หลังเข้าฉายที่ญี่ปุ่นไปช่วงปลายปีที่แล้ว ล่าสุดหนังที่สร้างจากการ์ตูนดัง "ปรสิต เดรัจฉาน" เวอร์ชันคนแสดง (พาร์ทแรก) ก็เตรียมจะเข้าฉายในบ้านเราวันที่ 7 พ.ค. ในชื่อ "PARASYTE ปรสิต เพื่อนรักเขมือบโลก" นี้แล้วครับ
ในบรรดาการ์ตูนญี่ปุ่นที่ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับเอเลียนหรือคนกลายพันธุ์หลายๆ เรื่อง เชื่อว่าคงมีคอหนังสือการ์ตูนบ้านเราจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ยกให้ "ปรสิตเดรัจฉาน" (PARASYTE หรือ Kiseijuu Sei no Kakuritsu) เรื่องนี้ขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งการ์ตูนเล่มโปรดในดวงใจ
ผลงานเรื่องนี้เป็นของ "ฮิโตชิ อิวากิ" ตีพิมพ์ออกมาเผยแพร่ในช่วงปีพ.ศ.2531 - 2538 ก่อนจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนมีการพิมพ์ออกวางขายในหลายๆ ประเทศ เนื้อหาก็ว่าด้วยเรื่องราวของเหล่าปรสิตที่เข้ามายังโลกของเราด้วยเจตนาที่ไม่ค่อยจะดีนัก
ถึงแม้ว่าเจ้าปรสิตพวกนี้จะกินมนุษย์เป็นอาหารแต่พวกมันก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยร่างกายมนุษย์ในการดำรงชีพเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เจ้าพวกนี้ทำก็คือการเจาะชอนไชเข้าไปกัดกินสมองก่อนจะเข้าทำการควบคุมร่างนั้นๆ แทน ซึ่ง "ชินอิจิ อิซึมิ" เด็กนักเรียนชั้นมัธยมทั่วๆ ไปตัวเอกของเรื่องก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกตัวปรสิตหมายจะเข้ายึดร่าง ทว่ากลับเกิดความผิดพลาดบางอย่าง ส่งผลให้เจ้าปรสิตตัวที่ว่ายึดและควบคุมได้เพียงแขนขวา และนี่เองคือจุดเริ่มต้นเรื่องราวของการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความโหดและความมัน
ผมได้อ่านปรสิตเดรัจฉานครั้งแรกราวๆ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ความรู้สึกตอนนั้นจำได้แจ่มชัดเลยครับว่ามันมันและลุ้นระทึกเอามากๆ จนแทบจะวางไม่ลง
ยิ่งพอมาได้ดูอีกครั้งในรูปแบบอะนิเมชันเมื่อไม่นานนี้เองก็พบว่านอกจากความมัน ความสนุก ความตื่นเต้นลุ้นระทึกแล้ว การ์ตูนเรื่องนี้ยังเต็มไปด้วย "ประเด็นจริงจัง" ไว้ให้ชวนคิดหลายต่อหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตของมนุษย์, การดำรงอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตบนโลก หรือแม้กระทั่งการเสียดสีถึงความโหดเหี้ยมว่าตกลงแล้วระหว่างปรสิตที่กินมนุษย์เป็นอาหารกับมนุษย์ที่กินสิ่งมีชีวิตเกือบทุกอย่างเป็นอาหารใครกันแน่ที่โหดร้ายมากกว่ากัน และใครกันแน่ที่มีชีวิตที่ทำร้ายทำลายโลกมากกว่ากัน
ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้วเป็นบริษัท New line Cinema ของฮอลลีวูดที่ได้ลิขสิทธิ์ในการนำเอาการ์ตูนเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยมอบหน้าที่การกำกับให้กับเจ้าพ่อหนังผีตระกูล "จูออน" อย่าง "ทาคาชิ ชิมิสุ" รับหน้าที่ดังกล่าว แต่ไปๆ มาๆ โปรเจ็กต์นี้ก็ต้องล่มไปเพราะติดขัดในหลายๆ ปัญหาว่ากันว่าโดยเฉพาะเรื่องบท
จนกระทั่งเมื่อมีการเปิดประมูลลิขสิทธิ์กันใหม่ก็เป็นบริษัท โตโฮ (Toho) ของประเทศญี่ปุ่นที่ชนะประมูล ซึ่งเมื่อได้สิทธิ์มาทาง "มินามิ อิชิกาว่า" หัวเรือใหญ่ของโตโฮ ก็เดินหน้าโปรเจ็กต์นี้ทันทีด้วยการจับมือกับเพื่อนโปรดิวเซอร์อย่าง "ชิจิ อาเบะ" โดยตัวเลือกแรกของคนที่จะมากำกับหนังเรื่องนี้ของอาเบะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น "ทาคาชิ ยามาซากิ" ที่เคยร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานสุดยอดเยี่ยมอย่าง Always มาแล้วนั่นเอง
