนวนนี้มี 2 คนที่ทำให้นักร้องดังรู้สึกว่าชีวิตกะเทยคงไม่สามารถมีสิ่งที่เรียกว่ารักแท้หรือชีวิตคู่ได้..."คนที่ 6 คนนี้จีบสามปี ด้วยความที่เขาสม่ำเสมอ พี่คิดว่าเขาเป็นคนสุดท้ายของเราแล้ว เขาจะโทรศัพท์หาเราเช้า กลางวัน เย็น เพราะอยู่คนละบ้าน เป็นผู้ชายคนแรกเป็นสามีคนแรกที่เราตกลงกันว่าจะไม่เหมือนใครในโลกนี้"
"เราจะแยกกันอยู่บ้านใครบ้านมัน แต่เราจะมาเจอกันทุกวัน เขาจะมาหาเราที่ทำงานทุกวัน จะโทรเช้า กลางวัน เย็น ดึก ไม่เคยเปลี่ยนเป็นเวลา 7 ปี แต่เนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนเดียว แล้วครอบครัวเขารวยมาก ทางบ้านก็หาผู้หญิงให้ทุกปี ไปดูตัวทุกปี แล้วบางปีก็พาเราไปดูด้วย คือสร้างความมั่นใจว่าเขาไม่แต่งงาน มันก็ทำให้เรายิ่งมั่นใจผู้ชายคนนี้ แล้วเหตุการณ์มาเริ่มขึ้นเมื่อขึ้นปีที่ 8 โทรมาเหลือ 3 ครั้ง เดือนต่อมาเหลือ 2 ครั้ง"
"ต่อมาเหลือ 1 ครั้งเป็นเวลานานมาก 7- 8 เดือน จนกระทั่งวันสุดท้ายไปโชว์ตัวที่เชียงใหม่ แล้วเพื่อนเขาโทรศัพท์มาหาเรา คุณเจินเจินครับ ทำใจดีๆ นะ เราก็เลยบอกเพื่อนเขาให้บอกมาเลย เขาก็บอกว่าสามีคุณจะแต่งงานวันพรุ่งนี้ เราก็ซื้อตั๋วเครื่องบินจากเชียงใหม่บินมาเลย มาถึงกรุงเทพตอนบ่ายสามโมง ถึงบ้านแต่งตัวสวยมากด้วยชุดรัดรูปสีส้ม ไปถึงงานเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนอยู่หน้าประตู เจ้าบ่าวตกใจมาก"
"ครึ่งหนึ่งของคนในงานรู้หมดว่าเราเป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้นตอนเดินเข้าไปทุกคนตกใจว่าต้องมาระเบิดแน่นอน ก็แหวกเป็นทางเลย เราก็เดินอย่างงงๆ ซึ่งพิธีกรก็รู้ว่าเราเป็นอะไร พิธีกรก็ตกใจก็ดันเรียนกขึ้นบนเวที บอกขอเชิญคุณเจินเจินขึ้นบนเวทีครับ เราก็เดินขึ้นเวทีตามคำที่เขาเชิญ ก็ตั้งสติ แล้วบอกว่าดิฉันไปงานแต่งงานมาเยอะ ไปร้อยๆ งาน แต่ไม่เคยมีงานอย่างนี้เป็นของตัวเองเลย"
"วันนี้ดิฉันขอแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ขออนุญาตร้องเพลงที่เกี่ยวกับงานแต่งงาน ก็เลยหันไปบอกนักดนตรีวิมานสีชมพู ก็ร้องจนจบ ไม่มีเสียงตบมือเลย ทั้งงานเงียบกริบ เราคิดว่าทำได้ขนาดนี้แล้วเราก็เลยหันไปบอกนักดนตรีว่าเพลงที่ 2 บุพเพสันนิวาส แต่ก่อนร้องก็อวยพรก่อน ก็บอกว่าคนที่จะแต่งงานอย่างนี้ได้ต้องเป็นเนื้อคู่กันมาแต่ชาติปางก่อน อวยพรยาวมาก"
