“เพชร-พิ้งกี้” แถลงข่าว ผิดหวังทัศนคติ “ซูซี่” เหมือนถูกชี้หน้าด่าว่าเป็นคนขี้โกง รับกระทบต่อธุรกิจ บอกต้องขอโทษผ่านสื่อถึงจะจบ ขู่ฟ้องได้แต่ไม่อยากค้าความ พับโปรเจ็กต์หนังยอมเจ๊ง 8 หลัก โชว์ป๋าควัก 1 ล้านบาทบริจาคสภากาชาดเย้ย
กลายเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โตเลยทีเดียว สำหรับกรณีที่นางเอกสาว “ซูซี่ สุษิรา แน่นหนา” ได้ออกมาเผยว่าหวั่นใจว่าจะถูกนางเอกดัง “พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช” เบี้ยวค่าตัวเล่นหนังอีกจำนวนหนึ่ง หลังไปถ่ายทำหนังเรื่อง hugger mugger ถึงฝรั่งเศส อีกทั้งหนังยังล่มถูกพับโปรเจ็กต์กะทันหันช่วงต้นปี งานนี้พิ้งกี้ได้ควงแขนสามี “เพชร อิทธิ ชวลิตธำรง” มาแถลงเปิดใจด่วน ณ ร้านอาหาร Badmotel thonglor เผยเหมือนถูกชี้หน้าด่าโกง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ยอมเข้ามารับเงินด้วยตนเอง
พิ้งกี้ : “วันนี้จะชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะเป็นข่าวที่เราสองคนไม่สบายใจเป็นข่าวที่ค่อนข้างกระทบกับการทำงานและธุรกิจของพี่เพชรเองแล้วก็ธุรกิจในอนาคตของเราด้วย รายละเอียดกี้อยากให้พี่เพชรอธิบายดีกว่า เพราะต้องใช้การพูดที่เป็นพี่เพชรพูดถึงจะเข้าใจที่สุด”
เพชร : “ผมไม่ได้แถลงตอบโต้ใครนะครับ ข้อที่หนึ่ง ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน สิ่งที่จะพูดคือพูดชี้แจงข้อเท็จจริงที่มีคนสงสัยวันนี้ผมจะตอบสองประเด็นแล้วกันนะครับ ประเด็นแรกคือผมกับภรรยาผมเบี้ยวการจ่ายเงินหรือไม่ ประเด็นที่สองหนังจะถ่ายทำต่อหรือไม่ เรื่องที่หนึ่งเรื่องการเบี้ยวเงินอยากจะแจ้งว่าทุกท่านที่ร่วมงานด้วยได้รับเงินไปหมดแล้วเหลือแต่คุณซูซี่ ซึ่งผมได้รับการติดต่อมาประมาณ 10 โมงจะเข้ามารับเงินพรุ่งนี้ สี่โมงเย็นด้วยตนเอง นั่นคือสิ่งที่ผมได้รับมาแล้วแจ้งต่อสื่อมวลชนนะครับ แต่ตามสัญญาหมดเมื่อปลายเดือนกพ.ซึ่งประเพณีปฏิบัติของการทำธุรกิจ เริ่มต้นต้องมาเซ็นสัญญาที่บริษัทผมกับกี้นะครับ และรับเงินไปแล้ว ณ ที่บริษัทของผม ผมอาจมีการเข้าใจผิด ซึ่งผมก็ต้องกราบขอโทษคุณซูซี่ ณ ที่นี้นะครับ เพราะผมทำเช็กรอไว้แล้วให้เขาเดินเข้ามาเก็บเงินมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะผมเห็นตามโซเชียลมีเดีย พวกเฟซบุ๊กหรือคนที่ลงคอมเม้นต์ บอกว่าทำไมไม่โอนเงินไปให้เขา”