ทาคาชิให้สัมภาษณ์ไว้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างแรกหลังรู้ว่าต้องมากำกับหนังเรื่องนี้ก็คือการย้อนกลับไปอ่านการ์ตูนเรื่องโปรดของเขาอีกครั้ง โดยเจ้าตัวยังบอกด้วยว่าเขาอยากจะทำหนังเรื่องนี้ก่อนเรื่อง Always ด้วยซ้ำเพียงแต่ตอนนั้นสิทธิ์ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ไปอยู่ที่ต่างชาติ พร้อมกับย้ำว่าเขาตั้งใจให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนกับในการ์ตูนมังงะให้มากที่สุดอีกด้วย (แต่ดูจากตัวอย่างแล้วฉากยิงธนูนี่ไม่เหมือนแน่นอน)
สำหรับสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการทำหนังเรื่องนี้จากปากของผู้กำกับก็คือเรื่องของการทำภาพเสมือนจริง(วิชวลเอฟเฟกต์) ซึ่งใครที่อ่านหรือดูการ์ตูนเรื่องนี้มาก่อนก็คงจะเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวของ "มิกิ" (ชื่อที่ชินอิจิตั้งให้กับปรสิตที่ยึดแขนขวาของตนเอง), การกลายร่างของเจ้าตัวปรสิต, การเปลี่ยนอวัยวะเพื่อใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ หรือแม้กระทั่งฉากเขมือบหัวมนุษย์ของเจ้าปรสิต ทุกอย่างล้วนเป็นหัวใจสำคัญขอหนังเรื่องนี้ที่จำต้องพึ่งเรื่องเทคนิกทางคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ดูตัวอย่างแล้ว โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นที่น่าห่วงเลย
เช่นเดียวกับตัวนักแสดงที่รับบท "ชินอิจิ" ตัวหลักของเรื่องผู้ต้องแบกชะตากรรมของมนุษยชาติไว้ในกำมือ อย่าง "โชตะ โซเมะตานิ" ที่อาจจะดู(หน้า)ละอ่อนหน่อมแน้มไปหน่อยนั้น ตรงนี้อย่างไรเสียกับรางวัลจากเวทีเวนิซฟิล์มเฟสติวัลที่เขาได้รับมาจากหนังเรื่อง Himizu ก็น่าจะการันตีได้ว่าเจ้าตัวคงจะมีดีระดับนึงอย่างแน่นอนถึงถูกเลือกให้มารับบทหนักๆ ที่ต้องแสดงถึงการพัฒนาอารมณ์และความคิดค่อนข้างสูงเช่นนี้
ที่น่าห่วงจริงๆ ผมกลับมองว่าเป็นค่ายโมโนฟิล์มในฐานะผู้จัดจำหน่ายในบ้านเรามากกว่าครับว่าจะเอาใจใส่กับการ์ตูนขึ้นหิ้งในดวงใจของหลายๆ คนเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด
ลำพังแค่การตั้งชื่อหนัง "เพื่อนรักเขมือบโลก" กับตัวอย่าง Official Trailer พากย์ไทยที่ปล่อยออกมาในฐานะแฟนการ์ตูนเรื่องนี้คนหนึ่งเห็นแล้วต้องบอกว่าอารมณ์เสีย!
ไม่ได้รังเกียจหนังพากย์นะครับ กลับกันออกจะนับถือคนที่ทำอาชีพเบื้องหลังตรงนี้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าหนังหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะที่มันมีประเด็นเนื้อหาหนักๆ มีเรื่องราวที่จริงจัง มีตัวละครที่ต้องแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่เข้มข้น มันยากมากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาพากย์ทับแล้วได้อรรถรสอารมณ์อย่างที่หนังภาษาต้นฉบับต้องการจะสื่อจริงๆ
หลายครั้งที่เราจะเห็นว่าในหนังต้องการจะใช้ความเงียบของตัวละครเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่คนพากย์กลับพากย์แทรกพากย์เกินขึ้นมาซะอย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่มีตัวละครตัวไหนขยับปากพูดอะไรเลย
เอาเป็นว่าเมื่อถึงเวลาลงโรงฉายคงจะมีทางเลือกให้กับคนที่อยากจะดูทั้งแบบพากย์และไม่พากย์โดยไม่ต้องให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องหงุดหงิดก็แล้วกันครับ
...
ในบรรดาการ์ตูนญี่ปุ่นที่ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับเอเลียนหรือคนกลายพันธุ์หลายๆ เรื่อง เชื่อว่าคงมีคอหนังสือการ์ตูนบ้านเราจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ยกให้ "ปรสิตเดรัจฉาน" (PARASYTE หรือ Kiseijuu Sei no Kakuritsu) เรื่องนี้ขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งการ์ตูนเล่มโปรดในดวงใจ
ผลงานเรื่องนี้เป็นของ "ฮิโตชิ อิวากิ" ตีพิมพ์ออกมาเผยแพร่ในช่วงปีพ.ศ.2531 - 2538 ก่อนจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนมีการพิมพ์ออกวางขายในหลายๆ ประเทศ เนื้อหาก็ว่าด้วยเรื่องราวของเหล่าปรสิตที่เข้ามายังโลกของเราด้วยเจตนาที่ไม่ค่อยจะดีนัก
ถึงแม้ว่าเจ้าปรสิตพวกนี้จะกินมนุษย์เป็นอาหารแต่พวกมันก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยร่างกายมนุษย์ในการดำรงชีพเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เจ้าพวกนี้ทำก็คือการเจาะชอนไชเข้าไปกัดกินสมองก่อนจะเข้าทำการควบคุมร่างนั้นๆ แทน ซึ่ง "ชินอิจิ อิซึมิ" เด็กนักเรียนชั้นมัธยมทั่วๆ ไปตัวเอกของเรื่องก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกตัวปรสิตหมายจะเข้ายึดร่าง ทว่ากลับเกิดความผิดพลาดบางอย่าง ส่งผลให้เจ้าปรสิตตัวที่ว่ายึดและควบคุมได้เพียงแขนขวา และนี่เองคือจุดเริ่มต้นเรื่องราวของการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความโหดและความมัน
ผมได้อ่านปรสิตเดรัจฉานครั้งแรกราวๆ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ความรู้สึกตอนนั้นจำได้แจ่มชัดเลยครับว่ามันมันและลุ้นระทึกเอามากๆ จนแทบจะวางไม่ลง
ยิ่งพอมาได้ดูอีกครั้งในรูปแบบอะนิเมชันเมื่อไม่นานนี้เองก็พบว่านอกจากความมัน ความสนุก ความตื่นเต้นลุ้นระทึกแล้ว การ์ตูนเรื่องนี้ยังเต็มไปด้วย "ประเด็นจริงจัง" ไว้ให้ชวนคิดหลายต่อหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตของมนุษย์, การดำรงอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตบนโลก หรือแม้กระทั่งการเสียดสีถึงความโหดเหี้ยมว่าตกลงแล้วระหว่างปรสิตที่กินมนุษย์เป็นอาหารกับมนุษย์ที่กินสิ่งมีชีวิตเกือบทุกอย่างเป็นอาหารใครกันแน่ที่โหดร้ายมากกว่ากัน และใครกันแน่ที่มีชีวิตที่ทำร้ายทำลายโลกมากกว่ากัน
ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้วเป็นบริษัท New line Cinema ของฮอลลีวูดที่ได้ลิขสิทธิ์ในการนำเอาการ์ตูนเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยมอบหน้าที่การกำกับให้กับเจ้าพ่อหนังผีตระกูล "จูออน" อย่าง "ทาคาชิ ชิมิสุ" รับหน้าที่ดังกล่าว แต่ไปๆ มาๆ โปรเจ็กต์นี้ก็ต้องล่มไปเพราะติดขัดในหลายๆ ปัญหาว่ากันว่าโดยเฉพาะเรื่องบท
จนกระทั่งเมื่อมีการเปิดประมูลลิขสิทธิ์กันใหม่ก็เป็นบริษัท โตโฮ (Toho) ของประเทศญี่ปุ่นที่ชนะประมูล ซึ่งเมื่อได้สิทธิ์มาทาง "มินามิ อิชิกาว่า" หัวเรือใหญ่ของโตโฮ ก็เดินหน้าโปรเจ็กต์นี้ทันทีด้วยการจับมือกับเพื่อนโปรดิวเซอร์อย่าง "ชิจิ อาเบะ" โดยตัวเลือกแรกของคนที่จะมากำกับหนังเรื่องนี้ของอาเบะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น "ทาคาชิ ยามาซากิ" ที่เคยร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานสุดยอดเยี่ยมอย่าง Always มาแล้วนั่นเอง