"พอร้องได้ท่อนหนึ่งหันไปข้างเวทีเจ้าบ่าวเจ้าสาวจับมือกัน เจ้าบ่าวน้ำตาไหล เราก็เริ่มโล่งใจมานิดนึงแล้ว ทำใจได้แล้วว่าเขาแต่งงานกันจริง ร้องเสร็จก็ไม่มีเสียงตบมืออีกเหมือนเดิม จนตอนขึ้นรถกลับบ้านก็มีข้อความในเพจเขาซื้อให้ว่า...ขอบคุณมากครับสำหรับวันนี้ ผมยังรักคุณเหมือนเดิม...อ่านเสร็จก็ปิด เปิดหน้าต่างรถขว้างทิ้งไปเลย ที่ทิ้งเพราะอยากจะตัดเขาออกจากชีวิตไปให้เร็วที่สุดแล้วคือเหตุการณ์นี้ก็เลยคิดว่าเราไม่ควรมีคู่อีก"
แต่ก็มีจนได้แถมลงเอยด้วยความผิดหวังที่หนักหนาไม่แพ้กัน..."ดันบังเอิญไปทำอัลบั้มชุดล่าสุดก่อนที่จะไปอเมริกา ก็มีโปรดิวเซอร์ที่นิสัยดีมาก เหมือนเขามาเทกแคร์เรา ดูแลเรา จะไปอัดรายการไหนก็ไปด้วยการ เราหลับเขาก็เอาผ้ามาห่มให้ เราก็เริ่มจะใจอ่อน บอกตัวเองถ้ารักครั้งนี้ก็คือเราจะไม่ให้ 100% จะให้อย่างมาก 70 ที่เหลือขอรักตัวเองบ้างเถอะ"
"แต่พอรักจริงๆ มันลืมเลย ที่บอกว่า 70 ก็กลายเป็น 100 เหมือนเดิม ก็อยู่ด้วยกันเกือบ 7 ปี ตอนที่เราไปอเมริกาเราก็พาเขาไปด้วย เพราะคิดว่าจะไปเดือนเดียวแล้วกลับไง เพราะงานเขาก็ยังมีอยู่ งานเราก็ยังมีอยู่ ทีนี้พอไปเกิดปัญหาว่าโดนโกง อยู่ร้องเพลงต่อ ก็เลยจะทำยังไงดี เราจะกลับหลายรอบก็ยังไม่ได้กลับสักที เขาก็เสียงานต้องออกจากงาน เป็นความผิดของเรา"
"เลยคิดว่าอยากให้เขาได้อยู่อย่างถูกต้อง เพื่อนที่สนิทกับเราก็มาเสนอว่าอยากแต่งงานให้สามีเธอนะ ฉันอยากให้เขาทำงานได้อย่างถูกต้อง เพราะว่าเป็นคนของเขาด้วยการแต่งงานกับคนที่นั่นมันจะได้ไฟเขียวหรือว่าอะไร เราก็ดีใจที่เพื่อนใจดีจังเลย เราก็โอเคให้เพื่อนแต่งงาน พอแต่งเสร็จ มีอยู่วันหนึ่งเราต้องไปร้องเพลงต่างรัฐ เพื่อนผู้หญิงคนนี้ก็ขับรถไปส่งเราที่สนามบิน"
"เขาก็พูดกับเราว่าฉันไม่รับประกันนะว่าผู้ชายกับผู้หญิงที่อยู่บ้านเดียวกันจะไม่มีอะไรกัน เราก็แบบสะอึกเลยนะ จนกระทั่งนั่งเครื่องบินคิดไปจนเครื่องบินไปถึงที่หมายก็คิดออกว่า นี่เป็นข่าวดีของสามีเราที่เขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น และเพื่อนเราเขาก็ยังเป็นเพื่อนเราอยู่ กับการที่เราปล่อยผู้ชายคนนึงไปในทางที่ดีกว่าที่อยู่กับเราแล้วมันไม่ได้มันน่าจะดีกว่าไหม คิดได้ไม่เสียใจอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น"
กับความรัก ณ ปัจจุบัน
"พี่กับเรื่องความรักมันหมดไปนานแล้ว มันหมดไปตั้งแต่คนที่ 7 ที่ไปแต่งงานกับเพื่อนเรา ความรักหมดไปเลย ตั้งใจว่าเราจะไม่รักใครจะไม่มีใครอีกแล้ว คนสุดท้ายเรารู้จักกันในลักษณะที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน รู้จักกันตอนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนไปโชว์ตัวที่อเมริกาครั้งแรก เขาก็เห็นเราเป็นเพื่อน เราก็เห็นเขาเป็นเพื่อน แต่พอ 10 ปีข้างหลังเราได้มาร่วมงานกัน มาร่วมร้องเพลงตั้งชื่อเดินสายที่อเมริกาด้วยกัน ก็เริ่มมาสนิทสนมกันมากขึ้น"