“ผมก็อยากจะแจ้งว่าประเพณีปฏิบัติเป็นอย่างไร ผมก็ทำอย่างนั้นต่อเนื่องไปซึ่งถ้าสิ่งที่ผมทำทำให้คุณซูซี่เข้าใจผิดว่าผมเบี้ยวเงิน ผมก็ขอโทษไว้ ณ ที่นี้ก่อน ณ เบื้องต้น แต่การบอกว่าผมเบี้ยวเงินไม่ใช่สิ่งที่สมควรพูดออกสื่อ เพราะการพูดแบบนั้นทำให้มีผลกระทบ หรือทำบุคคลที่สามที่เสพสื่อไปแล้วมีความเข้าใจผิดได้ และมองพอผมกับกี้เป็นคนขี้โกง ซึ่งตามหลักระเบียบสังคม หรือกฎหมาย ผมสามารถเรียกร้องหรือปกป้องสิทธิ์ได้ ผมเลยไปแจ้งกับสื่อมวลชนท่านหนึ่งที่มีข่าวออกไปว่าผมอยากให้คุณซูซี่ขอโทษ ผมไม่อยากเอาเงินไปวางไว้ที่ศาล มูลหนี้ที่บอกว่าผมไม่จ่ายไปวางไว้ที่ศาล แล้วนำสืบว่าผมเบี้ยวหรือไม่ มีพฤติกรรมโยกย้ายจะจ่ายเงินหรือไม่ แล้วการทีคุณซูซี่พูดออกสื่อ มันเป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ ตัดสินมากไม่มีใครได้อะไรก็อยากให้มาขอโทษผ่านสื่อ พรุ่งนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเขาเข้ามารับเงิน เช็กก็จะปล่อยเช็กให้ เรื่องนี้น่าจะเคลียร์”
บอกอีกฝ่ายไม่เคยสื่อสาร คำสัมภาษณ์สวนทางกับข้อเท็จจริง
“ผมไม่ทราบว่าทำไมทางคุณซูซี่คิดอย่างนั้น เพราะคุณซูซี่ก็รู้จักกันดีในระดับหนึ่ง มีแฟนเป็นใครไม่ทราบอยู่ต่างประเทศ ไปมาหาสู่กันเมื่อมีเวลาว่าง อาจไม่สะดวกเข้ามารับ หรืออาจจะคิดถึงแฟนผมไม่ทราบเรื่องส่วนตัวเขา แต่ผมไม่มีพฤติกรรม หรือเจตนาใดๆ ทั้งสิ้นจากทางฝ่ายผมที่จะไม่จ่ายเงินคุณซูซี่ (สื่อสารผิดพลาด) มันไม่เคยสื่อสารกันดีกว่าครับผม ต้องทำความเข้าใจว่าผมเซ็นสัญญากับคุณซูซี่ ผจก.คุณซูซี่ชื่อคุณนุ ถ้าคนใดคนหนึ่งเข้ามาติดต่อจะรับเงินก็ปล่อยเงินให้ ถ้าจะให้บุคคลที่สามหรือสี่มารับก็ต้องมีใบมอบอำนาจมาให้ จะมาเอาเงินก็เอาไป เป็นปกติประเพณี เขาไม่เข้ามาเอาเลยครับผม”
“บางอย่างที่พูดค่อนข้างสวนทางกับข้อเท็จจริงที่แจ้งทราบ (ไม่เคยติดต่อผจก.หรือซูซี่?) คืออยากให้มองว่าเมื่อคนมีนิติสัมพันธ์กันมีสัญญาอะไรกัน คนหนึ่งทำอะไรให้ ถึงเวลาตามประเพณีก็ต้องเข้ามารับ เราจายเงินไปก็เรื่องปกติ ซึ่งเขาไม่เข้ามา ผมก็ไม่ต้องเตรียมเงิน เพราะผมไม่ได้กู้เงินใครทำภาพยนตร์ เพราะฉะนั้นโปรเจ็กต์ที่คิด คิดจากต้นทุนที่สามารถจะจ่ายได้ เตรียมไว้ให้แล้ว เมื่อถึงเวลาต้องจ่ายพนักงานบัญชีก็จะเอาเช็กมาให้ผมเซ็น ผมเซ็นรวดไปเลย ผมไม่ทราบว่าจะมาเรียกเก็บหรือว่าอะไรยังไง แต่ว่ามันไม่จำเป็นจะต้องมาบอกว่าจะมาเอาเงินผมนะครับผม เพราะเมื่อผมเซ็นสัญญากับเขาไป ผมก็ต้องทราบว่ามีสิทธิ์หรือหน้าที่ต้องทำอะไรให้เขา เพราะฉะนั้นถ้าจะมาบอกว่าผมเบี้ยว เพราะผมไม่มีเงิน คือเงินไม่ใช่เงินจำนวนที่มากไงเรื่องของเรื่อง ถ้าเป็นเงินจำนวนที่มาก แบบมีนัยยะสำคัญที่จะทำให้ผมต้องยักย้ายถ่ายเททรัพย์เพื่อมาจ่ายเงินเขา มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่”
“ก่อนหน้านี้มีคนโทร.เข้ามาครั้งหนึ่งแต่ผมไม่รู้จัก บอกทางบัญชีว่าจะมาเอาเงิน ผมก็บอกฝ่ายบัญชีว่าถ้าจะมาเอาเงินให้เอาใบมอบอำนาจมาด้วย เพราะว่าผมรู้จักแค่คนชื่อนุกับคนที่ชื่อซูซี่ (เงินเหลือเท่าไหร่?) แสนต้นๆ เองครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตครับผม”
เผยจุดเริ่มต้นอยากทำหนังแฟนตาซี แต่ยอมรับไร้ความสามารถ ต้องพับโปรเจ็กต์ ยอมเจ๊ง 8 หลักซื้อบทเรียนชีวิต
“งั้นข้ามไปประเด็นที่สองว่าผมจะหยุดทำหรือไม่ หนังเป็นความคิดของผมกับภรรยาผม อยากทำหนังสนุกๆ ที่ไม่มีเคยมีคนทำ ในประเทศไทยขึ้นมา หนังเป็นแฟนตาซีไปถ่ายทำที่ฝรั่งเศส ซึ่งเวลายกกองไปต่างประเทศ สมมติผมทำสองสัปดาห์เวลามันต้องตามตารางเวลา มันต้องเป๊ะ เบื้องต้นผมประจานผมกับภรรยาผมแล้วกันครับ ว่าเป็นคนไร้ซึ่งความสามารถ ไม่สามารถทำหนังเรื่องนี้ได้ต่อ แต่ปัญหาไม่ได้มาจากเงินทุน แต่ปัญหาอยู่ที่เรื่องการจัดการ ด้วยสติปัญญาผมและภรรยาผมไม่สามารถจัดการได้ ผมมีภาพบางส่วน ผมประจานตัวผมเองนะครับ ผมประจานตัวเองว่าหนังไปถ่ายเมื่อ 4 พย. ถ่ายทำราบรื่นดีประมาณสองสามวัน รูปเอามาให้ดู อันนี้ตัวอย่างประกอบนะครับ ต้องทำความเข้าใจว่ารูปที่เอามาให้ดูไม่ใช่สาเหตุใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจว่าทำไมผมทำหนังต่อไม่ได้ ด้วยส่วนตัวผม พอผมต้องรีชูสอะไรใหม่ๆ หลายๆ หน คอนตินิวเสื้อผ้าหน้าผม ผมไม่สามารถทำหนังที่ดีออกมาได้ สู้ผมยอมขาดทุน 8 หลักดีกว่า แล้วผมก็ขาดทุนไปเลย แล้วพับโปรเจ็กต์นี้เดี๋ยวทำอันใหม่ไปเลย วันที่ 6 ไปถ่ายก็เกิดเหตุการณ์อากาศเย็นๆ หรืออะไรไม่ทราบได้ อยากจะใส่อย่างนั้นอย่างนี้แต่ที่ถ่ายมาก่อนใช้ไม่ได้ เมื่อผมบริหารเวลาไม่ได้ก็พยายามทำให้เต็มที่ มีหลายฉากถ่ายไปก่อนหน้านั้นแล้วใช้ไม่ได้ แล้วจะทำยังไง ถ้าทำต่อต้องบินไปถ่ายใหม่ ซึ่งไม่รู้สภาพอากาศทำให้ดาราบางท่านรู้สึกหนาวรู้สึกร้อน ไม่สบายกับชุดคอสตูมที่ออกมาหรือไม่”