ทาคาชิให้สัมภาษณ์ไว้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างแรกหลังรู้ว่าต้องมากำกับหนังเรื่องนี้ก็คือการย้อนกลับไปอ่านการ์ตูนเรื่องโปรดของเขาอีกครั้ง โดยเจ้าตัวยังบอกด้วยว่าเขาอยากจะทำหนังเรื่องนี้ก่อนเรื่อง Always ด้วยซ้ำเพียงแต่ตอนนั้นสิทธิ์ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ไปอยู่ที่ต่างชาติ พร้อมกับย้ำว่าเขาตั้งใจให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนกับในการ์ตูนมังงะให้มากที่สุดอีกด้วย (แต่ดูจากตัวอย่างแล้วฉากยิงธนูนี่ไม่เหมือนแน่นอน)
สำหรับสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการทำหนังเรื่องนี้จากปากของผู้กำกับก็คือเรื่องของการทำภาพเสมือนจริง(วิชวลเอฟเฟกต์) ซึ่งใครที่อ่านหรือดูการ์ตูนเรื่องนี้มาก่อนก็คงจะเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวของ "มิกิ" (ชื่อที่ชินอิจิตั้งให้กับปรสิตที่ยึดแขนขวาของตนเอง), การกลายร่างของเจ้าตัวปรสิต, การเปลี่ยนอวัยวะเพื่อใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ หรือแม้กระทั่งฉากเขมือบหัวมนุษย์ของเจ้าปรสิต ทุกอย่างล้วนเป็นหัวใจสำคัญขอหนังเรื่องนี้ที่จำต้องพึ่งเรื่องเทคนิกทางคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ดูตัวอย่างแล้ว โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นที่น่าห่วงเลย
เช่นเดียวกับตัวนักแสดงที่รับบท "ชินอิจิ" ตัวหลักของเรื่องผู้ต้องแบกชะตากรรมของมนุษยชาติไว้ในกำมือ อย่าง "โชตะ โซเมะตานิ" ที่อาจจะดู(หน้า)ละอ่อนหน่อมแน้มไปหน่อยนั้น ตรงนี้อย่างไรเสียกับรางวัลจากเวทีเวนิซฟิล์มเฟสติวัลที่เขาได้รับมาจากหนังเรื่อง Himizu ก็น่าจะการันตีได้ว่าเจ้าตัวคงจะมีดีระดับนึงอย่างแน่นอนถึงถูกเลือกให้มารับบทหนักๆ ที่ต้องแสดงถึงการพัฒนาอารมณ์และความคิดค่อนข้างสูงเช่นนี้
ที่น่าห่วงจริงๆ ผมกลับมองว่าเป็นค่ายโมโนฟิล์มในฐานะผู้จัดจำหน่ายในบ้านเรามากกว่าครับว่าจะเอาใจใส่กับการ์ตูนขึ้นหิ้งในดวงใจของหลายๆ คนเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด
ลำพังแค่การตั้งชื่อหนัง "เพื่อนรักเขมือบโลก" กับตัวอย่าง Official Trailer พากย์ไทยที่ปล่อยออกมาในฐานะแฟนการ์ตูนเรื่องนี้คนหนึ่งเห็นแล้วต้องบอกว่าอารมณ์เสีย!
ไม่ได้รังเกียจหนังพากย์นะครับ กลับกันออกจะนับถือคนที่ทำอาชีพเบื้องหลังตรงนี้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าหนังหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะที่มันมีประเด็นเนื้อหาหนักๆ มีเรื่องราวที่จริงจัง มีตัวละครที่ต้องแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่เข้มข้น มันยากมากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาพากย์ทับแล้วได้อรรถรสอารมณ์อย่างที่หนังภาษาต้นฉบับต้องการจะสื่อจริงๆ
หลายครั้งที่เราจะเห็นว่าในหนังต้องการจะใช้ความเงียบของตัวละครเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่คนพากย์กลับพากย์แทรกพากย์เกินขึ้นมาซะอย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่มีตัวละครตัวไหนขยับปากพูดอะไรเลย
เอาเป็นว่าเมื่อถึงเวลาลงโรงฉายคงจะมีทางเลือกให้กับคนที่อยากจะดูทั้งแบบพากย์และไม่พากย์โดยไม่ต้องให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องหงุดหงิดก็แล้วกันครับ
...