เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินคำว่า “Slow Life” กันจนคุ้นหู เผลอๆ ก็อาจจะพูดบ่อยจนเคยปาก แต่จะมีสักกี่คน ที่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำนี้อย่างถ่องแท้
ถ้าจะแปลความกันแบบกำปั้นทุบดิน Slow Life ก็น่าจะหมายความถึง.....การใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ
แต่ถ้าจะเจาะลึกลงไปอีก ก็คือการใช้ชีวิตที่ยึดหลักพอเพียง ไม่ติดหรู ไม่คลั่งวัตถุนิยม มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่พึ่งพาอุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีทางการสื่อสารมากจนเกินจำเป็น จนละเลยที่จะ “ใส่ใจ” ครอบครัว และคนรอบข้าง รู้จักหันมาชื่นชมกับธรรมชาติให้มากขึ้น รู้จักที่จะขจัดความเครียดด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ โดยกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ ซึ่งญี่ปุ่นเอง ก็แปลความหมายในลักษณะใกล้เคียงกัน (ที่มา http://www.japanfs.org/en/news/archives/news_id025168.html)
แต่ความหมายที่ “โน้ส-อุอม แต้พานิช” วิพากษ์วิจารณ์การใช้ชีวิตของเด็กรุ่นใหม่ จนกลายเป็นกระแสในโลกโซเชียลฯ นั้น ดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่อง
ไม่เชื่อก็ลองอ่านทวนข้อความของโน้สกันอีกครั้ง....
“ผมอยากจะบอกเลยว่าอย่าเพิ่งมาดัดจริตสโลว์ไลฟ์ เพราะคุณเพิ่งเรียนจบกันมาหมาดๆ ชีวิตต้องรีบก่อนเลย ต้องขยันทำงานหนักก่อน ก่อนที่จะมานั่งชิล ใช้ของแพงๆ ใช้ของที่ดูเหมือนง่าย ชีวิตที่ใช้กับชีวิตที่โชว์อันเดียวกันหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่คุณผ่านการทำงานหนักหรือยัง ถ้ายังไม่เคยผ่านอย่ามาโชว์สโลว์ไลฟ์ใส่กัน จะมานั่งจิบกาแฟ Drip ใส่กัน กาแฟถ้วยนึงราคาเท่าไร แล้วคุณหาเงินได้วันละเท่าไร คนที่ทำแบบนั้นจำเมืองนอกเขามา เพราะเขารวยแล้ว ญี่ปุ่นเขารวยแล้ว คุณยังไม่มีกิน อย่าเพิ่งดัดจริตสโลว์ไลฟ์ โอเคไหม มันต้องขยัน ผมขยัน ถ้าจะยืนยันทำสิ่งเดิม คุณก็จะเป็นฮิปสเตอร์ที่ยังนั่งจิบกาแฟแบบนี้ไปเรื่อยๆ คุณจะเป็นฮิปสเตอร์คนเดิมที่ผมหงอกขึ้น แต่ชีวิตไม่มีอะไรเลย มีแต่ความเท่ไว้พูดกัน…”
และจากข้อความดังกล่าวนั่นเอง ทำให้มีกระทู้ที่ออกมาตอบโต้ในเชิงไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว โดยเฉพาะใน เฟซบุ๊กของ “จ่าพิชิต ขจัดพาลชน” ที่ออกมากล่าวถึงกระแสการใช้ชีวิตแบบ Slow Life บ้าง โดยระบุว่า…
“พอโน้ส-อุดม ออกมาด่าคนที่ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ หรือที่เรียกว่า “ฮิปสเตอร์” แล้ว คนก็เฮโลออกมาด่าชีวิตสโลว์ไลฟ์ตามกระแสกันเยอะ เอาจริง ๆ อย่าไปต่อต้านชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์เลย ถ้าคุณทำงาน ๆๆๆๆๆๆๆ ทำงานอย่างบ้าคลั่งจนถึงจุดๆ หนึ่ง คุณจะรู้สึกเองว่า เราทำไปเพื่อเ…้ยอะไรเนี่ย ทำไมเราไม่พัก ไม่หาความสุขให้ตัวเองบ้าง
พอถึงจุดๆ นี้จะปล่อยคันเร่ง เหยียบเบรกแล้วใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ๆ สักแป๊บ พักผ่อนหย่อนใจให้หายเหนื่อย หาอะไรทำให้ตัวเองมีความสุข เพื่อชาร์จพลังงานก่อนไปลุยกันต่อ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย
ชีวิตมันต้องมีพักบ้าง เร่งบ้าง อย่าโหมทำงานอย่างเดียว การทำงานแบบไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนแม่งทำคนตายมาเยอะแล้ว ใครบอกว่างานหนักไม่เคยฆ่าคน ตอแหลสิ้นดี
แต่ถ้าใช้ชีวิตแบบเอื่อยเฉื่อยสโลว์ๆ เกินไปก็ไม่ดี ไอ้เรื่องเต่าชนะกระต่ายแม่งมีแต่ในนิทานอีสปเท่านั้นแหละ สรุปว่าเอาให้มันพอดี ๆ ใช้ชีวิตไปตามที่ตัวเองต้องการ ตามที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดแล้วก็พอ ใครจะพูดอะไรก็ช่างหัวมัน ชีวิตเรา ไม่ใช่ชีวิตมัน”
ไปๆ มาๆ ก็คือโน้สกับจ่าพิชิต ตีความคำว่า Slow Life กันไปคนละทาง
จากข้อความที่โพสต์ จะเห็นว่าโน้สให้ความหมายของคำว่า Slow Life ว่า การใช้ชีวิตที่หรูหรา ฟู่ฟ่า จนเกินกว่ากำลังทรัพย์ที่ตัวเองมี ซึ่งในที่นี้น่าจะหมายถึงบรรดาเด็กที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง เรียกง่ายๆ ว่ายังต้องแบมือเงินพ่อแม่อยู่นั่นเอง
ขณะที่จ่าพิชิตแปลความหมายของคำว่า Slow Life ถูกต้องตรงตามคำจำกัดความของคำนี้จริงๆ
โน้สอาจจะพลาดที่เลือกใช้ประโยคที่ว่า
-ใช้ของแพงๆ
- จะมานั่งจิบกาแฟ Drip ใส่กัน กาแฟถ้วยนึงราคาเท่าไร แล้วคุณหาเงินได้วันละเท่าไร
นั่นจึงทำให้ความหมายของคำว่า Slow Life ผิดเพี้ยนไป จนกระทั่งมีคนออกมาแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ ww.pantip.com เกี่ยวกับการแปลความหมายแบบผิดๆ ของคำว่า Slow Life ในมุมมองโน้ส ดังนี้
…..แอบงง Slow Llife กับใช้ของแพงมันมาเกี่ยวกันได้ยังไง แล้วเอามาโยงได้ยังไง
เวลาเราจะดูว่าคำเตือนนั้นมันมีประโยชน์ไหม เราดูที่ความหมายของคำเตือนนั้นๆ ว่ามันจริงหรือเปล่า ส่วนใครจะเป็นคนพูดเราไม่ค่อยสนนะ
คนดังคนมีชื่อเสียงใช่จะพูดถูกไปหมด
คนต่างจังหวัด หรือข้าราชการส่วนใหญ่ ชีวิตก็ slow life ทั้งนั้น ไม่ต้องเร่งรีบแข่งกันดุเดือด
ถามว่ามั่นคงไหม มั่นคง มีอนาคตไหม มี
จะมาบอกว่าทำตัว Slow Life แล้วชีวิตบั้นปลายจะไม่มีอะไรนะ มันคงไม่ใช่มั้ง น่าจะแล้วแต่คน
กลับกันบางคนทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ปาร์ตี้จัด ใช้แต่แบรนด์เนม กินแต่หรูๆ ของใช้ก็ต้องล้ำสมัย สุดท้ายหนี้บัตรอื้อซ่า แบบนี้คือดีเหรอ
Slow Life ไม่จำเป็นต้องหรูต้องแพง
ถ้าหรูถ้าแพงเกินตัว มันไม่น่าจะเป็น Slow Life แล้ว มันน่าจะพุ่งเป้าไปที่การใช้จ่ายเกินตัวเสียมากกว่า
เค้าก็แค่เห็นว่าคำนี้มันกำลังมา กำลังอิน เลยเอามาใช้สร้างกระแสก็แค่นั้น ทั้งๆ ที่สิ่งที่เค้าตำหนินั่นมันไม่ได้เกี่ยวกับ Slow Life มันเกี่ยวกับการไม่รู้จักวางแผนการใช้จ่ายและไม่รู้จักประเมินรายได้ของตัวเองต่างหาก .....
แต่ก็เข้าใจว่าเจตนารมณ์ของโน้ส ก็คือต้องการเตือนให้บรรดาวัยรุ่นอย่าหลงใหลกับ “ค่านิยม” ผิดๆ ซึ่งข้อความที่ดูเหมือนจะสะท้อนมุมมองในเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน ก็คือประโยคที่บอกว่า
…..ชีวิตที่ใช้กับชีวิตที่โชว์อันเดียวกันหรือเปล่าไม่รู้นะ…..
แต่โน้สอาจจะหลงลืมไปว่าบางครั้งคนที่ใช้ชีวิตในแบบ “ที่โชว์” นั้น ก็เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าให้กับตัวเอง หรือแปลความกันง่ายๆ ก็คือเพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเองนั่นแหละ
อย่างพวกพริตตี้ทั้งหลาย ที่ต้องพยายามทำตัวให้โดดเด่น โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ เพื่อขยับให้ตัวเองก้าวขึ้นมาเป็น Net Idol เป็น Somebody ในสังคม เพื่ออะไร ? ก็เพื่อผลประโยชน์ในการรับงาน ที่จะสามารถอัปราคาให้สูงขึ้นจากเดิม เช่นเดียวกับเหล่าดารา นักแสดง ที่เดี๋ยวนี้หันมาฮิตโพสต์รูปตัวเองขณะออกกำลังกาย โชว์เรือนร่าง อวดซิกซ์แพก ก็ล้วนเพื่อหวังผลในเรื่องการรับงานถ่ายแบบ หรือการเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือเสริมความงามทั้งสิ้น ขณะที่ถ้ามองในมุมของบรรดาเยาวชนที่ยังไม่มีรายได้ แต่ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตแบบติดหรู นั่นก็อาจจะเป็นเพราะต้องการการยอมรับในหมู่เพื่อนฝูง (แต่โน้สอาจไม่รู้ว่าบางครั้งเด็กพวกนี้อาจเป็นนักขายของทางเน็ตตัวยงก็ได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปห่วงเรื่องรายได้ของเขาเลย)
ทุกอย่างมันมี “เหตุ” และ “ผล” อยู่ในตัวเองเสมอ
การไปนั่งหรู นั่งชิลในร้านกาแฟดัง ถ้ามันไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร พูดง่ายๆ ก็คือมีเงินจะจ่ายเสียอย่าง ก็ถือเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลที่ไม่ควรก้าวล่วง ถ้าการใช้จ่ายเงินแบบฟุ่มเฟือยกับสิ่งที่ไม่จำเป็น นับเป็นเรื่องที่จะต้องออกมาตำหนิติเตียนผ่านสื่อกันขนาดนี้ การไปนั่งทานไอศกรีมยี่ห้อดัง ดื่มชาเขียวที่โน้สเองก็เป็นพรีเซ็นเตอร์ร่วมกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ หรือการจ่ายเงินแพงๆ เพื่อซื้อบัตรเดี่ยวไมโครโฟน ก็เป็นเรื่องที่ต้องตำหนิเหมือนกัน
การที่โน้สใช้ชีวิตของตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานตัดสินคนอื่น หรือเพื่อให้คนอื่นเดินตามนั้น มันออกจะใจแคบไปหน่อย
หรือโน้สเองก็ต้องการ “สร้างกระแส” ให้ตัวเองเหมือนในกระทู้พูดไว้จริงๆ
“ความวัว” เรื่องเพจปลอมระบาดยังไม่ทันหาย “ความควาย” เรื่องชีวิต Slow Life ก็เข้ามาแทรกเสียอีกแล้ว !!??
(Cr. ขอบคุณภาพจาก Pixel Crazy 8 bit สมาคมคนรัก 8 บิท)
ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 294 20-26 มิถุนายน 2558