“ถามว่าทำไมคุมไม่ได้ ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าพูดในกรณีนี้ บางครั้งผมไม่สามารถบังคับจิตใจคนให้เขาทำในสิ่งที่ไม่อยากทำได้ ผมเคารพการตัดสินใจของเขา ผมก็สรุปว่าหนังจะไปต่อได้หรือไม่เฉยๆ ถามว่าสาเหตุหนึ่งเกิดจากนางเอกไหม ผมใช้คำว่าเนื่องจากผมเป็นคนตกลงใจให้เขาเปลี่ยน เพื่อให้มีการถ่ายทำได้ทุกวัน กึ่งหนึ่งหรือครึ่งหนึ่งผมรับไว้ก่อน บางครั้งเราซื้อบทเรียนราคาแพงให้กับตัวเอง ก็เป็นข้อจดจำที่ดี เรื่องนี้ไม่คิดนำมาบอกหรือพูดว่าเพราะอะไรเพราะเป็นความอับอายของผมกบภรรยาผม เพราะมันทำไม่สำเร็จ ถ้าเกิดเข้ามารับเงินเงียบๆ ให้หายไป ไม่รบกวนเวลาพี่ๆ สื่อมวลชน มา ณ วันนี้ตรงนี้ แล้วมาบอกเบี้ยวด้วย แล้วไม่เข้าใจทำไมถึงเลิก ก็เลยขอมาพูดในส่วนนี้อยากทำความเข้าใจเฉยๆ”
“ผมได้บอกทางผจก.ของเขา นั่นคือความล่าช้าที่คุณซูซี่ได้รับเงินด้วย จากข้อเท็จจริง จะมีคิวถ่ายที่เมืองไทยประมาณสี่ถึงห้าคิว พอแจ้งว่าปลายเดือนกพ.จะหมดสัญญา คุณนุก็มาถามว่าจะขอคิวคุณซูซี่อย่างไร เพราะว่าจะได้บอกให้ซูซี่กลับมาจากต่างประเทศ แต่ผมบอกว่าผมไม่ถ่ายทำต่อแล้ว ถึงเวลามารับเช็กได้เลยเขาก็ถามว่า มันมีปัญหาอะไร เพราะเขาไม่ได้ไปด้วย คนที่เป็นฟอลโลเวอร์คุณซูซี่คือมารดาคุณซูซี่ ผมก็เล่าว่ามันก็มีปัญหาเยอะตั้งแต่เรื่องการไป เรื่องการทำงาน เรื่องเสื้อผ้า เรื่องการเข้าใจในบทที่ดาราได้รับไป พอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้คุณนุทราบเขาก็บอกว่าผมเกิดความเสียหาย ผมก็บอกว่ามีความเสียหายอยู่แล้วแหละ แต่ผมมีหน้าที่ต้องทำอะไรก็ต้องทำให้ครบถ้วนกับทุกคนตามสัญญา เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาจะไปคุยกับทางดาราให้ จะเอายังไงก็จะโทร.บอกผม หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับคุณนุ เขาบอกว่าเขาติดต่อมาหาผมเพื่อจะไปคุยกับดาราในสังกัดของเขาก่อน มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่ต้องไปถามว่าคุยแล้วได้ความว่าอย่างไร เพราะเบื้องต้นผมบอกแล้วว่าถึงเวลาก็เข้ามารับเงินได้ หน้าที่ผมต้องทำอะไรให้ผมก็จะทำ ผ่านไปจนก่อนช่วงสงกรานต์ มีคนชื่อกุ้งโทร.เข้ามา ซึ่งผมบอกว่าผมไม่ให้เงินกับทางบัญชี เพราะบัญชีถามว่าต้องปล่อยเงินหรือไม่ ผมบอกผมไม่รู้จักคนชื่อกุ้ง ขออนุญาตโทร.ถามคนชื่อนุก่อนว่ามันคืออะไรใครคือกุ้ง ถ้านุอยากเอาเงินก็เข้ามาเองเลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ตอนเซ็นสัญญาก็เข้ามาเซ็นที่นี่ รับเงินที่นี่ ผมไม่รู้ว่าเขาสื่อสารกับดาราเขาอย่างไร เรื่องถึงออกมาอย่างที่เห็น”