"ต่างคนต่างดูแลกันต่างเห็นกันเป็นกัลยาณมิตรเป็นเพื่อนที่ดี แต่ก็มีบางครั้งที่เราก็แปลกใจ อย่างวันไหนที่เราไม่สบาย เราก็จะโทรบอกพี่ไม่สบายเอายามาให้หน่อย เขาก็จะรีบขับรถเอามาให้ซึ่งมันไกลมาก จนย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วและเขาก็ตามมา เขาก็มาบอกความในใจ เราก็เริ่มคิดหรือว่าเรารักเขา เพราะตอนที่เราอยู่ที่นั่นเขาก็ดูแลเราดี เราก็ดูแลเขาไปไหนด้วยกันตลอด เวลาเราเห็นอะไรอร่อยเราก็นึกถึงเขา"
"พอตัดสินใจเราก็โอเค ฉันจะอยู่กับคนนี้แล้วนะ ก็มาคุยกันทุกอย่างเลย เราก็บอกว่าตัวเราเป็นคนอย่างนี้นะ ชีวิตเราเป็นคนอย่างนี้นะ อะไรที่เราไม่ชอบเราบอกเขา อะไรที่เราชอบเราบอกเขา คือเป็นคนแรกที่เราบอกความในใจของกันและกันทั้งหมด"
ภาคทิ้งท้าย : ศัลยกรรม
จมูก
"ทำจมูกมา 5 ครั้ง ครั้งแรกมันเบี้ยว เนื่องจากจมูกเราฐานมันไม่แข็งแรง พอทำแล้วมันเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ก็ต้องไปเปลี่ยนใหม่ ครั้งที่สองก็เบี้ยวไปอีกข้างหนึ่งอีก พอมาครั้งที่สามทำแล้วมันทะลุก็ต้องถอดออกอีก ครั้งที่สี่ทำแล้วมันโด่งเกินไป อันปัจจุบันคือครั้งที่ห้า ก็เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว
ตา
"ตาทำครั้งเดียว"
หน้าอก
"ทำครั้งแรกแข็งมาก แข็งเหมือนหิน เพราะวิทยาการสมัยก่อนอาจจะยังไม่ดี นอกจากแข็งแล้วเจ็บมาก ทำนมครั้งแรกจับไม่ได้เลย 3 ปี ใส่เสื้อรัดไม่ได้ ต้องใส่หลวมๆ เวลาไปร้องเพลงต้องทนเจ็บมาก พอไปเจอหมอใหม่ก็ทำสวยมาก แต่เจอคนรอบข้างบอกว่ายังไม่ถูกใจนะ ยังเล็กเกินไปเป็นนักร้องต้องใหญ่กว่านี้"
"ก็ไปอัพมา พอไปอเมริกาเดินเข้าห้องน้ำ เห็นว่าทำไมหน้าอกข้างซ้ายมาอยู่ตรงสะดือ เราก็สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็คือถุงน้ำเกลือรั่ว ก็ต้องแก้ หมอบอกว่าจะใส่ใหม่ไหม ด้วยความที่เราเริ่มปลงมากเลย เราก็บอกว่าจะใส่ไปทำไม เราเป็นนักร้องแค่ใช้เสียง ไม่ได้ใช้นมสักหน่อย ก็เลยบอกหมอว่าไม่ใส่แล้ว"
"ทุกวันนี้ไม่มีแล้ว ทุกวันนี้ของจริง แต่ก็มีเสริมใช้ฟองน้ำหนิดหน่อย (ทุกวันนี้ดึงหน้าเพิ่มเติมไหม) ก็คืออยากทำนะ แล้วพอได้มาทำอัลบั้มชุดใหม่ ทีมงานก็บอกว่าเธอต้องทำ แต่เราก็ยังไม่พร้อมที่จะทำ ก็เลยบอกว่าขอเวลาหน่อยได้ไหม แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องทำก็ต้องทำค่ะ..."
...
หมายเหตุ : เรียงเรียงบทสัมภาษณ์จากรายการ "ทอล์คทะลุดาว" ช่องไทยรัฐทีวี
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม