ปิดฉากไปอย่างอลังการ สำหรับเวทีการประกวด "มิสทิฟฟานี่ ยูนิเวิร์ส 2015" เสียงกรี๊ด เสียงปรบมือดังขึ้น เมื่อพิธีกรประกาศชื่อ "ใบหม่อน-โสภิดา ศิริวัฒนานุกูล" นักวิชาการสาธารณสุขชุมชน เป็นสาวงามผู้ครองมงกุฎที่การันตีให้โลกรู้ว่า เธอคือ "กะเทยไทย" ที่สวยพร้อมทุกองศาทั้งภายใน และภายนอก ตรงตามคอนเซ็ปต์ "Beauty Re’al" ความสวยที่แท้จริง
ไม่เพียงแต่ชื่อ "ใบหม่อน" จะถูกจารึกไว้ในทำเนียบสาวงามประเภทสองที่สวยที่สุดในปี 2015 แล้ว "อลิซ-กานต์ชญา กัญจ์ชนะกุล" รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง และ "เเซน-พิมพ์นารา อธิพัฒน์เดชากร" รองชนะเลิศอันดับสอง ยังสวยพร้อมทุกองศาทั้งภายในและภายนอกเช่นกัน
ที่สำคัญ พวกเธอเก็บงำเรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน และเรื่องราวที่ดูเหมือนจะเป็นความลับนั้นจะไม่ลับอีกต่อไป เมื่อเดินทางมาให้ทีมงาน M-Lite สัมภาษณ์แบบเจาะลึกกันถึงกองบรรณาธิการข่าว ณ บ้านพระอาทิตย์ ทั้งหลังม่านการประกวดกับเรื่องที่ใครหลายคนต่างสงสัย รวมไปถึงชีวิต และมุมคิดของ 3 สาวประเภทสองที่สวยระดับประเทศ
เรื่องไม่ลับ ฉบับหลังม่าน "มิสทิฟฟานี่"
แน่นอนว่า กว่าจะคัดเลือกสาวประเภทสองจากทั่วประเทศให้เหลือ 30 คนเพื่อขึ้นไปเดินเฉิดฉายบนเวทีอันทรงคุณค่าอย่าง "เวทีมิสทิฟฟานี่" ได้นั้น ต้องผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าสาวประเภทสองต้องจัดเต็มทั้งเสื้อผ้า หน้าผมเพื่อเอาใจคณะกรรมการ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย
"ใบหม่อน" เจ้าของมงกุฎมิสทิฟฟานี่ ยูนิเวิร์ส 2015 ผู้ที่ได้ชื่อว่าเสียงเหมือน “ผู้หญิง” มากที่สุด บอกว่า ทางกองประกวดฯ จะให้ความสำคัญกับความสวยที่เป็นธรรมชาติมากกว่า
"ปีนี้จะเข้มงวดมาก โดยทางกองประกวดจะดูในลุคของสาวประเภทสองเป็นพิเศษ หลายคนเข้าใจว่าต้องแต่งอะไรที่เยอะๆ ขนตาเต็ม ผมแน่นๆ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงสาวประเภทสองมีความสวยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแต่งอะไรเยอะขนาดนั้น กรรมการก็เลยบอกว่า ใครแต่งหน้ามาเยอะให้ไปลบหน้าเพื่อให้เห็นหน้าจริงนิดนึง ไม่ถึงกับหน้าเปลือย เพียงแต่ให้เห็นใบหน้าที่ชัดไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ดวงตา ส่วนผมก็ไม่ต้องแน่นมาก คือทุกอย่างมันต้องพอดีกัน"
ด้าน "แซน" รองชนะเลิศอันดับสองที่มาในชุดราตรีขาวเปิดไหล่ เสริมในประเด็นเดียวกันว่า "กองประกวดไม่ได้หมายความว่ากะเทยจะต้องแต่งน้อย แต่สิ่งที่ต้องการจะสื่อก็คือ ความพอดีในส่วนที่เป็นตัวของเราเอง อย่างวันคัดเลือก คณะกรรมการจะดูหลายๆ เรื่อง ซึ่งบางคนแต่งน้อยไปก็ดูไม่สวย
อย่างตัวหนู ยอมรับว่าถ้าแต่งน้อยหนูจะดูไม่สวย เพราะหน้าหนูมันไม่สวย ในขณะที่บางคนแต่งเข้มก็ไม่สวย ดังนั้นมันต้องมีความพอดีในตัวเอง ปีนี้เลยออกมาเป็น Beauty Re’al ซึ่งเป็นความสวยที่เป็นตัวตนของเราเองค่ะ"
ไม่ถามไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่คนภายนอกสงสัย "การประกวดสาวประเภทสองต้องผ่าตัดแปลงเพศมาก่อนหรือไม่" สำหรับคำถามนี้ มิสทิฟฟานี่ 2015 เป็นผู้ให้ความกระจ่าง
"ไม่ได้ระบุค่ะ แล้วแต่ความสมัครใจของแต่ละคนว่าคุณมีความพร้อมในระดับไหน คุณจะมีนมก็ได้ ไม่มีก็ได้ หรือจะแปลงเพศมาแล้วก็ได้ ไม่แปลงก็ได้" พูดจบ รองอันดับสองช่วยขยายความเสริมว่า "ในความคิดของแซน จริงๆ การมีนมกับการแปลงเพศ ไม่ได้ระบุว่าคุณพร้อมหรือไม่พร้อม เพราะว่าหลายๆ คนที่เข้ามาประกวดยังไม่ได้ทำหน้าอก หรือยังไม่ได้แปลงเพศก็มี แต่ถ้ารู้สึกว่าตัวเองพร้อมที่จะขึ้นมาสู้ ยังไงมันก็พร้อม ซึ่งก็ต้องยอมรับด้วยว่า บางคนยังมีไม่พร้อมเหมือนคนอื่น แต่มีสมองที่พร้อมมากกว่าคนอื่นหลายเท่า"
ส่วนสงครามนางงามหลังเวทีมิสทิฟฟานี่ ทั้ง 3 คนยืนยันว่า ไม่มีเรื่องดรามาเหมือนในละครอย่างแน่นอน
"มันแล้วแต่คนจะคิดอ่ะค่ะ แต่พฤติกรรมของผู้เข้าประกวดจะเป็นการหยอกล้อเล่นกันมากกว่า เพราะเรามักจะเอาพฤติกรรมของตัวละครอย่างสงครามนางงามมาเล่นกัน ส่วนดรามาตบตีกลั่นแกล้งอันนี้ไม่มีค่ะ ส่วนตัวรู้สึกว่าเพื่อนๆ ดีหมด ทุกคนรักกัน มีอะไรก็คุยกัน เวลาจะไปซื้อของก็จะนัดกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ จะได้สนุกสนาน แม้ภายนอกหนูจะดูหยิ่ง ไม่ค่อยเข้าไปคุยกับใครก่อน เนื่องจากกลัวว่าเขาจะไม่คุยด้วย แต่หนูก็พยายามปรับพฤติกรรมด้วยการสังเกตพฤติกรรมว่าใครควรเข้าหาแบบไหน"
เช่นเดียวกับ "อลิช" รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ที่บอกต่อจาก "ใบหม่อน" ในเรื่องเดียวกันนี้ว่า "ทุกคนรักกันหมดค่ะ ส่วนตัวหนูไม่มีปัญหากับเพื่อนหรือกับใคร เพราะโดยปกติแล้ว หนูจะเข้าไปหาคนอื่นก่อน เป็นคนเฟรนลี่ คิดบวกจึงไม่ค่อยคิดมากค่ะ" ส่วน "แซน" ก็ตอบแบบสวยๆ ว่า "สาวประเภทสองที่คัดเลือกเข้ามา ทางกองประกวดได้คัดเลือกเป็นอย่างดีแล้ว เพราะเขาต้องการให้เห็นภาพลักษณ์ที่ดีของสาวประเภทสอง ดังนั้นเรื่องเสียๆ หายๆ ในการอยู่ร่วมกันจึงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน"
เฉาะตัวตน 3 กะเทยสวยระดับประเทศ
ล่วงรู้เรื่องราวหลังม่านเวที "มิสทิฟฟานี่" กันไปแล้ว มาล้วงลึกตัวตนของสามสาวประเภทสองที่สวยระดับประเทศกันบ้าง เริ่มกันที่มิสทิฟฟานี่ 2015 "ใบหม่อน" เห็นเงียบๆ เรียบร้อยแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่า เธอก็มีมุมเฮฮาปาจิงโกะ ชอบเล่น ชอบยิ้ม ชอบความสนุกสนานเอามากๆ
"หนูเป็นคนโก๊ะมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ คือเหมือนกับว่าเราอยู่กับเพื่อนที่เฮฮา เป็นกันเองตลอด ซึ่งแต่ก่อนหนูเข้าไปอยู่ในกลุ่มเด็กเรียน พอเข้าไปแล้ว เฮ้ย! มันไม่ใช่ตัวหนูอ่ะ พอว่างก็นั่งอ่านหนังสืออีกแล้ว ตอนนั้นก็คิดนะว่ามันเครียดไปไหม ผิดกับตัวตนจริงๆ ที่จะชอบเล่น ชอบยิ้ม ชอบความสนุกสนานมากกว่า จากวันนั้นพอเราโตขึ้นก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามหน้าที่การงาน อย่างตอนนี้เป็นนักวิชาการสาธารณสุขชุมชน หนูก็ต้องรู้จักวางตัวเพื่อให้สังคมยอมรับในตัวเรา" กะเทยที่สวยที่สุดในประเทศบอก
ปัจจุบัน เป็นนักวิชาการสาธารณสุขชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ส่วนเรื่องงานในวงการบันเทิง อยากเป็นนักแสดง พิธีกร และนักร้อง
ส่วน "อลิช" เธอเผยตัวตนให้ฟังว่า "หนูเป็นคนที่คิดบวก รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ลึกๆ แล้วจะเป็นคนอ่อนไหวง่าย ขี้น้อยใจ แต่การที่เราเป็นคนคิดบวกมันก็ช่วยในเรื่องตรงนี้ได้ ส่วนเวลาอยู่กับเพื่อนหนูก็จะเป็นตัวโจ้ก ทำให้เพื่อนมีความสุข ซึ่งมันไม่ใช่หน้าที่นะ แต่พอเราได้ทำ ได้เห็นเพื่อนมีความสุข เราก็มีความสุขไปด้วย"
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่คณะมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีความใฝ่ฝันอยากทำงานในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง พิธีกร เป็นต้น
ถัดมาเป็นคิวของ "แซน" ดูจากท่าเดิน และการตอบคำถามบนเวที ไม่แปลกที่ใครหลายคนจะบอกว่าเธอเป็นสาวมั่น ซึ่งก็ตรงกับตัวตนที่เธอบอก "หนูเป็นคนกระฉับกระเฉง ทำอะไรฉึบฉับ ฉึบฉับ" ก่อนจะเว้นช่วงแล้วเผยในสิ่งที่หลายคนยังไม่รู้ "หนูจะทำให้ตัวเองดูโตกว่าอายุ เพราะถูกปลูกฝังให้มีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น อาจจะเป็นเพราะอยู่วงโยฯ ตอนสมัยเรียนมัธยมฯ ด้วยค่ะ ตอนนั้นหนูมีฉายาว่าอีอึก คือตอน ม.1 หนูอยู่วงโยฯ แล้วหนูก็อ้วนมาก เอว 34 สูง 155 โดยสมัยนั้นวงโยฯ จะต้องมีการออกกำลังกายโน่นนี่นั่น
พอมาถึงคลาสว่ายน้ำ หนูนี่อ้วน แก้มห้อยเหมือนหมาหน้าย่นมากๆ (หัวเราะ) ถึงเวลาที่จะต้องกระโดดจากชั้นที่ 3 ก็ไม่กล้า หนูก็เลยไต่ลงมาชั้นที่ 1 ในระหว่างที่กำลังจะไต่ลงมา คนปกติเขาจะต้องหันหลังลง แต่หนูเดินหน้าลง ปรากฏว่าล่วงค่ะ ตกลงมา 7 ขั้นจากบันได แล้วหนูก็สะอึกจนพูดไม่ออก เหมือนทุกอย่างมันดันขึ้นมา หลังจากนั้นหนูก็มีฉายาว่าอีอึก จนทุกวันนี้เพื่อนก็ยังเรียกอยู่ (หัวเราะ)"
ปัจจุบันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนางแบบ
"กะเทยไทย" หัวใจดนตรี
มาดูกันที่ความสามารถของแต่ละคน ต้องบอกว่า มากความสามารถจริงๆ โดยเฉพาะความสามารถทางด้านดนตรี ซึ่งทั้งสามคนมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าพูดถึงตัวแม่ในสายดนตรีแล้ว คงต้องยกให้ "แซน" เพราะเธอเล่นได้หมดทั้งเครื่องดนตรีไทยและสากล แถมมีเรื่องเล่าสนุกๆ ให้ฟังอีกด้วย
"หนูเล่นได้หมดทั้งดนตรีไทย และวงโยฯ ดนตรีไทยเล่นเครื่องสายได้ ไม่ว่าจะเป็นซอ ขิม จะเข้ โดยซอได้เล่นตอนประถมฯ พออยู่ป.5 อยากสวยก็ต้องนั่งพับเพียบเล่นจะเข้ จากนั้นขึ้นมัธยมฯ (โรงเรียนราชบพิตร) โดยใช้ความสามารถในการเล่นจะเข้สอบคัดเลือกเข้ามา จนได้มาอยู่วงโยฯ ครั้งแรกเลยคือเป่าทรัมเป็ต ตอนนั้นรู้สึกว่าผู้ชายมากๆ เลยค่ะ ถูกให้ไปเป่ายูโฟเนียม ซึ่งใหญ่กว่าอีก สุดท้าย พี่ขาหนูขอลาออกค่ะ (เพื่อนนางงามที่นั่งอยู่ข้างๆ ระเบิดหัวเราะออกมา) ลาออกเลยค่ะ จริงๆ ต่อให้ตอนนั้นหนูอ้วนหนูก็ต้องสวยนะคะ
หลังจากตัดสินใจลาออกไปอาทิตย์หนึ่ง ยืนมองอยู่บนอาคารเห็นผ้าสีๆ ตีพึบพับพึบพับ เราก็แบบ..อุ้ย! อะไรอ่ะ สวยจังเลย มันใช่อ่ะ ก็เลยปรึกษากับพี่คนหนึ่งในวงโยฯ ชื่อว่าพี่โลตัส พี่เขาก็พาหนูไปสมัครวงโยฯ อีกครั้ง ทางวงก็บอกว่า ถ้าให้เล่นห้ามออกแล้วนะ หนูก็โอเคๆ ค่ะ ไม่ออกแล้วค่ะ ตั้งแต่นั้นมาหนูก็ได้เล่นคัลเลอร์การ์ด
กระทั่ง มีนโยบายว่าคนที่เล่นคัลเลอร์การ์ดจะต้องมีเครื่องเป่าประจำด้วย หนูก็เลยเลือกคลาริเน็ตกับฟรุต เพราะไม่รู้จะเลือกอะไร แต่รู้สึกว่าการเป่าฟรุตคือสวยกว่า (เชิดหน้าทำทีว่ากำลังเป่าฟรุต) ซึ่งตอนนั้นซ้อมวงโยฯ จันทร์ อังคาร พุธ ส่วนพฤหัสบดี และศุกร์ซ้อมดนตรีไทย เคยไปแข่งวงโยฯ ที่ประเทศมาเลเซีย 2 ครั้ง สามารถคว้าแชมป์ และรองอันดับ 1 มาได้ จากนั้นเคยไปแข่งแคนาดาก็ได้แชมป์กลับมา" พูดจบเพื่อนนางงามที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ปรบมือรัวๆ ให้เธอ เช่นเดียวกับทีมข่าวที่อึ้งในความสามารถ และความพยายามจนต้องปรบมือรัวๆ ให้เธอเช่นกัน
ส่วน "อลิช" ก็ไม่น้อยหน้า เธอชื่นชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็ก "ตอนมัธยมฯ หนูได้มีโอกาสเข้าไปเล่นไวโอลีนในวงซิมโฟนีออร์เคสตราของโรงเรียน เล่นตั้งแต่ม.1-ม.5 เวลาโรงเรียนมีงานกิจกรรม วงนี้ก็จะเข้าไปมีบทบาท ทำให้หนูได้มีบทบาทไปด้วย จากเด็กที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ค่อยๆ เขยิบมานั่งข้างหน้าแบบสวยๆ (ยิ้ม)"
ต่างจาก "ใบหม่อน" แม้จะไม่ถนัดเล่นเครื่องดนตรีเหมือนเพื่อนๆ แต่เธอชื่นชอบ "การร้องเพลง" เป็นชีวิตจิตใจ โดยสามารถร้องได้ทั้งเพลงไทย เพลงสากล รวมไปถึงเพลงจีนด้วย
ฟังทัศนะคู่รักกะเทย VS ทอม
ความรักไม่มีคำว่าเพศ ไม่มีขีดจำกัด แต่เป็นเรื่องของการพบเจอสิ่งที่ลงตัว เช่นเดียวกับความรักของ "แซม" รองชนะเลิศอันดับสองกับสาวหล่อ เธอเปิดใจว่า คบหาดูใจกันมาได้ 1 ปีแล้ว ที่ผ่านมาเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาตลอด แต่ก็อกหักผิดหวังจนได้มาเจอกับทอมคนหนึ่ง ซึ่งคบหาผู้หญิงมาตลอด แต่ก็ไม่เคยรู้สึกดีเท่ากับคบกะเทยอย่างเธอ
"พอเราผิดหวังกับผู้ชายบ่อยๆ มันเหมือนถูกย้ำซ้ำๆ รอยเดิมว่า เดี๋ยวผู้ชายก็ทิ้งอีก ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่เขาก็ทิ้งเราอยู่ดี ช่วงที่หนูโสดมา 3 ปี หนูก็มาเจอกับสาวหล่อ เรากลับพบความแตกต่าง เพราะเขาไม่ได้หวังแค่ภายนอกเหมือนผู้ชาย อย่างครั้งแรกที่ออกเดตกับผู้ชาย สำหรับหนูแล้ว ผู้ชายต้องเป็นคนจ่าย ต่อให้หนูทำทีว่าหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาก็เถอะ ผู้ชายก็ต้องเบรก แต่ที่หนูเจอมา หน้าตาหล่อจริง เป็นเน็ตไอดอลจริง สุดท้ายหนูก็ต้องเป็นคนจ่าย คือตอนนั้นหนูก็งงว่าทำไมต้องจ่าย หนูก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย! ผู้ชายอีกแล้วเหรอ มาไม้นี้อีกแล้วเหรอ
พอมาคบกับทอม จริงอยู่ที่บางเรื่องอาจจะไม่เร่าร้อนเท่าผู้ชาย แต่การอยู่กับทอมเรื่อยๆ เรากลับมีความสุขในทุกๆ วัน แม้ว่าช่วงแรกๆ จะยังรู้สึกว่าเราก็ยังอยากเดินกับผู้ชายอยู่นะ แต่หลังจากคบกับทอมมา 1 ปี เรากลับมองข้ามในส่วนนั้นไป ถามว่าเคยมีคุยกันเรื่องแต่งงานไหม ก็มีนะคะ ส่วนตัวหนูอยากรออีกหน่อย ถ้าหนูพร้อมที่จะถูกผูกมัดเมื่อไร เราอาจจะมีงานแต่งงานเกิดขึ้น"
แสบสันปนฮา ว่าด้วยเรื่อง "ความรัก"
มาให้สัมภาษณ์กันแบบจุใจ ทีมงาน M-Lite เลยไม่พลาดที่จะคิดประเด็นคำถามแสบสันปนฮา ชวนให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ถึงกับ "ไปไม่ถูก" เมื่อทีมข่าวยิงคำถาม "เคยผ่านการโดนจีบมาแล้วกี่ครั้ง" หรือ "มีวิธีเริ่มจีบผู้ชายอย่างไรให้เขาหันมาสนใจ"
"ใบหม่อน" เจ้าของมงกุฎมิสทิฟฟานี่ 2015
"ตั้งแต่เด็กแล้ว หนูเป็นคนที่มีพื้นฐานหน้าดีเกิน ดีเกินจนผู้ชายกลัวอ่ะค่ะ (หัวเราะ) ซึ่งหนูจะเป็นเด็กตัวดำมาก ตอนสมัยเรียน เคยชอบรุ่นพี่อยู่คนหนึ่งแต่เขาก็ไม่สนใจเรา จากนั้นค่อยๆ พัฒนาตัวเองจนเปลี่ยนเป็นอีกคนแล้วก็กลับไปเจอรุ่นพี่คนนั้นอีกครั้ง ปรากฏว่าเขาจีบหนูค่ะ (ยิ้มเขินๆ)
ส่วนถ้าถามว่าเวลาปิ๊งใครมีวิธีอย่างไร หนูจะชอบทำให้ตัวเองดูมีออร่า ทำทีเป็นคุยเล่นกับเพื่อนสวยๆ และพยายามยิ้มสวยๆ เพราะมีคนบอกว่าเวลาหนูยิ้มหนูจะน่ารัก" พูดจบเธอก็อวดยิ้มสวยๆ ให้ดู
"อลิช" รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง
แม้จะเธอดูเขินๆ แต่ก็ตอบแบบสวยๆ ว่า "หนูไม่ค่อยกล้าเข้าหาใครก่อนค่ะ จะออกแนวแบ๊วๆ ใสๆ มากกว่า (ทำท่าแอ๊บแบ๊วให้ดู) เพราะชอบกังวลว่าเขาจะชอบเราไหมน้อ (ลากเสียงยาว) บวกกับเราเป็นแบบนี้ด้วย กลัวจะโดนปฏิเสธอ่ะค่ะ (ทำสีหน้าเศร้าๆ) แต่ถ้าปิ๊งใครก็จะใช้วิธีส่งสายตาเล็กๆ เพื่อให้เขารู้สึกว่าเรามีอะไร (ยิ้มเขินๆ) ส่วนตัวชอบผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำค่ะ ต้องกล้าที่จะเข้ามาจีบเราก่อน เพราะถ้ากล้าจีบเรา ก็จะกล้าในสิ่งอื่นๆ ด้วย เช่น ไปไหนมาไหนกับเราได้ ดูแลเรา ปกป้องเราได้"
"แซน" รองชนะเลิศอันดับสอง
"หนูไม่ค่อยชอบคนที่เข้ามาจีบ แต่ถ้าชอบใครก็จะเป็นฝ่ายตามเขามากกว่า เพราะเราเลือกแล้วว่าคนนี้แหละ ใช่สำหรับเรา ส่วนเราจะใช่สำหรับเขาไหม ก็คงต้องดูอีกที ส่วนวิธีเข้าหาหนุ่มๆ ที่เรารู้สึกปิ๊ง หนูจะแอ๊บเรียกชื่อค่ะ (หัวเราะ) ประมาณว่าสุ่มเรียก อย่าง 'บาส' (ทำท่าเรียกสวยๆ ให้ดู) พอเขาหันมาก็จะบอกว่า อุ้ย! ขอโทษค่ะ หน้าเหมือนเพื่อนเลย
ส่วนอีกวิธีก็คือการปรบมือเช็กความหล่อ (ทำท่าให้ดู) เพื่อเช็กว่าเห็นหลังหล่อๆ ข้างหน้าจะหล่อหรือเปล่า อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) ถ้าโอเค ถูกใจ แล้วเขาก็ถูกใจเราด้วย ขั้นตอนต่อมาก็คือการแลกไลน์ แลกไอจี” พูดจบก็ยิ้มสวยๆ ให้ทีมงาน
หลังจบการสนทนา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ มุมมอง และวิธีคิดของสาวประเภทสอง แม้ใครหลายคนจะมองว่าคนกลุ่มนี้แรง หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีจากภาพลักษณ์ของกะเทยที่ปรากฏตามข่าว แต่เกือบ 1 ชั่วโมงที่ได้คุยกับสาวประเภทสองกลุ่มนี้ ทุกคำพูดถูกปล่อยผ่านถ้อยคำที่ชัดเจน และตรงไปตรงมา แถมบางช่วงบางตอนยังสร้างเสียงหัวเราะ ชวนผ่อนคลายได้มากทีเดียว
สัมภาษณ์โดย : ASTVผู้จัดการ Lite
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754