บอกพับโปรเจ็กต์หนังเพราะบริหารจัดการไม่ได้ แต่ยังมีอีกหลายโปรเจ๊กต์
เพชร : “ต้องถามภรรยาผม ในฐานะเคยเป็นดาราและมีมาตรฐานทางวิชาชีพเหมือนกัน ผมไม่ทราบว่าต้องทำยังไง ผมก็สนับสนุนเขาในสิ่งที่เขาอยากทำ”
พิ้งกี้ : “ถ้าพูดถึงเรื่องนี้คงไม่สามารถไปต่อได้ จริงๆ เรามีโปรเจ็กต์ของเราสองคน ที่พี่ๆ สื่อไม่ค่อยได้เห็นเรา คือเรามีงานทำทั้งด้านหนังสือ ละคร ณ ตอนนี้มีทำค่ะ แต่ทำกันเงียบๆ ไม่ได้เริ่มต้นให้พี่ๆ รับทราบ ณ ตอนนี้เรากำลังเคลียร์งานกันอยู่”
เพชร : “ความเสียหาย 8 หลัก ลองนับดูนะ ราวๆ นั้น (โปรดักชั่นทำไมไม่เปลี่ยน) คือไปถ่ายที่ฝรั่งเศส สมมุติผมอยากเชิญคุณไปเล่น คุณก็ต้องขอวีซ่าไหม ไม่ใช่ผมเปลี่ยนตัวปุ๊บ อีกคนจะมาเล่นได้เลย ใช่ไหม แล้วปัญหาบางคนโดนรีเจ็กวีซ่า ต้องเรียกพวกลูกครึ่งที่บินมาได้เลย มาช่วย มีหลายๆ อย่างประกอบกัน แต่หลักๆ คือตัวเมน ไม่ได้ว่านะ คือบางทีอาจไม่มีการความตั้งใจ บางวันเข้าใจ บางวันก็ไม่เข้าใจ มีบางฉากใช้เวลาทำเยอะ บางที 3-4 ชม. ก็ทำถึงเช้า”
“ผมไม่มีความคิดจะถอนเขาอยู่แล้ว คือคนที่เลือกมาเชื่อศักยภาพ เชื่อในมาตรฐานวิชาชีพ อันพึงมี พึงกระทำของบุคคลนั้นอยู่แล้ว สมมุติผมจ้างภรรยามาเล่น ผมไม่ได้มองว่าเขาเป็นภรรยาแล้ว มองเป็นนักแสดง ต้องมีมาตรฐาน มีจริยธรรมของเขา กรุณาอย่าไปทวิตบอกว่าผมว่าใครไม่มีคุณธรรม เพราะผมพูดถึงมาตรฐานวิชาชีพของแต่ละบุคคลว่าควรเป็นอย่างไร ผมไม่ได้บอกว่าใครไม่ดี แต่บอกว่าผมทำไม่ได้เพราะสิ่งที่ผมคิด ผมคิดผิด และผมบริหารเวลาไม่ได้”
บอกผิดหวังทัศนคติอีกฝ่าย เหมือนถูกชี้หน้าด่าโกง
“ถ้าเขากระทำเช่นนั้น อยากให้เขารับรู้เกี่ยวกับการกระทำนั้นหรือไม่ ผมบอกว่าผมมาค้าขาย ผมไม่ได้มาค้าความ สมมุติถ้าผมฟ้องหมิ่นประมาท สื่อคนไหนลงผมฟ้องด้วย ผมฟ้องปุ๊บ ผมฟ้องละเมิด ขายข่าวผม บังเอิญผมไม่ใช่ดารานะ ผมทำธุรกิจ ต้นทุนผมเรียกแพงมาก ผมฟ้องคุณละเมิด คุณหมิ่นประมาทผม คุณขายข่าวแพร่หลาย ทำให้ผมสองคน พูดง่ายๆ ภาษาชาวบ้าน พอผมชนะแล้วคุณมีความผิดรอลงอาญา คุณต้องประกาศสื่ออะไรลงสื่อสามวัน ลงหนังสือเอบีซีหัวดัง แต่พอไปลงหนังสือ คุณลงหนังสือเสียงอ่างทองของศาล ใครซื้ออ่าน มันไม่ใช่เรื่อง ถ้าคุณเข้าใจผิด ก็ไม่ต้องค้าความกัน คุณขอโทษผมสิ ก็จบกัน”
“ผมพูดตรงๆ วันนั้นผมผิดหวังกับทัศนคติของคุณซูซี่มีต่อผม และบริษัทผม ผมก็คิดว่าถ้าคุณจะทวงเงินผ่านสื่อ ฉะนั้นคุณก็ต้องมารับเงินผ่านสื่อไหม เพราะเงินก็รอคุณอยู่ คุณไม่เดินมาเอา แล้วคุณมาชี้หน้าด่าผมว่าขี้โกง ผมทำอะไรให้คุณเกลียดมากขนาดนี้เลยหรือเปล่า ถ้าผมบ่ายเบี่ยง คุณมาเอาปุ๊บ เราไม่มีตังค์ก็เข้าใจ แต่นี่ไม่เคยเข้ามาเอาเลย แล้วจะหาว่าผมโกงได้อย่างไร ถ้าอยากรับต่อหน้าสื่อ พรุ่งนี้ก็มารับสี่โมงเย็นแค่นั้นเอง”
“ถ้ายกหูมาเคลียร์ผมให้เงินก่อนได้เลยนะ ผมพูดจริงๆ มันเป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำ เขามารับด้วยตนเองผมต้องให้ แต่ถามว่าสิ่งที่คุณซูซี่พูดมันเรียกคืนมาได้ไหมมันก็เรียกคืนไม่ได้ ความที่คนเข้าใจผิดไปแล้วผมก็แก้ไม่ได้ ผมตกเป็นจำเลยสังคมมันยุติธรรมกับผมไหม ก็ต้องวิ่งหาความยุติธรรม มีศาลอยู่ ซึ่งผมไม่อยากค้าความ คุณขอโทษผมดีกว่าก็จบกัน”
“ถามว่าถ้าไม่ขอโทษแล้วจะฟ้องใช่หรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำ พรุ่งนี้ถ้ามารับเงินก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำ ถ้าผมไม่ทำผมห่วย ถ้าผมเหยียบเท้าคุณแล้วผมไม่ขอโทษ ผมเป็นยังไง ผมก็ถามคุณแค่นี้ ถ้าไม่ทุเรศผมก็เอาเท้าไปเหยียบ เบื้องต้นเขาพูดต่อหน้าสื่อมวลชน เสร็จปุ๊บผมไปขอโทษคุณ ยกพานคลานเข่าไปขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชนใหม่ คนที่รับรู้ข่าวสารก็ว่าผมไปแล้ว ตอนนี้ผมออกมาปกป้อง ใช้สิทธิ์โดยชอบธรรมในการพูด ไม่ได้ตอบโต้นะแต่ชี้แจงข้อเท็จจริง”
บอกไม่ได้ติดใจถ้าขอโทษ ไม่ได้เกลียดชังหรือใช้หน้าที่กลั่นแกล้ง
พิ้งกี้ : “ไม่ค่ะ คือตอนนี้เราสองคนไม่ได้อยู่ในแวดวงที่ทุกคนจะเห็น เพราะตอนนี้เราทำงานเบื้องหลัง เรามีธุรกิจหลายอย่างที่ต้องดำเนินอยู่ ณ ปัจจุบัน วันๆ แทบไม่ได้กินข้าวกันสองคน ทำงาน สิ่งที่กระทบคือตอนนี้เราเป็นสามีภรรยากันเพราะฉะนั้นสิ่งที่พี่เพชรพูด ก็อธิบายแจ่มแจ้งอยู่แล้วว่าเราทำอะไรทุกอย่างก็เป็นคู่กัน ฉะนั้นสิ่งที่ทำถูกต้องก็คือสิ่งที่พี่เพชรบอก”
เพชร : “ถ้าขอโทษผมไม่มีปัญหานะครับ เบื้องต้นจริยธรรม มาตรฐานวิชาชีพ คุณเป็นสื่อมวลชน เอาเป็นว่าผมสะดวกใจอย่างยิ่งจะร่วมงานกับคุณซูซี่ ผมไม่ได้ติดใจหรือเกลียดชังเหรอใช้หน้าที่กลั่นแกล้ง ดูถูกดูหมิ่น ผมไม่เคยคิด เรื่องหนังคือถ้าโปรเจ็กต์นี้สะดุด มันพักไว้ก่อน มีโปรเจ็กต์ใหม่ยังไงก็มีผลงานมาให้ดูอยู่ดี (ทำหนังอีกรอบต้องเตรียมตัว?) ตอนนั้นไร้เดียงสามาก ตอนนี้ต้องคิดแล้วคิดอีก นอนก็เอาไปฝันต่อครับผม แน่นอนครับผม”
เผยติดโผดาราเบี้ยวค่าจัดงานแต่งไร้สาระ อ่านแล้วเหมือนใบ้หวย
เพชร : “เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกของผม หนึ่งคนเขียนผ่านโซเชียลมีเดีย ทุกคนอ่านก็เหมือนใบ้หวย การดำเนินงานของผมราบรื่นดี แล้วขอบคุณคนมาจัดงานให้ เป็นทีมงานของพวกเพลินวาน ทำอยู่ที่หัวหินเป็นเพื่อนผมเอง ขอบคุณมากที่มาช่วย เรื่องเงินทองมันไม่เข้าใครอกใคร รีบจ่ายไปก่อนดีกว่า ก่อนงานเสร็จ จ่ายไปหมดแล้ว เรื่องนี้ผมถือว่าไร้สาระได้ไหม ทุกคนมีสิทธิ์สงสัยคิดได้ต่างๆ นานา แต่ว่าข้อเท็จจริงถ้าเราไม่ได้ทำ ผมกับพยายามตีความหวยนี้เหมือนกันว่าเป็นใคร”
พิ้งกี้ : “ก็ตีความกันอยู่ว่าใครน้า เหมือนเราก็เป็นคนธรรมดาประชาชน เราก็งงมากที่เขาบอกว่าเป็นเรา เดี๋ยวต้องมาถามเราแน่ๆ”
เพชร : “แล้วคนที่รู้ดี น่าจะเป็นคนที่อยู่หลังกล้องด้วย(หัวเราะ) มันเรื่องน่าหัวเราะ”
พิ้งกี้ : “มันเรื่องน่าหัวเราะ ช่วงนั้นคนก็แต่งกันเยอะอยู่แล้ว เราก็นั่งคิดว่าเป็นใคร แต่ก็แบบเฮ้ย… อย่าคิดว่าเป็นเรานะ เพราะของเรามันปีก่อนโน้นแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยด้วยค่ะ”
ลั่นยังไม่ท้อง แค่มีน้ำมีนวล ขอลองวิธีธรรมชาติ
พิ้งกี้ : “โอ้โห อาจดูเหมือนมีน้องเพราะแขนล่ำขนาดนี้(หัวเราะ) ค่อนข้างดูเหมือนแต่ยังไม่มีค่ะ”
เพชร : “ก็คิดว่าตอนนี้ธรรมชาติอยู่ ถ้าธรรมชาติไม่อำนวยก็พึ่งวิทยาศาสตร์ในเร็ววัน เบื้องต้นโทรหาหมอก่อน หมอบอกว่าให้ธรรมชาติไปก่อน ประเพณีปฎิบัติต้องปีครึ่ง ก็บอกปีครึ่งนานไป ปีเดียวก็พอ (หัวเราะ) เรื่องทำกิ๊ฟต์ก็เป็นขั้นตอนไปเรื่อยๆ ฉีดเชื่อก่อน สองหนสามหนไม่ได้ก็ทำกิ๊ฟต์ มันมีสเต็ปของมันไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ ศึกษามาหมดครบถ้วนทุกขั้นตอน ช่วงนี้กี้ดูมีน้ำมีนวลไหมฮะ ทำให้คนๆ หนึ่งมีความสุข ก็ไม่ต้องดูแลอะไรมาก”
พิ้งกี้ : “จ๊ะ (หัวเราะ)”
เพชร : “ปีนี้คงไม่ทัน ก็อาจจะปลายปี”
พิ้งกี้ : “ก็อาจได้เห็นกันปีหน้า ปีนี้ยังไม่มี ก็ภาวนาให้มีเร็วๆ ค่ะ”
เพชร : “ใกล้ๆ วันเกิดคุณก็ทำบุญกันใช่ไหม”
พิ้งกี้ : “ค่ะ ก็ใกล้วันเกิดก็อยากทำบุญ”
เพชร : “ผมเชิญสภากาชาดไทยมาบริจาคเงิน เพื่อเป็นสิ่งที่ดี ได้ความรู้สึกดีๆ กลับไป”
ก่อนสิ้นสุดการแถลงข่าว เพชรได้มอบเช็กเงินสดให้แก่สภากาชาดเป็นจำนวนถึง 1 ล้านบาทอีกด้วย
ASTVผู้จัดการออนไลน์ เพิ่มหมวดข่าว “โต๊ะญี่ปุ่น” นำเสนอความเคลื่อนไหวของข้อมูลข่าวสาร ตอบสนองผู้อ่านามเราได้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |